ทั้งบริษัทขิงและบริษัท ข่า ต่างเป็นบุคคลตามกฎหมาย

บริษัทขิง มีสิทธิจะทำนิติกรรมกับใครก็ได้

บริษัทข่า ก็มีสิทธิทำนิติกรรมกับใครก็ได้

บริษัทข่าไปทำนิติกรรมกับลูกค้าของบริษัทขิงและเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทของอยู่ แม้จะมีนายแสบเป็นกรรมการคนเดียวกันแต่การทำนิติกรรมก็ทำในนามของนิติบุคคล และนายแสบก็ไม่ใช่ลูกหนี้ของบริษัทขิงหรือบริษัทข่า

การกระทำดังกล่าวไม่เข้าหลักเกณฑ์ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ครับ

การที่บริษัทขิงไม่มีทรัพย์ให้ยึดก็เป็นเรื่องของบริษัทขิง ซึ่งไม่เกี่ยวกับบริษัทข่าเพราะเป็นบุคคลต่างหากจากกัน เว้นแต่บริษัทขิงถ่ายโอนทรัพย์สินมาเป็นของบริษัทข่าและเจ้าหนี้สามารถพิสูจน์ได้

//แต่พฤติการณ์ของ นายแสบ และนิติบุคคลทั้งสาม ล้วนมีเจตนาชัดเจนที่จะเพื่อไม่ให้ เจ้าหนี้ (นาย ก.) ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนน่ะครับ ***   

ต้องดูองค์ประกอบในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ก่อนครับว่ากฎหมายระบุไว้อย่างไร? และพฤติการณ์ของนายแสบ+บริษัทขิง+บริษัทข่า ซึ่งแสดงออกนั้นครบองค์ประกอบฐานโกงเจ้าหนี้หรือไม่?

มาตรา 350 ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระ หนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล ให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

1. ใครเป็นลูกหนี้? --บริษัทขิง

2. บริษัทขิง "ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริง" หรือไม่?

3. ตามข้อจริง นายแสบ ซึ่งไม่ใช่ลูกหนี้ ไปเปิดบริษัทใหม่ แล้วรับงานจากลูกค้าที่บริษัทขิง เคยรับจ้างทำงานให้ ซึ่งไม่มีกฎหมายห้ามให้ทำจึงเป็นสิทธิของบริษัทข่า และบริษัทข่าก็ไม่ได้มีนิติสัมพันธ์กับเจ้าหนี้

4. นายแสบเป็นผู้แทนนิติบุคคลก็จริง แต่ทรัพย์สินของนิติบุคคลทั้งสองแยกต่างหากจากกัน เมื่อไม่มีหลักฐานว่าลูกหนี้ ย้าย ซ่อนเร้น,โอนไปซึงทรัพย์สินจึงไม่เข้าองค์ประกอบ

(ความเห็น)