
ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน | |
ทำไม ผู้รับโอนจึงไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน และหมายความว่าอย่างไร มีความเป็นจริงเสมอไปหรือไม่ และมีข้อยกเว้นหรือไม่
| |
ผู้ตั้งกระทู้ LPS :: วันที่ลงประกาศ 2009-06-17 18:15:32 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (1951868) | |
หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
ได้ความว่าจำเลยที่ 1 เช่าโรงสีพร้อมทั้งเครื่องจักรสีเข้าของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดพระนครไปตั้งสีเข้าในที่ของจำเลยที่ 1 ที่จังหวัดตราด แลมีข้อสัญญากันว่าเครื่องอุปกรที่จำเลยสร้างเพิ่มเติมขึ้นต้องตกเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ด้วยบัดนี้จำเลยที่ 1 ได้ขายเครื่องจักร์โรงสีแลเครื่องอุปกรณ์ที่สร้างเพิ่มเติมขึ้นให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์จึงฟ้องขอให้เลิกสัญญาเช่าระวางโจทก์กับจำเลยที่ 1 กับขอให้เพิกถอนสัญญา ซื้อขายระวางจำเลยที่ 1 ที่ 2 แลขอให้คืนกรรมสิทธิในเครื่องจักร์สีเข้านั้นแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า (1)จำเลยที่ 2 ควรได้กรรมสิทธิเพราะซื้อโดยสุจริตตาม ม.1332(2) โรงสีกับเครื่องจักร์ได้ปลูกสร้างบนที่ดินของจำเลยที่ 1 ๆ ย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิตาม ม.1315 ฉะนั้นจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อจากจำเลยที่ 1 จึงได้กรรมสิทธิ (3)แม้จำเลยที่ 1 จะได้ทำสัญญายกให้โจทก์ก็ใช้ไม่ได้เพราะเป็นอสังหาริมทรัพย์ แลทำสัญญากันเองไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตาม ม.456-525-1299
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามข้อต่อสู้ของจำเลยข้อ 1 ที่อ้าง ม.1332 นั้นเป็นเรื่องซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดหรือในท้องตลาด ต่างกับเรื่องนี้เพราะเป็นการตกลงซื้อขายแก่กันฉะเพาะตัว ส่วนข้อ 2 เห็นว่าตามมาตรา 1315 นั้นบัญญัติแต่เรื่องสัมภาระของผู้อื่นที่บุคคลใดนำมก่อสร้างบนที่ดินของตนต่างกับคดีนี้เพราะเป็นเรื่องเช่าโรงสีแลเครื่งอจักร์เข้ามาปลูกชั่วคราว บทที่อ้างมาจึงไม่ตรงกับรูปคดีนี้ส่วนข้อ 3 บทกฎหมายที่อ้างขึ้นมาไม่ตรงกับคดีนี้เพราะคดีนี้ไม่ใช่เรื่องซื้อขายแลยกให้เป็นเรื่องเช่าต่างหาก คือจำเลยเช่าโรงสีแลเครื่องจักร์ของโจทก์ไปปลูกสร้าง ซึ่งจะต้องมีการซ่อมแซมเพิ่มเติมจึงได้มีสัญญากันไว้ว่า ถ้าจำเลยไม่เช่าแล้วยอมยกสิ่งที่ตนซ่อมแซมเพิ่มเติมขึ้นให้แก่โจทก์ จึงตัดสินให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระวางจำเลยทั้ง 2 นั้นเสีย ให้กรรมสิทธิโรงสีแลเครื่องจักร์เป็นของโจทก์
ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว
ถ้าบุคคลหลายคน เรียกเอาสังหาริมทรัพย์เดียวกันโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ต่างกันไซร้ ท่านว่าทรัพย์สินตกอยู่ในความครอบครองของบุคคลใด บุคคลนั้นมีสิทธิยิ่งกว่าบุคคลอื่นๆ แต่ต้องได้ทรัพย์นั้นมาโดยมีค่าตอบแทนและได้ครอบครองโดยสุจริต
ข้อเท็ดจิงได้ความว่านายประพันธได้ขายเครื่องไช้ไนร้านตัดผมไห้แก่โจทโดยมิได้ส่งมอบการครอบครองไห้โจทแล้วต่อมานายประพันธได้เอาทรัพย์นั้นขายไห้แก่จำเลยโดยจำเลยรับซื้อไว้โดยสุจริตและได้รับมอบการครอบครองมาเปนของจำเลยแล้ว โจทจึงมาฟ้องเรียกทรัพย์นั้นคืนมาจากจำเลย
สาลชั้นต้นพิจารนาแล้วพิพากสายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุธรน์ สาลอุธรน์พิพากสากลับให้จำเลยส่งทรัพย์ไห้โจทก์ แต่ผู้พิพากสาสาลอุธรน์นายหนึ่งมีความเห็นแย้ง
จำเลยดีกา สาลดีกาเห็นว่า ทรัพย์สินที่พิพาทได้หยู่ไนความครอบครองของจำเลยโดยจำเลยได้การครอบครองทรัพย์นั้นมาโดยสุจริตทั้งได้เสียค่าตอบแทนไปแล้วรวมกับทรัพย์อื่นอีก 19 ชิ้นเปนเงิน 170 บาท จำเลยจึงมีสิทธิ์ไนทรัพย์เหล่านั้นดีกว่าโจทตามประมวนกดหมายแพ่งและพานิชมาตรา 1303 จึงพิพากสากลับไห้ยกฟ้องโจท ยืนตามสาลชั้นต้น
สิทธิของบุคคลผู้ได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตนั้น ท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้ว่าผู้โอนทรัพย์สินให้จะได้ทรัพย์สินมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะ และนิติกรรมนั้นได้ถูกบอกล้างภายหลัง
สิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้นท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลย หรือลูกหนี้โดยคำพิพากษา หรือผู้ล้มละลาย
คดีนี้จำเลยแพ้ความ ล.ศาลยีดที่นาจำเลยออกขายทอดตลาด ผู้ร้องได้ซื้อที่รายนี้ไว้ต่อมาเดือนเศษโจทก์ฟ้องจำเลยเพราะผิดสัญญายอมความกับโจทก์ โจทก์ชนะคดีจึงนำยึดที่นารายนี้ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์
ศาลฎีกาเห็นว่าที่รายนี้เป็นที่มีโฉนดผู้ร้องได้ซื้อไว้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลโดยสุจริต แม้จะปรากฎในภายหลังว่ายังมีทันได้โอนโฉนดกันก็ดี ผู้ร้องก็ได้กรรมสิทธิตามป.พ.พ.ม. 1330 และตามนัยฎีกาที่ 271/2470 ที่ 331/2476 จึงพิพากษายืนตามศาลล่างให้โจทก์ถอนการยึด
บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา
โจทก์ฟ้องว่า เรือโกลนไม้ตะเคียนทองพิพาท 1 ลำ เป็นกรรมสิทธิของโจทก์ จำเลยได้บังอาจชักลากเอาไปเสีย และกลับเถียงกรรมสิทธิ จึงขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่า เป็นเรือของโจทก์และให้ชักลากไปไว้ที่เดิม ฯลฯ
จำเลยให้การว่า จำเลยประมูลเรือพิพาทได้มาณะที่ที่ว่าการอำเภอ จึงเป็นกรรมสิทธิของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เรือพิพาทเป็นของโจทก์ เจ้าพนักงานเข้าใจผิด เอาไปขายทอดตลาด แม้จำเลยจะซื้อไปก็ไม่ได้กรรมสิทธิ พิพากษาว่าเรือพิพาทเป็นของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเฉพาะแต่ในเรื่องกระทำละเมิด และเรียกทรัพย์คืน มิได้เสนอขอชดใช้ราคาตามหน้าที่ของตนตามมาตรา 1332 ประเด็นจึงมีแต่ว่า จำเลยซื้อทรัพย์พิพาทโดยสุจริตหรือไม่คือจำเลยได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิเรือพิพาทหรือไม่ ซึ่งตามรูปเรื่อง จำเลยมิได้รู้ถึงกรรมสิทธิของโจทก์เลย ทั้งผู้เข้าซื้อทอดตลาดก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องสอบสวนการกระทำของเจ้าพนักงานว่าถูกผิดกับกฎหมายบทนี้อย่างใด ฉะนั้นแม้โจทก์จะมีกรรมสิทธิในเรือพิพาทจริง ก็ไม่อาจจะบังคับเรียกคืนเรือโกลนนั้นจากจำเลย ดั่งฟ้องได้ จึงพิพากษายืน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อสายพานไว้จากพ่อค้าในท้องตลาดด้วยความสุจริต จำเลยพาตำรวจมายึดไปจากโจทก์ โดยอ้างว่า เป็นสายพานของจำเลยซึ่งถูกผู้ร้ายลักไปแล้วจำเลยได้รับสายพานนั้นคืนไปจากตำรวจ จึงขอให้จำเลยคืนสายพาน หรือใช้ราคา 2035 บาทให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยคืนสายพานแก่โจทก์ ถ้าไม่คืนก็ให้ใช้ราคาสายพานพร้อมทั้งดอกเบี้ย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 และได้ชำระราคาให้แล้ว ได้ติดต่อให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบทะเบียนและหลักฐานการโอน จำเลยที่ 1 ผัดผ่อนเรื่อยมาจนเลิกกิจการ ต่อมาโจทก์ทราบว่ารถยนต์คันนี้เดิมเป็นของจำเลยที่ 2 ขายให้จำเลยที่ 1 แต่ชื่อตามทะเบียนยังเป็นของจำเลยที่ 2 จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบทะเบียนรถแก่โจทก์ มิฉะนั้นก็ให้มีคำสั่งให้นายทะเบียนยานพาหนะออกทะเบียนหรือใบแทนลงชื่อโจทก์เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่สิทธิดีกว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของอันแท้จริงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์คืนรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ 2 ถ้าคืนไม่ได้ ให้ใช้ราคา 25,000บาทแทน
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 และมาตรา 572 แล้วเห็นว่า การเช่าซื้อนอกจากผู้ให้เช่าตกลงให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดแล้ว ผู้ให้เช่ายังได้ให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าในเมื่อผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวด้วย ดังนั้นในกรณีที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินครบถ้วนให้แก่ผู้ให้เช่าแล้ว ทรัพย์นั้นก็ตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าในทำนองเดียวกันกับผู้ให้เช่าได้ขายทรัพย์นั้นให้แก่ผู้เช่า จึงถือได้ว่าผู้เช่าซื้อซึ่งได้ใช้เงินครบถ้วนแล้วเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินตามความในมาตรา 1332
ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ขายรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แต่กลับได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้นางเส็งเช่าไป จำเลยที่ 2 จึงยังคงเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาท จริงอยู่ โจทก์เป็นผู้ซื้อรถยนต์ตามความในมาตรา 1332 แต่ตามความในมาตรานี้มิได้บัญญัติให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ หากแต่ให้มีสิทธิชนิดหนึ่งเท่านั้น คือ ให้มีสิทธิที่จะยึดทรัพย์นั้นไว้ได้ ไม่ต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบทะเบียนและให้จัดการใส่ชื่อโจทก์ในทะเบียน
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์จะต้องคืนรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ 2 หรือไม่ เมื่อคดีได้ความว่า โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อโดยสุจริตจากพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้น และได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว และถือว่าเป็นผู้ซื้อดังได้วินิจฉัยมาแล้ว โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามความในมาตรา 1332 คือโจทก์ไม่จำต้องคืนรถยนต์พิพาทให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้เสนอขอชดใช้ราคาตามหน้าที่ของตน ศาลไม่อาจบังคับเรียกคืนทรัพย์สินนั้นจากโจทก์ได้
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 แต่ไม่ขัดสิทธิจำเลยที่ 2 ที่จะเรียกทรัพย์รายนี้คืนตามสิทธิของตนต่อไป นอกจากที่แก้นี้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่า "ท้องตลาด" ในบทบัญญัติ ป.พ.พ.มาตรา 1332 หมายความถึงที่ชุมนุมแห่งการค้า เมื่อโจทก์อ้างว่าซื้อจากท้องตลาด โจทก์ก็มีหน้าที่นำสืบแต่ข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่า ร้านที่โจทก์ซื้อสายพานมาอยู่ในท้องตลาด โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าชดใช้ราคาทรัพย์สินที่ซื้อมา จึงพิพากษากลัยให้ยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีอาชีพในทางตั้งร้านค้าสิ่งของทองรูปพรรณ จำเลยที่ 2 มีอาชีพในทางรับสิ่งของอันมีค่าเพียงเร่ขายเป็นปกติ จำเลยที่ 2 ได้นำเข็มขัดนาคมาบอกขายให้โจทก์เป็นราคา 2,000 บาท แต่ในที่สุดตกลงราคากัน 1,700 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1นำเจ้าพนักงานไปยึดเข็มขัดนาคจากโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 มาหลอกลวงรับเข็มขัดนาคของจำเลยที่ 1 ไปจำหน่าย แล้วไม่ใช้ราคาให้เจ้าพนักงานได้มอบเข็มขัดให้จำเลยที่ 1 ไป โจทก์จึงฟ้องขอให้คืนเข็มขัด หรือใช้ราคา 2,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 มาพูดหลอกลวงรับเอาเข็มขัดไปจากจำเลยที่ 1 ต่อมาเจ้าพนักงานจับเข็มขัดได้จากโจทก์ จึงคืนให้จำเลยที่ 1 โจทก์หามีสิทธิฟ้องเรียกคืน หรือให้จำเลยที่ 1ใช้ราคาไม่ จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1และให้จำเลยที่ 2 ใช้ราคา 1,700 บาท ศาลอุทธรณ์แก้ให้จำเลยที่ 1 คืนเข็มขัดนาคถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 1,700 บาท จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2 ตั้งร้านขายของชำและมีอาชีพทางรับของเครื่องรูปพรรณที่ทำด้วยเงิน ทองนาค จากร้านขายของไปเที่ยวจำหน่ายเพื่อหากำไรบ้าง ขายเครื่องรูปพรรณของตนเองบ้าง และจำเลยได้ปฏิบัติการค้าเช่นนี้เป็นอาชีพตลอดมาเป็นเวลา 10 ปีแล้วฐานะของจำเลยที่ 2 มีอาชีพเช่นนี้ จำเลยที่ 1 ก็ทราบดี เพราะจำเลยที่ 2 เคยไปติดต่อรับของไปจากร้านจำเลยที่ 1 ไปจำหน่ายพฤติการณ์ดังนี้พอถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นพ่อค้าขายของรูปพรรณเมื่อจำเลยที่ 2 นำมาขายให้โจทก์ และโจทก์รับซื้อไว้โดยสุจริตโจทก์จึงไม่ต้องคืนเจ้าของอันแท้จริง เว้นแต่จะชดใช้ราคาที่โจทก์ซื้อไว้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332
พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคา 1,700 บาท ให้โจทก์ตามฟ้องหรือจะเลือกคืนเข็มขัดนาคให้โจทก์ตามฟ้อง แทนการใช้ราคาก็ได้นอกนั้นยืนตาม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อไปจำหน่าย 15 เล่ม ระหว่างทางเรือล่ม สลากศูนย์หายไปทั้งหมด ได้แจ้งความและอายัติต่อสำนักงานสลากกินแบ่งแล้ว ต่อมาปรากฎว่าสลากที่ศูนย์หายนั้นถูกรางวัลที่ 7 ฉะบับ จำเลยนำมาขอรับเงินรางวัลต่อสำนักงานสลากกินแบ่ง 3 ฉะบับ รวมเป็นเงิน 3000 บาท จึงขอให้จำเลยคืนสลากกินแบ่ง 3 ฉะบับนั้นแก่โจทก์ ฯลฯ จำเลยต่อสู้ว่า ซื้อมาโดยสุจริต ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1332 เพราะจำเลยซื้อสลากมาจากผู้มีอาชีพทางค้าขายสลากกินแบ่ง และไม่มีเหตุที่จะส่อให้เห็นว่า จำเลยซื้อไว้โดยทุจริต หรือืทราบการอายัติของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สลากกินแบ่งรัฐบาลนี้ จัดว่าเป็นทรัพย์สินชะนิดหนึ่ง ซึ่งซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้ ผู้ใดถือสลากย่อมถือว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของ เว้นแต่จะมีเหตุแสดให้เห็นว่า ผู้นั้นมีไว้โดยไม่สุจริต แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงมิได้ปรากฎว่าจำเลยมีสลากไว้โดยไม่สุจริตอย่างใด คดีจึงพออนุโลมเข้าใน ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1332 ได้ ฯลฯ จึงพิพากษาสยืน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 และได้ชำระราคาให้แล้ว ได้ติดต่อให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบทะเบียนและหลักฐานการโอน จำเลยที่ 1 ผัดผ่อนเรื่อยมาจนเลิกกิจการ ต่อมาโจทก์ทราบว่ารถยนต์คันนี้เดิมเป็นของจำเลยที่ 2 ขายให้จำเลยที่ 1 แต่ชื่อตามทะเบียนยังเป็นของจำเลยที่ 2 จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบทะเบียนรถแก่โจทก์ มิฉะนั้นก็ให้มีคำสั่งให้นายทะเบียนยานพาหนะออกทะเบียนหรือใบแทนลงชื่อโจทก์เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่สิทธิดีกว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของอันแท้จริงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์คืนรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ 2 ถ้าคืนไม่ได้ ให้ใช้ราคา 25,000บาทแทน โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 และมาตรา 572 แล้วเห็นว่า การเช่าซื้อนอกจากผู้ให้เช่าตกลงให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดแล้ว ผู้ให้เช่ายังได้ให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าในเมื่อผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวด้วย ดังนั้นในกรณีที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้เงินครบถ้วนให้แก่ผู้ให้เช่าแล้ว ทรัพย์นั้นก็ตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าในทำนองเดียวกันกับผู้ให้เช่าได้ขายทรัพย์นั้นให้แก่ผู้เช่า จึงถือได้ว่าผู้เช่าซื้อซึ่งได้ใช้เงินครบถ้วนแล้วเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินตามความในมาตรา 1332
ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ขายรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แต่กลับได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้นางเส็งเช่าไป จำเลยที่ 2 จึงยังคงเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาท จริงอยู่ โจทก์เป็นผู้ซื้อรถยนต์ตามความในมาตรา 1332 แต่ตามความในมาตรานี้มิได้บัญญัติให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ หากแต่ให้มีสิทธิชนิดหนึ่งเท่านั้น คือ ให้มีสิทธิที่จะยึดทรัพย์นั้นไว้ได้ ไม่ต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบทะเบียนและให้จัดการใส่ชื่อโจทก์ในทะเบียน
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์จะต้องคืนรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ 2 หรือไม่ เมื่อคดีได้ความว่า โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อโดยสุจริตจากพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้น และได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว และถือว่าเป็นผู้ซื้อดังได้วินิจฉัยมาแล้ว โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามความในมาตรา 1332 คือโจทก์ไม่จำต้องคืนรถยนต์พิพาทให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้เสนอขอชดใช้ราคาตามหน้าที่ของตน ศาลไม่อาจบังคับเรียกคืนทรัพย์สินนั้นจากโจทก์ได้
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 แต่ไม่ขัดสิทธิจำเลยที่ 2 ที่จะเรียกทรัพย์รายนี้คืนตามสิทธิของตนต่อไป นอกจากที่แก้นี้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น ค้นหารวบรวม วันที่ตอบ 2009-06-17 18:27:24 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2392301) | |
ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน คำพิพากษาฎีกาที่ 814/2554 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 0859604258 วันที่ตอบ 2013-07-26 15:10:21 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2392302) | |
ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน(ซื้อรถยนต์จากผู้กระทำความผิด)
(รูปภาพสำหรับ - สำนักงานทนายความ, และ ทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ)
บริการของ สำนักงานกฎหมายพีศิริ ทนายความ
ทนายความคดีครอบครัว ทนายความฟ้องหย่า สำนักงานทนายความ โดย ทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ รับฟ้องคดีครอบครัว เช่น ฟ้องหย่าโดยความยินยอม ฟ้องหย่าตามบันทึกข้อตกลง ฟ้องหย่าให้โจทก์แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ฟ้องหย่าให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ฟ้องหย่าเรียกค่าเลี้ยงชีพ ฟ้องหย่าเรียกคืนของหมั้น ฟ้องหย่าแบ่งสินสมรส ฟ้องหย่าอ้างเหตุอุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่น ฟ้องหย่าอ้างเหตุเป็นชู้หรือมีชู้ ฟ้องหย่าอ้างเหตุร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ __________________________________________________________
รายชื่อสำนักงานทนายความ,และ ทนายความ สำนักงานกฎหมายและบัญชี อินเตอร์ คอนซัลแตนท์ บริษัท กฎหมายเมืองทอง จำกัด บริษัท ศักยภาพกฎหมายและธุรกิจ จำกัด สำนักงานกฎหมาย อัมรา สามนกฤษณะ ทนายความ บริษัท ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ดนัยและเพื่อน สนง ทนายความ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 0859604258 วันที่ตอบ 2013-07-26 15:11:25 |
[1] |