ReadyPlanet.com


อยากจะถามเรื่องการครอบครองที่ดินค่ะ


ที่ดินของข้าพเจ้ามีจำนวน 11 ไร่เศษ มีบ้านพักอาศัย และ ทำการเกษตร

เมื่อปี พ.ศ.2513 ย่าซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ถูกเพื่อนบ้านข้างเคียงโกงที่ดิน โดยถูกหลอกให้กดปั้มลายนิ้วมือ ในเอกสารสำคัญที่ ทางที่ดินมารางวัดในวันสอบเขต โดยที่ไม่รู้ว่าทางเพื่อนบ้านได้โกงที่ดินไปแล้ว ซึ่งภาพในโฉนดที่ดิน ออกมาแบบตัดตรง แต่ สภาพพื้นที่จริง ของข้าพเจ้าครอบครองอยู่เดิม มันเป็นลักษณะโค้งตามคันนา และทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม

จนกระทั่งมาถึงวันนี้ มีการรางวัดที่ดินกันอีกครั้ง ข้าพเจ้าก็ยืนยันตามสภาพพื้นที่ ที่ครอบครองอยู่เดิม แต่ทางเพื่อนบ้านคนเดิมก็ยืนยันตามโฉนดที่เค้าได้โกงไป

ในกรณีนี้ มีรั้ว มีขอบเขตการเป็นเจ้าของที่แน่ชัด มีพยานแวดล้อมที่เป็นชาวบ้าน เค้ารู้กันทั้งหมู่บ้านว่าข้าพเจ้าถูกโกง แบบนี้ ข้าพเจ้าจะมีสิทธิ์ฟ้องครอบครองปรปักษ์ ได้หรือไม่ และถ้าหากเกิดการฟ้องครอบครองปรปักษ์เอาที่ตัวเองกลับคืน ข้าพเจ้ามี%ที่จะชนะความได้หรือไม่



ผู้ตั้งกระทู้ พรรณรายณ์ :: วันที่ลงประกาศ 2009-12-11 15:51:17


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2015122)

ต้องทราบก่อนว่าที่ดินดังกล่าวเป็นโฉนดที่ดินเมื่อปีใด

การจะอ้างการครอบครองปรปักษ์ได้นั้นจะต้องเริ่มนับตั้งแต่ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินมีโฉนดซึ่งผู้เป็นเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น การครอบครองที่ดินมีโฉนดของผู้อื่นต้องครอบครองโดยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาอย่างเป็นเจ้าของ และเกิน 10 ปี

มีคำถามว่า เมื่อเวลาที่คุณย่าของคุณถูกโกงนั้น ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินมีโฉนดแล้วใช่หรือไม่ หากคำตอบคือใช่ แสดงว่าทางคุณได้ครอบครองโดยความสงบ เปิดเผย อย่างเป็นเจ้าของมาเกิน 10 ปี ย่อมครบองค์ประกอบการอ้างการครองครองปรปักษ์

ดังนั้นการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณซึ่งได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์ โอกาสชนะคดีนั้นมีสูง

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2009-12-11 19:48:32


ความคิดเห็นที่ 2 (2015360)

การครอบครองที่ดินพิพาทแทนเจ้าของไม่ได้กรรมสิทธิ์

 

จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดย จ. และเจ้าของรวมคนอื่นให้จำเลยอยู่อาศัย เป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนเจ้าของ จำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน จำเลยเพิ่งมาโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทภายหลังจากที่มีการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินและโจทก์ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท นับถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี จำเลยยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท

 


คำพิพากษาที่  6035/2551

 

    โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 28507 ตำบลไผ่พระ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 2 งาน 31 ตารางวา และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายออกไปจากที่ดินโจทก์

          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท

          โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง

            ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งแปลงโดยการครอบครองปรปักษ์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 30 ออกไปจากที่ดินโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 3,000 บาท ยกฟ้องแย้ง

          จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 9129 มีผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม 3 คน คือ นางสมใจ นางขาว และนางจุ้ยโดยยังไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นสัดส่วน ต่อมานางจุ้ยจดทะเบียนยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้นางถวิล บุตรของนางจุ้ย ต่อมานางขาวตายที่ดินเฉพาะส่วนของนางขาวเป็นมรดกตกทอดแก่นางสมพิศ มารดาโจทก์ วันที่ 11 มิถุนายน 2540 มีการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9129 ส่วนของนางสมพิศเป็นที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 25807 เนื้อที่ 2 งาน 31 ตารางวา ส่วนของนางถวิลเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 28508 เนื้อที่ 2 งาน 53 ตารางวา วันที่ 17 มิถุนายน 2540 นางสมพิศจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ จำเลยเป็นบุตรเขยนางจุ้ย บ้านเลขที่ 30 ของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินพิพาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า นางจุ้ยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9129 เพียงส่วนเดียว นางจุ้ยจดทะเบียนยกที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้นางถวิลบุตรคนหนึ่งของนางจุ้ย ดังนั้น หากนางจุ้ยยกที่ดินพิพาทให้จำเลยผู้เป็นบุตรเขยจริงนางจุ้ยก็น่าที่จะต้องไปจดทะเบียนยกให้ให้ถูกต้อง ที่ดินโฉนดเลขที่ 9129 มีการจดทะเบียนแบ่งแยกกันเมื่อปี 2540 ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนแบ่งแยกนางจุ้ยและเจ้าของรวมคนอื่นย่อมไม่อาจทราบได้ว่าเมื่อแบ่งแยกแล้วที่ดินของตนจะเป็นแปลงใด ข้ออ้างของจำเลยที่ว่านางจุ้ยยกที่ดินพิพาทให้จำเลยจึงไม่น่าเชื่อถือเพราะขณะนั้นนางจุ้ยเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าที่ดินดังกล่าวจะเป็นส่วนของนางจุ้ยหรือไม่ ประกอบกับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อมีการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินกัน จำเลยได้โต้แย้งคัดค้าน ข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบฟังได้เพียงว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทเท่านั้น เป็นการอยู่โดยนางจุ้ยและเจ้าของรวมคนอื่นให้จำเลยอยู่อาศัย เป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนเจ้าของ ดังนั้นจำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น จำเลยเพิ่งมาโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทภายหลังจากที่มีการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินและโจทก์ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท นับถึงวันฟ้องยังไม่ครบ 10 ปี จำเลยยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและยกฟ้องแย้งของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

          อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องแย้ง โดยมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมส่วนฟ้องแย้งนั้นยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ให้ถูกต้อง

            พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งทั้งสามศาลให้เป็นพับ.


 

 

( อร่าม เสนามนตรี - เปรมใจ กิติคุณไพโรจน์ - นพวรรณ อินทรัมพรรย์ )

 

ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา - นางสาวปทุมาวดี พิชชาโชติ

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายชาตรี สุริยะวิจิตรวงศ์

 

ผู้แสดงความคิดเห็น **** วันที่ตอบ 2009-12-12 21:40:04



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล