ReadyPlanet.com


ขอถามครับเรื่องกู้ยืมเงิน


ถ้าผมไปกู้เงินจากนาย ก. 50000 บาท แล้วเอาโฉนดที่ดิน 5 ไร่,สำเนาบัตรประชาชน,สำเนาทะเบียนบ้าน ไปให้กับนาย ก. แล้วทำสัญญาเงินกู้กันและระบุวันชำระดอกเบี้ยกับวันคืนเงินต้น.......แล้วถ้าผมไม่มีเงินไปชำระตามกำหนดนาย ก. สามารถนำโฉนดที่ดินไปโอนเป็นชื่อของนาย ก. ได้หรือไม่ครับ

แล้วถ้าผมไม่ชำระผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรตามกฏหมายครับ



ผู้ตั้งกระทู้ bkk :: วันที่ลงประกาศ 2010-02-03 10:45:17


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2031578)

การที่จำเลยผู้ให้กู้ยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นคือที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๙๐๔๙ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นการชำระหนี้แทนเงินกู้ยืม โดยไม่ปรากฏว่ามีการ

ตกลงกันว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวที่ตีใช้หนี้เงินกู้ยืมมีราคาเท่าใด เท่ากับราคาในท้องตลาดในเวลาและสถานที่ส่งมอบหรือไม่ กรณีจึงขัดกับ ป.พ.พ.มาตรา ๖๕๖ วรรคสอง ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๖๕๖ วรรคสาม มีผลให้คู่ความต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๐๔๙ พร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยได้

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้พิพากษาให้จำเลยดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวกลับคืนมาเป็นของโจทก์ โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน

จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ขนย้ายทรัพย์สินและบริการออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และให้โจทก์กับบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษากลับว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนการขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๐๔๙ ตำบลหนองหาน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ระหว่างโจทก์กับจำเลย ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๔๓ และยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง ดังนั้น คดีนี้จึงฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือเอาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๒๓๘ ประกอบมาตรา ๒๔๗ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เคยกู้ยืมเงินจำเลยหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายจำนวน ๒๘๐,๐๐๐ บาท โจทก์มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๗๓ ตำบลหนองหาน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ให้แก่จำเลยไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ ต่อมาโจทก์ไม่มีเงินชำระหนี้ จึงเสนอขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย แต่จำเลยไปตรวจสอบแล้วไม่สามารถโอนกันได้ โจทก์จึงนำที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๙๐๔๙ ตำบลหนองหาน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาโอนให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้แทนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๗๓ และจำเลยยินยอมรับโอนที่ดินดังกล่าวเพื่อชำระหนี้เงินกู้จากโจทก์ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การโอนที่ดินชำระหนี้เงินกู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวขัดต่อ ป.พ.พ.มาตรา ๖๕๖ วรรคหนึ่ง หรือไม่ เห็นว่า ป.พ.พ.มาตรา ๖๕๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้กู้ยินยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจำนวนเงินนั้นไซร้ ท่านให้คิดเป็นหนี้เงินค้างชำระโดยจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ ส่วนในวรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไปเพราะการชำระเช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ และในวรรคสาม บัญญัติว่า ความตกลงกันอย่างใด ๆ ขัดกับข้อความดังกล่าวมานี้ ท่านว่าเป็นโมฆะ จากบทกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การที่จำเลยผู้ให้กู้ยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นคือที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๙๐๔๙ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นการชำระหนี้แทนเงินกู้ยืมโดยไม่ปรากฏว่ามีการตกลงกันว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวที่ตีใช้หนี้เงินกู้ยืมมีราคาเท่าใด เท่ากับราคาในท้องตลาดในเวลาและสถานที่ส่งมอบหรือไม่ กรณีจึงขัดกับมาตรา ๖๕๖ วรรคสอง ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๖๕๖ วรรคสาม ซึ่งมีผลทำให้คู่ความต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๐๔๙ พร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้โจทก์คืนเงินจำนวน ๒๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ก้าเงินจำเลยหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายจำนวน ๒๘๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น กรณียังฟังไม่ยุติว่าโจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยจำนวนเท่าใดแน่ ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาให้โจทก์คืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยอ้างมานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่เรียกร้องให้โจทก์ชำระเงินกู้คืนภายในบังคับแห่งบทบัญญัติกฎหมายว่าด้วยอายุความ

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6947/2549

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ลีนนท์ วันที่ตอบ 2010-02-03 14:17:48



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล