ReadyPlanet.com


ช่วยวิเคราะห์คดีนี้เป็นกรณีศึกษาด้วยครับ(ขอบพระคุณครับ)


เมื่อเวลา 01.40 น. วันที่ 19 เมษายน 2552 พ.ต.ท.เฉลิมวัน วรรณะสถิต สารวัตรเวร สภ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งเหตุ คนร้ายเข้าไปโจรกรรมทรัพย์สินแต่ถูกเจ้าของบ้านใช้อาวุธ ปืนยิงเสียชีวิตบนหลังคาร้านขายของชำ เลขที่ 129/24 ถนนศูนย์ราชการนาสาร หมู่ 3 ต.นาสาร อ.พระพรหม จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.ท.วุฒิพงษ์ ฐิติสโรช รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.สมโภชน์ แก้วนิรมิตร รองผกก.ป. กำลังสายตรวจ-ฝ่ายสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่กองวิทยาการเขต 43 นครศรีธรรมราช แพทย์เวร รพ.มหาราช และหน่วยกู้ภัยใต้เต็กตึ้ง ที่เกิดเหตุอยู่บนหลังคาร้านขายของชำดังกล่าว พบกระเบื้องแตกเป็นช่องขนาดใหญ่ และมีศพคนร้ายนอนฟุบเสียชีวิตอยู่บนหลังคา โดยมีเลือดสดๆ ไหลหยดลงมาด้านล่างนองพื้นเปรอะเปื้อนข้าวของและสินค้าในร้านเต็มไปหมด หน่วยกู้ภัยใต้เต็กตึ้งต้องปีนขึ้นไปนำศพ ลงมาจากหลังคาอย่างทุลักทุเล ทราบชื่อผู้ตายคือ นาย ต่อ(นามสมมุติ) อายุ 18 ปี นักศึกษาชั้น ปวช. 2 วิทยาลัยอาชีวะแห่งหนึ่ง เสียชีวิตในสภาพถูกยิง ด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าที่ริมฝีปากบนด้านซ้าย จนฟันหักหลายซี่ และกระสุนฝังใน 1 นัด ในกระเป๋าเป้สะพาย ของผู้ตายมีอาวุธ มีดสปาตาร์ 2 เล่ม มีดปลายแหลม 1 เล่ม จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนมือปืนรายนี้คือ นายสมจิตร คงเส้ง อายุ 55 ปี เจ้าของร้านขายของชำ ถืออาวุธปืน ขนาด .38 ที่ใช้ก่อเหตุเข้ามอบตัวกับตำรวจ ต่อมาได้มีนางดวงสมร ชุมทองโด อายุ 39 ปี เจ้าของร้านขายของชำ ติดกับร้านของนายสมจิตร ได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่า มีคนร้ายอีก 1 คน วิ่งหลบหนีจากหลังคาร้าน ของนายสมจิตร มายังร้านขายของชำของตน จนกระเบื้องแตกหลายแผ่น คาดว่าคนร้ายพลัดตกจากหลังคา ลงมาในร้านของตนด้วย เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าไปตรวจสอบ ภายใจร้านพบนาย บักใส (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี เพื่อนร่วมแก๊ง ของผู้ตายหลบซ่อนอยู่ บริเวณชั้นวางของ จึงควบคุมตัวเอาไว้ได้ สอบสวนนายสมจิตร ให้การว่า ที่ผ่านมาร้านขายของชำของตน และร้านของนางดวงสมร มักจะถูกคนร้ายปีนขึ้นไปบนหลังคา และยกกระเบื้องออก แล้วหย่อนตัวลงไปในร้าน เพื่อโจรกรรมทรัพย์สินทั้งเงินสด และสินค้าไปแล้วหลายครั้ง ครั้งหลังสุด เมื่อ 2 เดือนก่อน มีคนร้ายเข้าไปโจรกรรมทรัพย์สิน เป็นเงินสด 8,000 บาท และสินค้าอื่น จำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง หลายรายก็ถูกคนร้ายงัดแงะ เข้าไปโจรกรรมทรัพย์สิน จนเดือดร้อนกันไปทั่ว ตนจึงตัดสินใจซื้อปืนมาไว้ ป้องกันทรัพย์สิน และไปฝึกซ้อมยิงปืนที่สนามยิงปืนเป็นประจำ ก่อนเกิดเหตุขณะตนนอนอนอยู่ในร้าน ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่บนหลังคา และพยายามจะยกกระเบื้องออก จึงตัดสินใจใช้ปืนยิงสุ่มไป ยังบริเวณที่ได้ยินเสียงบนหลังคา 2 นัด กระสุนถูกนายต่อ เสียชีวิต บนหลังคา ส่วนนาย บักใส วิ่งหนีบนหลังคา จนกระเบื้องมุงหลังคา ร้านของนางดวงสมร ซึ่งอยู่ติดกันแตกทะลุ ทำให้นายบักใส ได้พลัดตกลงไปในร้าน จนกระทั่งถูกตำรวจจับกุมได้ดังกล่าว ทางด้าน พ.ต.ท.วุฒิพงษ์ ฐิติสโรช เปิดเผยว่า จากการสอบสวนนายบักใส ให้การรับสารภาพว่า ร่วมกับผู้ตายก่อเหตุแค่ 2 คน แต่จากแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ ทราบว่า หลังจากมีเสียงปืนดังขึ้น ก็มีรถยนต์ขับออกไปอย่างรวดเร็ว คาดว่าคนร้ายน่าจะมี 4-5 คน และกระทำเป็นขบวนการอย่างมืออาชีพ ออกตระเวนก่อเหตุในหลายพื้นที่ ส่วนนายสมจิตร เจ้าของร้าน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และเป็นการกระทำเพื่อป้องกัน ทรัพย์สินของตัวเอง


ผู้ตั้งกระทู้ นักศึกษา :: วันที่ลงประกาศ 2009-04-25 23:40:20


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1929938)

แม้จะปรากฏตามข้อเท็จจริงของนายสมจิตรว่า มีคนร้ายเข้าไปโจรกรรมทรัพย์สินอยู่เป็นประจำก็ตาม แต่เหตุที่จะใช้อาวุธปืน ยิงใส่ บุคคลที่ตนเองคาดว่าน่าจะเป็นคนร้าย และซึ่งข้อเท็จจริงได้ปรากฏต่อมาว่าเป็นคนร้ายที่กำลังจะก่อเหตุก็ตาม แต่เนื่องจากคนร้ายและผู้ตายซึ่งอยู่บนหลังคามีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมาลักทรัพย์สินของตน นายสมจิตรจึงมีเหตุที่จะป้องกันสิทธิของตนได้ตามมาตรา 68 แต่เมื่อพิจารณาถึงภยันตรายที่ใกล้จะถึง กับการป้องกัน เห็นว่าไม่ได้สัดส่วนกัน แม้จะปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธมีดติดตัวมาด้วยแต่ก็ยังไม่ได้ใช้ ดังนั้นการกระทำของนายสมจิตรจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตาม มาตรา 69 

มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ กฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควร แก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้น ไม่มีความผิด

 

มาตรา 69 ในกรณีที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 67 และ มาตรา 68 นั้น ถ้าผู้กระทำได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่ง ความจำเป็นหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น เพียงใดก็ได้แต่ถ้าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากความตื่นเต้น ความ ตกใจหรือความกลัว ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำก็ได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4955/2528

 

การที่จำเลยใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของจำเลยในเวลากลางคืน 1 ที ทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ยาว 6 เซนติเมตร กะโหลกศีรษะใต้บาดแผลแตกเป็นแนวยาวไปตามบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร แสดงว่าจำเลยฟันโดยแรงขณะผู้เสียหายเพิ่งโผล่ออกมาจากใต้แคร่ ในสภาพที่ผู้เสียหายซ่อนตัวอยู่ใต้แคร่ซึ่งอยู่ในเขตจำกัด จำเลยอาจจะใช้วิธีการอื่นที่จะสกัดกั้นไม่ให้ผู้เสียหายออกมาและเรียกร้องให้ผู้อื่นมาช่วยจับผู้เสียหายไว้ได้ ทั้งมีทางที่จะสังเกตได้ทันทีว่าผู้โผล่ออกมาเป็นใคร จะเกิดภัยแก่จำเลยเพียงใดหรือไม่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายกะโหลกศีรษะแตกเป็นแนวยาว 5เซนติเมตรแพทย์ลงความเห็นว่ารักษานานกว่า 21 วันหายแต่ได้ความว่าผู้เสียหายรับการรักษาอยู่โรงพยาบาล 6-7 วันแล้วถูกส่งตัวไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก 9 วันจึงกลับบ้านไม่ปรากฏว่าหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องไปรับการรักษาที่ใดอีกหรือไม่ แสดงว่าบาดแผลของผู้เสียหายรักษาไม่เกิน 20 วัน จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297

 

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเตะผู้เสียหาย 1 ครั้ง และใช้มีดโต้ฟันศรีษะผู้เสียหาย 1 ครั้ง โดยมีเจตนาฆ่า จนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 6 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยกระทำการเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายเป็นเด็กเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านจำเลยในเวลากลางคืน จำเลยใช้มีดโต้กว้างประมาณ 3 นิ้ว ยาวประมาณ 1 ศอก ฟันผู้เสียหาย 1 ที เป็นแผลยาวประมาณ 6เซนติเมตร กะโหลกศีรษะใต้บาดแผลแตกเป็นแนวยาวไปตามบาดแผลยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ถือได้ว่าเป็นแผลฉกรรจ์แสดงว่าจำเลยฟันโดยแรงขณะผู้เสียหายเพิ่งโผล่ออกมาจากใต้แคร่ ในสภาพที่ผู้เสียหายซ่อนตัวอยู่ใต้แคร่ซึ่งอยู่ในเขตจำกัด จำเลยอาจจะใช้วิธีการอื่นที่จะสกัดกั้นไม่ให้ผู้เสียหายออกมาและเรียกร้องให้ผู้อื่นมาช่วยจับผู้เสียหายไว้ แต่กลับใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหายโดยแรงในทันทีที่ผู้เสียหายโผล่ออกจากแคร่มา ทั้งที่มีทางสังเกตได้ทันว่าผู้โผล่ออกมาเป็นใคร จะเกิดภัยแก่จำเลยเพียงใดหรือไม่ ดังนี้ เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ

ตามความเห็นของแพทย์ในรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประมาณการรักษาไว้นานกว่า 21 วัน แต่นายแพทย์เบิกความว่าผู้เสียหายรับการรักษาอยู่โรงพยาบาล 3 วันก็ออกไปแล้วไม่กลับมารับการรักษาอีกเลย ผู้เสียหายเบิกความว่ารับการรักษาอยู่โรงพยาบาล 6 - 7 วันแล้วถูกส่งตัวไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก9 วันจึงได้กลับบ้าน ไม่ปรากฏว่าหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องไปรับการรักษาที่ใดอีกหรือไม่ แสดงว่าบาดแผลของผู้เสียหายรักษาไม่เกิน 20 วัน จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน ฟังได้ว่าไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น ซึ่งในกรณีเช่นนี้ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้

พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 6 เดือน โทษจำคุกรอการลงโทษ 2 ปี

( ชวลิต นราลัย - เสนอ ศรนิยม - ไกร บุญญะกิติ )

http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/docdetail.jsp

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-04-26 10:28:55


ความคิดเห็นที่ 2 (1930013)
ขอบพระุคุณมากครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น นักศึกษา วันที่ตอบ 2009-04-26 14:36:05



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล