ReadyPlanet.com


บุตรบุญธรรม ฟ้องผู้รับบุตรบุญธรรมได้หรือไม่


ตามที่กฎหมาย มาตรา 1562 บัญญัติว่าผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้นั้น หมายรวมถึง ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือไม่ เพราะ มาตรา 1598/28 บัญญัติว่า บุตรบุญธรรมย่อมมีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม  หากบุตรบุญธรรมฟ้องผู้รับบุตรบุญธรรมเป็นคดีแพ่งและคดีอาญา จะถือว่าเป็นคดีอุทลุม และมีผลให้บุตรบุญธรรมไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่



ผู้ตั้งกระทู้ LPS :: วันที่ลงประกาศ 2009-06-14 13:59:05


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1950438)

คำว่า "ผู้บุพการี" หมายถึง บิดามารดา ปู่ย่าตายาย ทวด  และคำว่า "บิดา" ในความหมายของผู้บุพการี-  ก็คือ บิดาตามความเป็นจริง ไม่ได้หมายถึงเฉพาะแต่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น

บิดานอกกฎหมาย ก็ถือว่าเป็นผู้บุพการี ตามความเป็นจริงดังนั้น "ผู้บุพการี"  หมายถึง ผู้สืบสายโลหิตกันโดยตรงขึ้นไปตามความเป็นจริง

ผู้รับบุตรบุญธรรม-* ไม่ใช่บิดาสืบสายโลหิตกัน  จึงไม่เป็น "ผู้บุพการี"  ดังนั้น บุตรบุญธรรม - ฟ้องผู้รับบุตรบุญธรรมเป็นคดีแพ่งและ/หรือคดีอาญาจึงไม่เป็นคดีอุทลุม ไม่ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1562 จึงมีอำนาจฟ้อง

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-06-14 16:11:22


ความคิดเห็นที่ 2 (1950439)

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 714, 1442 และ 1478ตำบลวังไคร้ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี มีชื่อนางสำเภาและโจทก์ถือสิทธิครอบครองร่วมกัน เมื่อปี พ.ศ. 2527 นางสำเภาถึงแก่ความตาย จำเลยเป็นสามีมีสิทธิรับมรดกของนางสำเภาและเป็นผู้เก็บรักษา น.ส.3 ก. ทั้งสามฉบับไว้ โจทก์ประสงค์จะขอแบ่งที่ดินทั้งสามแปลงตามสิทธิและส่วนของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการรังวัดแนวเขตและจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ น.ส.3 ก. ทั้งสามฉบับดังกล่าวแก่โจทก์ หากไม่สามารถดำเนินการแบ่งแยกได้ ให้นำที่ดินทั้งสามแปลงออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน

จำเลยให้การว่า จำเลยกับนางสำเภาได้ขอโจทก์มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม โดยจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมาย ระหว่างที่อยู่ด้วยกันทั้งจำเลยและนางสำเภาได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ และได้ใส่ชื่อโจทก์ในที่ดิน น.ส.3 ก. พิพาท แต่ที่ดินน.ส.3 เลขที่ 1442 และ 1478 นางสำเภาได้ขายให้แก่ผู้มีชื่อไปแล้ว เพื่อชำระหนี้ระหว่างมีชีวิตอยู่ซึ่งโจทก์ก็ทราบดีและนางสำเภาได้มอบ น.ส.3 และที่ดินให้ผู้ซื้อครอบครองเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 1 ปี จำเลยจึงไม่มีสิทธิหรืออำนาจที่จะไปจดทะเบียนแบ่งแยกให้โจทก์ จำเลยเป็นบิดาบุญธรรมของโจทก์ตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะเป็นคดีอุทลุม ขอให้ยกฟ้อง

ในชั้นนี้สองสถาน โจทก์แถลงรับว่าเป็นบุตรบุญธรรมของจำเลยและนางสำเภาในวันนัดสืบพยาน โจทก์จำเลยต่างแถลงขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์เป็นอุทลุมหรือไม่ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายได้ จึงให้งดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยจดทะเบียนรับโจทก์เป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมายจึงมีฐานะเป็นบุพการีของโจทก์ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562ฟ้องโจทก์จึงเป็นอุทลุมโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์ อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

โจทก์ ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1598/28 บัญญัติว่า บุตรบุญธรรมย่อมมีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม และในวรรคที่ 2ได้บัญญัติว่า ให้นำบทบัญญัติในลักษณะ 2 หมวด 2 แห่งบรรพนี้(ตั้งแต่มาตรา 1561 ถึงมาตรา 1584/1) มาใช้บังคับโดยอนุโลมนั้น หมายความเพียงว่า ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตรมาใช้บังคับแก่บุตรบุญธรรมโดยอนุโลมเท่านั้นไม่ได้บังคับว่าจะต้องนำทุกมาตรามาใช้บังคับทั้งหมด เป็นต้นว่าบุตรบุญธรรมมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของผู้รับบุตรบุญธรรม ผู้รับบุตรบุญธรรมจำต้องอุปการะเลี้ยงดู และให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรบุญธรรมในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ และบุตรบุญธรรมก็จำต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้รับบุตรบุญธรรม แต่ที่มาตรา 1562 บัญญัติว่าผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้นั้นเป็นบทบัญญัติจำกัดสิทธิของบุคคล ต้องตีความโดยเคร่งครัดซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 เดิม(มาตรา 28 ที่แก้ไขใหม่) ได้บัญญัติความหมายของคำว่าผู้บุพการีและผู้สืบสันดานไว้ว่า ผู้บุพการี หมายความถึงบิดามารดาปู่ย่า ตายาย ทวด และผู้สืบสันดาน หมายความถึงลูก หลานเหลน ลื่อ เท่านั้น จึงเห็นได้ว่า ผู้บุพการี ย่อมหมายถึง บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย และทวด ที่สืบสายโลหิตกันโดยตรงขึ้นไปตามความเป็นจริงเท่านั้นจำเลยเป็นเพียงผู้รับโจทก์เป็นบุตรบุญธรรมไม่ใช่บิดาของโจทก์ จึงไม่ใช่ผู้บุพการีของโจทก์ตามบทกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ไม่ต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1562 ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นอุทลุมนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีข้ออื่น ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่

พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาล ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

( มหินทร์ สุรดินทร์กูร - อากาศ บำรุงชีพ - ดำรุพงศ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา )

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-06-14 16:14:43



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล