ที่ดิน | |
มีปัญหาเรื่องที่ดิน ข้างเคียงไม่ยอมรับแนวเขต และเค้าไปฟ้องต่อศาลจะครอบครองปรปักษ์ที่ดิน ศาลจึงนัดไกล่เกลี่ย เรายอมยกให้ที่เค้าบางส่วน เพื่อให้มันจบๆ ตกลงกันเรียบร้อย ศาลจึงออกคำพิพากษายอมให้ เพื่อใช้ในการสอบแนวเขตที่ดินอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อถึงวันรังวัดเค้าบอกว่าเค้าไม่เอาตามคำพิพากษายอมแล้ว แบบนี้จะได้หรือไม่ค่ะ และควรทำอย่างไรดี | |
ผู้ตั้งกระทู้ น้ำฟ้า :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-14 15:17:08 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2199959) | |
เมื่อได้มีการตกลงกันโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาลแล้ว ย่อมต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตาม อีกฝ่ายหนึ่งอาจบังคับคดีไปตามคำพิพากษาตามยอมได้ครับ มาตรา 138 ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอม ความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้องนั้น และข้อตกลง หรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้ศาลจดรายงานพิสดารแสดงข้อความแห่งข้อตกลงหรือการประนี ประนอมยอมความเหล่านี้ไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้ ถ้าคู่ความตกลงกันเพียงแต่ให้เสนอคดีต่ออนุญาโตตุลาการ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยอนุญาโตตุลาการ มาใช้บังคับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ทนายความ ลีนนท์ วันที่ตอบ 2011-07-27 23:01:12 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2199963) | |
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว แต่พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21/2548 สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่า โจทก์จะต้องก่อสร้างผนังด้านหลังชั้น 2 กว้าง 10 เมตร สูง 7 เมตร ทำระเบียงชั้น 2 ด้านหน้า พร้อมทั้งเสาหินอ่อน 2 ต้น ขนาดกว้าง 10 เมตร สูง 3 เมตร โดยไม่คิดค่าแรงเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือระบุให้โจทก์กระทำการดังกล่าว จึงเป็นการกำหนดให้โจทก์ปฏิบัติการชำระหนี้นอกเหนือไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ การที่โจทก์หยุดการทำงานเพราะเหตุดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำลยทั้งสองยอมรับว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้ค่าจ้างโจทก์อยู่ 990,000 บาท และจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์เป็นงวด งวดแรกชำระ 450,000 บาท ในวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ งวดที่สองจะชำระให้อีก 540,000 บาท เมื่อโจทก์นำคนงานมาทำงานที่ค้างอยู่ครบ 3 สัปดาห์ โดยโจทก์ต้องนำคนงานมาทำงานภายในกำหนดเวลาไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ครั้นวันที่ 29 มิถุนายน 2543 โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยอ้างว่า จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ชำระเงินจำนวน 540,000 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีโดยอ้างว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองฎีกา พิพากษายืน ( มนตรี ยอดปัญญา - วิบูลย์ มีอาสา - ประจักษ์ เกียรติ์อนุพงศ์ )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-07-27 23:09:36 |
ความคิดเห็นที่ 3 (2199964) | |
สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาและการบังคับคดีตามคำพิพากษาต้องเป็นไปตามระยะเวลาและขั้นตอนตามคำพิพากษา ดังนั้น การจะบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 และ ข้อ 3 ได้ จะต้องมีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 ก่อน | |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-07-27 23:15:10 |
ความคิดเห็นที่ 4 (2199970) | |
วัตถุประสงค์ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล วัตถุประสงค์ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงมุ่งระงับข้อพิพาทระหว่างกันหากไม่ปฏิบัติก็บังคับคดีกันไปเพื่อให้สมวัตถุประสงค์แห่งการทำสัญญาที่ต้องการให้ข้อพิพาทระหว่างกันระงับไปด้วยวิธีการดังกล่าว หาใช่ว่าหากไม่ปฏิบัติตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วจะทำให้ข้อกำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความสิ้นผลไปโดยคู่สัญญาไม่จำต้องปฏิบัติตามสัญญาแต่อย่างใดไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651/2547
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินจำนวนสองแปลงแก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์จะชำระเงินให้แก่จำเลย จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในวันที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงให้โจทก์เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว? ต่อมาภายหลังพ้นกำหนด ๖ เดือน ตามที่กำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ยื่นคำร้องขอวางเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อศาลเพื่อให้จำเลยรับไป กับขอให้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินให้จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่โจทก์แทน โดยอ้างว่าจำเลยผัดผ่อนและผิดนัดการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์วางเงินดังกล่าวเพื่อชำระแก่จำเลยและมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยยื่นคำแถลงคัดค้านว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยผิดนัดไม่ไปรับโอนที่ดินภายในกำหนด จำเลยจึงไม่จำต้องโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไป ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้สำนักงานที่ดินจังหวัดสระแก้วออกใบแทนกับจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยได้ทำกันไว้ จำเลยอุทธรณ์ จำเลยฎีกา พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ. ( ปรีดี รุ่งวิสัย - ทองหล่อ โฉมงาม - สมศักดิ์ เนตรมัย )
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น * วันที่ตอบ 2011-07-27 23:25:09 |
[1] |