ReadyPlanet.com


ช่วยตอบหน่อยครับ


ตามคำพิพากษาของศาลหรือคำสั่งของศาลแขวง สุรินทร์ ที่บังคับให้ จำเลยชำระเงินจำนวน 61,924.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 36,280.55 บาท นับถัดจากวันฟ้อง ( ฟ้องวันที่ 4 เมษายน 2551 ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท .....ให้ท่านปฎิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่กล่าวแล้วภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับคำบังคับนี้เป็นต้นไป ถ้าไม่ปฎิบัติตามคำบังคับภายในระยะเวลาหรือเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น จะต้องถูกยึดทรัพย์หรือถูกจับและจำขังดังที่บรัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง       ที่ว่าจะถูกจำขังนั้นจริงหรือครับคดีแพ่งต้องติดคุกด้วยหรือครับ


ผู้ตั้งกระทู้ บี :: วันที่ลงประกาศ 2009-05-05 18:07:02


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1933603)

//ไม่รู้ว่าเป็นตัวคุณเองหรือว่าถามแทนคนอื่นครับ

//ในกรณีที่โจทก์หรือจำเลยได้ต่อศุ้คดีกันในศาลก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้คดี ซึ่งอาจเป็นโจทก์หรือจำเลยก็ได้ครับ กรณีของคุณไม่ว่าคุณจะเป็นโจทก์หรือจำเลยแต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาอย่างนี้ก็ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องถูกดำเนินการตามคำบังคับที่ได้ออกตามคำพิพากษา (ที่คุณถามมานั้นแลพครับพี่น้อง)

//ปัญหาท้ายสุดของคุณถามว่าจะต้องถูกจำขังหรือเปล่าวหากว่าไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา  ชี่แจงอย่งนี้ครับพี่น้อง คดีแพ่งนั้นก็เป็นอย่างที่เข้าใจว่า ฟ้องร้องกันเพื่อประสงค์ที่จะบังคับเอากับทรัพย์สินเป็นเบื้องต้น โดยไม่เกี่ยวกับโทษทางอาญา  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคำพิพากษาก็ต้องมีความศักศิทธิ์ครับ  คุณไม่จ่ายหรือไม่ยอมส่งมอบทรัพย์สินตามคำพิพากษา  จับคุณไม่ได้ครับ เพราะศาลไม่ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกคุณ  แต่หากว่ามีการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลตามคำบังคับ(ที่คุณบอกมา)  หากว่ามีการขัดขวาง (ใช้คำว่าขัดขวางน่ะครับ ไม่ใช่ขัดขืน) ในการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี ใครก็ตามเจ้าพนักงานบังคับคดีมีสิทะที่จะให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมคุมขังได้ครับ นี่ก็เป็นกรณีหนึ่ง ก็ยังไมอีกหลายกรณีครับพี่น้องที่อาจถูกจับกุมคุมขังได้ โดยทั้งนี้ทั้งนั้นสาเหตุก็จะเกิดจากการที่ไปขัดขวางหรือไม่ให้ความร่วมมือในการบังคับคดีหลังคำพิพากษาของเจ้าพนัก

งานบังคับคดีนั้นแหละครับพีน้อง

//ข้อกฎหมายเดี่ยวผมว่าท่านทนายลีนนท์คงออดทนไม่ได้ที่จะต้องยกข้อกฎหมายตามวิ.แพ่ง มาให้พี่น้องได้รับทราบกระมังครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น คุณปู่ยังหนุ่ม วันที่ตอบ 2009-05-05 21:15:49


ความคิดเห็นที่ 2 (1933926)

จับกุม กักขัง ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่โจทก์ตามคำพิพากษาไม่สามารถบังคับจำเลยตามคำพิพากษาโดยทางอื่นได้ นอกจากวิธีจับกุม ดูตัวอย่าง

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2229/2540

 

โจทก์มีหน้าที่ต้องปฎิบัติตามคำพิพากษาที่พิพากษาให้โจทก์รื้อบ้านและออกไปจากที่ดินของจำเลย ตราบใดที่โจทก์ยังไม่รื้อบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของจำเลย จำเลยชอบที่จะขอให้ศาลออกหมายจับเพื่อจับกุมโจทก์มากักขังไว้จนกว่าจะรื้อบ้านออกไปจากที่ดินของจำเลย เมื่อผู้รับมอบอำนาจโจทก์ยังคงอยู่ในบ้านที่ถูกบังคับให้ต้องรื้อไปตามคำพิพากษาแต่ไม่ปรากฎว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์แสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในแปดวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศดังนี้ จำเลยย่อมขอให้ศาลออกหมายจับกุมผู้รับมอบอำนาจโจทก์มากักขังได้เช่นเดียวกัน เพราะกฎหมายถือว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นบริวารของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์แพ้คดีและถูกบังคับให้ต้องรื้อบ้านออกไปจากที่ดินของจำเลยตามฟ้องแย้งแล้ว กลับมาอ้างในชั้นบังคับคดีว่าโจทก์มิใช่เจ้าของบ้านดังกล่าวจึงไม่อาจปฎิบัติตามคำพิพากษาได้นั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์กล่าวอ้างขึ้นเพื่อประสงค์ให้การบังคับคดีของจำเลยถูกประวิงให้ล่าช้าออกไปเท่านั้นและการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ย้ายออกจากบ้านดังกล่าวไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ดี หรือบุคคลที่ยังอยู่ในบ้านมิใช่บริวารของโจทก์ก็ดี หาเป็นเหตุให้โจทก์และบริวารพ้นจากความรับผิดในอันที่จะถูกจับกุมไม่

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์รื้อถอนบ้านเลขที่ 319 และ 321 พร้อมกับขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3483 ตำบลโฆสิตาราม อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ของจำเลยกับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะรื้อถอนบ้านออกไป โจทก์ไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2537 โจทก์และนางสาวกนกพรรณ รัตนการุณย์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ซึ่งเป็นบริวารของโจทก์ถูกจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 จัตวา (1)

โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้ย้ายไปอยู่อาศัยที่บ้านเลขที่ 194/1 และบ้านเลขที่ 100/2 ตรอกวังหลัง แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2530 ส่วนบ้านเลขที่ 319 และ 321โจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของและเกี่ยวข้องมานานแล้วบุคคลที่อยู่อาศัยในบ้านทั้งสองหลังไม่ได้เป็นบริวารของโจทก์ กรณีที่จำเลยพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้เพิกถอนหมายจับและออกหมายปล่อย

จำเลยคัดค้านว่า โจทก์และบริวารยังคงอยู่อาศัยในบ้านพิพาททั้งสองหลัง การกระทำของโจทก์เป็นการประวิงคดีไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษาของศาลขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคดีมีเหตุที่จะเพิกถอนหมายจับหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องปฎิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้โจทก์รื้อบ้านเลขที่ 319 และ 321 ออกไปจากที่ดินของจำเลยตราบใดที่โจทก์ยังไม่รื้อบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของจำเลย จำเลยชอบที่จะขอให้ศาลออกหมายจับเพื่อจับกุมโจทก์มากักขังไว้จนกว่าจะรื้อบ้านออกไปจากที่ดินของจำเลย ขณะบังคับคดีจำเลยและเจ้าพนักงานบังคับคดีพบเห็นผู้รับมอบอำนาจโจทก์ยังคงอยู่ในบ้านที่ถูกบังคับให้ต้องรื้อไปตามคำพิพากษา เมื่อไม่ปรากฎว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์แสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในแปดวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศ ย่อมขอให้ศาลออกหมายจับกุมผู้รับมอบอำนาจโจทก์มากักขังได้เช่นเดียวกันเพราะกฎหมายถือว่าผู้รับอำนาจโจทก์เป็นบริวารของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์มิใช่เจ้าของบ้านที่จะต้องรื้อตามคำพิพากษาทั้งที่โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยบ้านดังกล่าวเป็นหลักฐานว่าโจทก์สร้างบ้านนี้ลงบนที่ดินของจำเลยและครอบครองบ้านบนที่ดินจำเลยจนเกิน10 ปี ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์เมื่อโจทก์แพ้คดีและถูกบังคับให้ต้องรื้อบ้านออกไปจากที่ดินของจำเลยตามฟ้องแย้งแล้ว กลับมาอ้างในชั้นบังคับคดีว่าโจทก์มิใช่เจ้าของบ้านดังกล่าว จึงไม่อาจปฎิบัติตามคำพิพากษาได้นั้น ย่อมเป็นข้อกล่าวอ้างที่ฟังไม่ขึ้นแต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าโจทก์กล่าวอ้างขึ้นเพื่อประสงค์ให้การบังคับคดีของจำเลยถูกประวิงให้ล่าช้าออกไปเท่านั้น และการที่โจทก์กล่าวอ้างต่อไปว่าโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ย้ายออกจากบ้านดังกล่าวไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ดี หรือบุคคลที่ยังอยู่ในบ้านมิใช่บริวารของโจทก์ก็ดี หาเป็นเหตุให้โจทก์และบริวารพ้นจากความรับผิดในอันที่จะถูกจับกุมไม่ เมื่อปรากฎโดยแจ้งชัดว่าโจทก์ไม่ยอมรื้อบ้านออกไปจากที่ดินของจำเลยตามคำบังคับให้ปฎิบัติตามคำพิพากษา และมีบุคคลเข้าไปอยู่อาศัยบ้านดังกล่าวในระหว่างการบังคับคดี จำเลยชอบที่จะให้จับกุมโจทก์และบุคคลดังกล่าวมากักขังไว้จนกว่าจะปฎิบัติตามคำพิพากษาคดีไม่มีเหตุให้เพิกถอนหมายจับ

พิพากษายืน

( วิชิน สุขนทีธรรม - สมมาตร พรหมานุกูล - กอบเกียรติ รัตนพานิช )

http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/docdetail.jsp

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-05-06 16:38:42



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล