เช่าซื้อบ้าน (สามีเช่าซื้อบ้านโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา) | |
สามีดิฉันได้ไปทำสัญญาเช่าชื้อบ้าน โดยที่ดิฉันไม่รู้เรื่อง และไม่ได้ให้ความยินยอม และก็ไม่ได้อาศัยอยู่บ้านหลังนั้นด้วย ตรงนี้สามีเขาจะมีความผิดไมค่ะ แล้วดิฉันจะต้องมารับผิดชอบเรื่องหนี้สินเช่าซื้อบ้านกับเขาหรือไมค่ะ ขอความอนุเคราะห์ปรึกษาแนะนำด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
| |
ผู้ตั้งกระทู้ ทุกข์ใจ :: วันที่ลงประกาศ 2013-11-06 09:42:17 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2434563) | |
สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย คือจดทะเบียนสมรสกัน ในกรณีที่ไม่ได้ทำสัญญาก่อนสมรสในเรื่องทรัพย์สินกันไว้ย่อมต้องอยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 1476 ที่คัดลอกมาให้พิจารณาด้านล่างนี้ ดังนั้นตามคำถามว่า สามีของคุณไปทำนิติกรรมเช่าซื้อบ้านโดยไม่ได้รับความยินยอมจากคุณซึ่งเป็นคู่สมรสนั้นมีผลบ้งคับหรือไม่ สามีมีความผิดหรือไม่? ตามมาตรา 1476 ด้านล่างนี้บัญญัติเรื่องการเช่าซื้อไว้ว่า สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณี "ให้เช่าซื้อ" เท่านั้น ดังนั้นการเช่าซื้อเป็นการได้มาซึ่งสินสมรสจึงไม่อยู่ในเงื่อนไขว่าต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง สัญญาเช่าซื้อจึงมีผลบังคับได้ไม่เป็นโมฆียะ และสามีของคุณไม่มีความผิดครับ การที่สามีของคุณไปก่อหนี้สินโดยที่คุณไม่ได้ให้ความยินยอมและเป็นคู่สัญญาคุณจึงไม่อยู่ในฐานะลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว และสัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาเช่าชนิดหนึ่งที่คู่สัญญาตกลงให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้เช่าซื้อเมื่อได้ผ่อนชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ขณะที่ยังผ่อนชำระหนี้หรือเช่าซื้ออยู่นั้นกรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้เช่าซื้ออยู่ครับ มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2013-12-04 09:20:19 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2434657) | |
ความยินยอมในการจัดการสินสมรส การที่ศาลนัดสืบพยานโจทก์และผู้ร้องทราบนัดแล้วไม่ไปศาลตามนัดโดยศาลมิได้สั่งงดสืบพยาน ศาลจึงดำเนินกระบวนพิจารณาไป ถือไม่ได้ว่าเป็นการผิดระเบียบ เมื่อจำเลยได้รับสำเนาคำร้องขอกันส่วนแล้วไม่คัดค้าน กรณีเป็นเรื่องพิพาทระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ ศาลไม่ต้องนัดสืบพยานจำเลย คำยินยอมของสามีหรือภรรยาเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งทำนิติกรรมนั้นไม่ต้องทำต่อหน้าเจ้าพนักงาน เมื่อผู้ร้องรับว่าหนังสือยินยอมเป็นหนังสือของผู้ร้องที่ถูกต้องแท้จริงแล้วก็นำไปใช้จดทะเบียนจำนองที่ดินได้ หาเป็นโมฆะไม่ การที่ผู้ร้องทำหนังสือระบุว่า ให้ความยินยอมในการทำนิติกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขหนี้จำนอง รวมทั้งกิจการอื่นที่กระทำไปโดยผู้ร้องขอร่วมรับผิดชอบในนิติกรรมนั้น เสมือนผู้ร้องได้กระทำเองทุกประการ ถือว่า ผู้ร้องยอมให้สัตยาบันหนี้ที่เกิดขึ้นว่าเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ก่อหนี้กับผู้ร้อง. (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3693/2532) ผู้ร้องในฐานะภรรยาของจำเลยที่ 2 ลงชื่อให้ความยินยอมในการทำนิติกรรมจำนองที่ดิน แม้หนังสือยินยอมจะไม่ได้ทำที่สำนักงานที่ดิน และต่อเจ้าพนักงานที่ดินก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1479 หนังสือยินยอมระบุว่า กิจการใดที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำไปผู้ร้องร่วมรับผิดชอบในนิติกรรมนั้นด้วย เสมือนหนึ่งผู้ร้องได้กระทำเองทุกประการ แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องได้รับรู้ถึงหนี้สินที่จำเลยที่ 2ได้ก่อให้เกิดขึ้น และถือได้ว่าผู้ร้องให้สัตยาบันหนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 ต้องผูกพันที่ดินและทรัพย์สินอื่นรวมทั้งส่วนของผู้ร้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นสินสมรสและสินส่วนตัว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1489 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3234/2536 จำเลยร่วมซึ่งเป็นสามีของ ย. ได้ลงชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือยกกรรมสิทธิ์ที่ดิน และทำบันทึกข้อตกลงสามฝ่ายยินยอมให้ ย. โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ถือว่าจำเลยร่วมยินยอมให้ ย. แลกเปลี่ยนที่ดินที่เป็นสินสมรสกับโจทก์ เมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติการชำระหนี้ด้วยการโอนที่ดินของตนให้แก่จำเลยตามข้อตกลงตรงตามความประสงค์ของ ย. แล้ว สัญญาหรือข้อตกลงจะแลกเปลี่ยนที่ดินระหว่างโจทก์กับ ย.จึงมีผลบังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 519ประกอบด้วย มาตรา 456 วรรคสอง จำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการมรดกของ ย.จึงต้องโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของย. ให้แก่โจทก์
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น admin วันที่ตอบ 2013-12-04 16:24:29 |
[1] |