
| คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว & การยกฟ้อง ตรวจสอบคุณภาพข้าว, (ฎีกา 3555/2568)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรับผิดในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว โดยพิจารณาว่าหัวหน้าคลังสินค้ามีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวหรือไม่ และมีเจตนาทุจริตเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หัวหน้าคลังไม่มีอำนาจและความรับผิดชอบในการตรวจสอบคุณภาพ อีกทั้งไม่ปรากฏพฤติการณ์เจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด ส่งผลให้จำเลยทั้งสองได้รับการยกฟ้อง
ข้อเท็จจริงของคดี • จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคลังสินค้ากลาง มีหน้าที่บริหารตามคำสั่งและคู่มือโครงการรับจำนำข้าว • จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของบริษัทผู้รับจ้างตรวจสอบคุณภาพข้าว และได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง • ข้าวที่รับฝากถูกตรวจสอบภายหลังและพบว่าไม่ใช่ข้าวหอมมะลิไทยตามมาตรฐาน • คณะกรรมการ ป.ป.ท. เห็นว่ามีมูล จึงให้ฟ้องคดีนี้ต่อศาล
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. หน้าที่หัวหน้าคลังสินค้า o ศาลเห็นว่า หัวหน้าคลังไม่มีอำนาจตรวจสอบคุณภาพ แต่มีหน้าที่รับมอบและจัดเก็บข้าวที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว o การตรวจสอบคุณภาพต้องกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ มีเครื่องมือเฉพาะ และอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทผู้รับจ้าง 2. ความรับผิดทางอาญา o ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาพิเศษให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ o เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ผิด จำเลยที่ 2 ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนจึงไม่ผิดเช่นกัน 3. คำพิพากษา o ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง o ศาลฎีกายืนตาม ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาอื่น
การวิเคราะห์ทางกฎหมาย • พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 11: ใช้กับพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่ไม่เข้าองค์ประกอบเพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ตรวจคุณภาพ • พ.ร.บ. ป.ป.ช. 2542 มาตรา 123/1 และ พ.ร.บ. ป.ป.ช. 2561 มาตรา 172: กล่าวถึงการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ แต่ศาลตีความว่าไม่เข้าองค์ประกอบ • พ.ร.บ. มาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 มาตรา 29, 52: ห้ามบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตตรวจสอบคุณภาพสินค้า แต่จำเลยที่ 1 ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ตรวจคุณภาพ จึงไม่ฝ่าฝืน
IRAC Analysis Issue (ประเด็น): หัวหน้าคลังสินค้ามีความรับผิดในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวหรือไม่ Rule (กฎเกณฑ์): • ป.อ. มาตรา 86 • พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของรัฐ พ.ศ. 2502 • พ.ร.บ. ป.ป.ช. 2542, 2561 • พ.ร.บ. มาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 มาตรา 29, 52 Application (การปรับใช้): • จำเลยที่ 1 มีเพียงหน้าที่บริหารการรับมอบและจัดเก็บ ไม่ใช่หน้าที่ตรวจสอบคุณภาพ • การตรวจสอบคุณภาพต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญตามสัญญากับบริษัท ม. ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้รับมอบหมายถูกต้อง • ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทุจริตหรือเอื้อให้เกิดความเสียหาย Conclusion (ข้อสรุป): จำเลยทั้งสองไม่เข้าข่ายความผิดตามฟ้อง ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้อง ข้อคิดทางกฎหมาย คดีนี้ชี้ให้เห็นถึงหลักการแบ่งแยกหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ หากบุคคลไม่มีหน้าที่โดยตรง ย่อมไม่ต้องรับผิดในความผิดอาญาทุจริต อีกทั้งการตีความองค์ประกอบความผิดต้องอาศัยพฤติการณ์เจตนาพิเศษ มิใช่เพียงตำแหน่งหน้าที่ทั่วไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3555/2568 จำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งจาก อ. ให้ไปปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคลังสินค้ากลาง มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง และตามคู่มือโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554 จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวมาตรฐานสินค้าชนิดข้าวหอมมะลิไทย และเป็นลูกจ้างของบริษัท ม. จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าให้เป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบคุณภาพและชนิดข้าวสาร ย่อมขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและชนิดข้าวสารหอมมะลิไทย ทั้งการฝ่าฝืนก็เป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา อันเป็นเหตุให้องค์การคลังสินค้ามิได้ตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและชนิดของข้าวสาร นอกจากนี้ ตามคำสั่งองค์การคลังสินค้า ที่ 244/2554 เรื่องมอบหมายให้พนักงานปฏิบัติงาน ก็มิได้กำหนดให้หัวหน้าคลังสินค้ามีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวในโครงการรับจำนำข้าวแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 เป็นเพียงหัวหน้าคลังสินค้ากลางที่เกิดเหตุเท่านั้น แม้ตามขั้นตอนการปฏิบัติงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ข้อ 2.3 หัวหน้าคลังสินค้ากลาง (1) จะกำหนดหน้าที่ของหัวหน้าคลังสินค้ากลางไว้ว่า "รับมอบข้าวสารร่วมกับผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวเข้าเก็บรักษาในคลังสินค้ากลางให้เป็นไปตามสัญญาและข้อกำหนดของโครงการ" ก็มุ่งประสงค์ในการรับมอบข้าวสารโดยตรวจสอบปริมาณให้ถูกต้อง หาได้มีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณภาพด้วยไม่ เนื่องจากการตรวจสอบคุณภาพข้าวมีกรรมวิธีและต้องมีความรู้ความสามารถและอุปกรณ์เครื่องมือ บางกรณีต้องพิสูจน์ทางเคมี ไม่สามารถตรวจด้วยตาเปล่าในขณะรับสินค้าได้ กรณีไม่อาจตีความคำว่า รับมอบข้าวสารร่วมกับผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวเข้าเก็บรักษาในคลังสินค้ากลางให้เป็นไปตามสัญญาและข้อกำหนดของโครงการว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพและชนิดข้าวสารร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย และไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาพิเศษให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิด จำเลยที่ 2 ที่ถูกฟ้องฐานเป็นผู้สนับสนุนย่อมไม่มีความผิดเช่นกัน โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 11 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และขอให้นับโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท. 229/2564 คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท. 7/2565 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท. 8/2565 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษายืน โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2554 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) พิจารณาและมีมติอนุมัติกรอบชนิด ราคา ปริมาณ ระยะเวลา วิธีการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และงบประมาณดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 โดยให้องค์การคลังสินค้ารับฝากข้าวเปลือกและออกใบประทวนสินค้าแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ต่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และเก็บข้าวสารที่แปรสภาพจากข้าวเปลือกไว้ในคลังสินค้ากลางที่องค์การคลังสินค้าเช่าจากนิติบุคคลหรือผู้มีชื่อ โดยองค์การคลังสินค้าเป็นผู้รับผิดชอบคุณภาพ ปริมาณ และชนิดของข้าวสารที่จัดเก็บในคลังสินค้าจนกว่าจะส่งมอบแก่ผู้ซื้อและต้องจัดให้มีผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว ชนิดข้าว น้ำหนักข้าวตามที่กำหนดไว้ วันที่ 25 ตุลาคม 2554 องค์การคลังสินค้าทำสัญญาจ้างบริษัท ม. เพื่อตรวจสอบคุณภาพและรับมอบข้าวสารให้ตรงตามคุณภาพและชนิดข้าวสารตามมาตรฐานประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง มาตรฐานสินค้าข้าว พ.ศ. 2540 หรือให้ได้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับสินค้าที่ใช้บังคับอยู่หรือที่จะบังคับต่อไป และ/หรือ ข้อกำหนดที่ผู้ว่าจ้างจะกำหนด และต้องเป็นข้าวสารเจ้าที่สีจากข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 มีคุณภาพดี ไม่เสื่อมคุณภาพ ไม่เป็นโรคพืช ไม่เป็นรัง ไม่มีมอดหรือหนอน และปราศจากเคมีภัณฑ์ที่มีพิษเจือปน ความชื้นไม่เกินร้อยละ 14 (ร้อยละสิบสี่) บรรจุกระสอบเฮฟรีซีส์ทางเขียวใหม่ หรือที่ผู้ว่าจ้างกำหนด น้ำหนัก (รวมกระสอบ) กระสอบละไม่น้อยกว่า 100.7 (หนึ่งร้อยจุดเจ็ด) กิโลกรัม ก่อนรับข้าวสารจากโครงการรับจำนำข้าวเข้าจัดเก็บในคลังสินค้าดังกล่าว วันที่ 17 มกราคม 2555 องค์การคลังสินค้าทำสัญญาเช่าคลังสินค้ากับบริษัท ส. เพื่อนำข้าวสารที่สีแปรสภาพจากข้าวเปลือกมาเก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าดังกล่าว วันที่ 30 ธันวาคม 2554 องค์การคลังสินค้ามีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 1 ให้ไปปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคลังสินค้ากลาง มีหน้าที่ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง และตามคู่มือโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554 เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นภารกิจแล้วให้กลับไปปฏิบัติงานต้นสังกัดเดิม จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวมาตรฐานสินค้าชนิดข้าวหอมมะลิไทย และเป็นลูกจ้างของบริษัท ม. ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานตรวจสอบคุณภาพ ปริมาณ ชนิดและน้ำหนักข้าวสารเข้าเก็บรักษาในคลังสินค้ากลางดังกล่าว เมื่อระหว่างวันที่ 18 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2555 จำเลยทั้งสองตรวจสอบคุณภาพ ปริมาณ ชนิด และรับมอบปลายข้าวหอมจังหวัดกองที่ 14 น้ำหนักสุทธิ 40.30 ตัน นำเข้าเก็บในคลังสินค้ากลางที่เกิดเหตุ วันที่ 9 กรกฎาคม 2557 คณะทำงานตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐชุดที่ 53 ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าไปตรวจสอบและเก็บตัวอย่างข้าวในคลังสินค้าดังกล่าว นำส่งคณะทำงานรับ – ส่งและเก็บตัวอย่างข้าว เพื่อส่งให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเป็นผู้ตรวจวิเคราะห์คุณภาพข้าวสารดังกล่าว ต่อมาผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคณะกรรมการตรวจข้าวสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตรวจวิเคราะห์ทางกายภาพโดยใช้มาตรฐานตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ข้าวหอมมะลิไทยเป็นสินค้ามาตรฐานและมาตรฐานสินค้าข้าวหอมมะลิไทย ลงวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2549 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ข้าวหอมมะลิไทยเป็นสินค้ามาตรฐานและมาตรฐานสินค้าข้าวหอมมะลิไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์ซึ่งกำหนดให้มีปลายข้าวซีวันตามมาตรฐานไม่เกินร้อยละ 5 แต่ผลการตรวจวิเคราะห์พบร้อยละ 3.40 มีวัตถุอื่นได้ไม่เกินร้อยละ 0.5 ผลการตรวจไม่พบวัตถุอื่น (ร้อยละ 0.00) ความชื้นกำหนดให้ไม่เกินร้อยละ 14 ผลการตรวจพบร้อยละ 12.50 เมื่อส่งข้าวสารให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ตรวจทางสารพันธุกรรมข้าว (DNA) ผลการตรวจสอบมีข้าวหอมมะลิไทยจำนวน 0 เปอร์เซ็นต์ ข้าวปทุมธานี 1 จำนวน 3 เปอร์เซ็นต์ และข้าวอื่น 97 เปอร์เซ็นต์ รวมเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ คณะกรรมการ ป.ป.ท. พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองมีมูลความผิด และมอบหมายให้โจทก์ฟ้องและดำเนินคดีนี้แทน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 เป็นโครงการของรัฐ และคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) มีมติอนุมัติให้องค์การคลังสินค้ารับมอบและเก็บข้าวสารในคลังสินค้ากลาง ซึ่งองค์การคลังสินค้าเช่าจากนิติบุคคลหรือผู้มีชื่อ โดยเป็นผู้รับผิดชอบคุณภาพ ปริมาณ และชนิดของข้าวที่จัดเก็บในคลังสินค้าจนกว่าจะส่งมอบแก่ผู้ซื้อ และต้องจัดให้มีผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว ชนิดข้าวและน้ำหนักข้าวตามที่กำหนดไว้ก่อนนำเข้าเก็บในคลังสินค้ากลาง ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2554 องค์การคลังสินค้าทำสัญญาว่าจ้างบริษัท ม. เพื่อตรวจสอบคุณภาพและรับมอบข้าวสารให้ตรงตามคุณภาพและชนิดข้าวสารตามมาตรฐานประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องมาตรฐานสินค้าข้าว พ.ศ. 2540 อันเป็นการปฏิบัติตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าว (กขช.) ที่กำหนดให้องค์การคลังสินค้าต้องจัดให้มีผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว ชนิดข้าว และน้ำหนักข้าวตามที่กำหนดไว้ก่อนนำเข้าเก็บในคลังสินค้ากลาง ซึ่งตามสัญญาจ้างดังกล่าว ข้อ 1 ให้ผู้รับจ้างหรือบริษัท ม. ตรวจสอบและรับผิดชอบคุณภาพ ชนิด และน้ำหนักข้าวสารหอมมะลิตามโครงการรับจำนำข้าวที่โรงสีส่งมอบให้แก่องค์การคลังสินค้าผู้ว่าจ้าง ณ คลังสินค้าที่ผู้ว่าจ้างกำหนด และข้อ 4 กำหนดให้ผู้รับจ้างจัดหาผู้ตรวจสอบซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญมีความรู้ทางด้านการตรวจสอบคุณภาพ และชนิดข้าวสารหอมมะลิได้อย่างดี และจัดหาสิ่งของชนิดดี ตลอดจนใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพจนงานแล้วเสร็จตามสัญญานี้.. จึงเห็นได้ว่าการตรวจสอบคุณภาพและชนิดข้าวสารหอมมะลิเป็นงานทางเทคนิคที่มีความละเอียดที่ผู้ตรวจสอบต้องใช้ฝีมือและความรู้ความสามารถ รวมทั้งต้องใช้เครื่องมือและอุปรณ์ในการตรวจสอบ ย่อมต้องกระทำโดยผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในด้านดังกล่าว องค์การคลังสินค้าจึงทำสัญญาจ้างมอบหน้าที่ตรวจสอบและความรับผิดชอบให้แก่บริษัท ม. ผู้รับจ้าง ซึ่งมีอาชีพดังกล่าวโดยเฉพาะ และบริษัทดังกล่าวก็มอบหมายหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพและชนิดข้าวสารหอมมะลิให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวตามมาตรฐานสินค้าชนิดข้าวหอมมะลิไทย นอกจากนี้ ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 มาตรา 29 วรรคหนึ่ง ยังบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า เว้นแต่จะเป็นผู้ได้รับอนุญาตจากสำนักงานมาตรฐานสินค้า และผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษตามมาตรา 52 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าให้เป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบคุณภาพและชนิดข้าวสาร ย่อมขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและชนิดข้าวสารหอมมะลิไทย ทั้งการฝ่าฝืนก็เป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา อันเป็นเหตุให้องค์การคลังสินค้ามิได้ตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและชนิดของข้าวสาร นอกจากนี้ ตามคำสั่งองค์การคลังสินค้า ที่ 244/2554 เรื่องมอบหมายให้พนักงานปฏิบัติงาน ก็มิได้กำหนดให้หัวหน้าคลังสินค้ามีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวในโครงการรับจำนำข้าวแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 เป็นเพียงหัวหน้าคลังสินค้ากลางที่เกิดเหตุเท่านั้น แม้ตามขั้นตอนการปฏิบัติงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ข้อ 2.3 หัวหน้าคลังสินค้ากลาง (1) จะกำหนดหน้าที่ของหัวหน้าคลังสินค้ากลางไว้ว่า "รับมอบข้าวสารร่วมกับผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวเข้าเก็บรักษาในคลังสินค้ากลางให้เป็นไปตามสัญญาและข้อกำหนดของโครงการ" ก็มุ่งประสงค์ในการรับมอบข้าวสารโดยตรวจสอบปริมาณให้ถูกต้อง หาได้มีหน้าที่ต้องตรวจสอบคุณภาพด้วยไม่ เนื่องจากการตรวจสอบคุณภาพข้าวมีกรรมวิธีและต้องมีความรู้ความสามารถและอุปกรณ์เครื่องมือ บางกรณีต้องพิสูจน์ทางเคมี ไม่สามารถตรวจด้วยตาเปล่าในขณะรับสินค้าได้ สอดคล้องกับคำเบิกความของนายคมกิจ รักษาการผู้อำนวยการสำนักข้าว องค์การคลังสินค้า ที่เบิกความยืนยันว่า ในทางปฏิบัติหัวหน้าคลังสินค้ารับสินค้ามาตรวจสอบคุณภาพข้าว โดยตรวจสอบปริมาณและจัดเก็บไว้ที่กองใด และนายไพศาล ขณะเกิดเหตุเป็นพนักงานองค์การคลังสินค้า ที่เบิกความยืนยันทำนองเดียวกันว่า หัวหน้าคลังสินมีหน้าที่เพียงรับมอบข้าวสารที่ผู้ตรวจสอบได้ทำการตรวจตรวจสอบแล้วเข้าจัดเก็บในคลังสินค้าและทำบัญชีสต็อกสินค้า ประกอบกับนางจีระวัฒน์ ผู้กล่าวหา ซึ่งเคยเป็นรองผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ให้การไว้ในชั้นไต่สวนยอมรับว่า บริษัทผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว (serveyer) ซึ่งทำสัญญากับองค์การคลังสินค้าเป็นผู้มีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าว ส่วนหัวหน้าคลังสินค้าจะดูแลในภาพรวมเนื่องจากไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพข้าว กรณีไม่อาจตีความคำว่า รับมอบข้าวสารร่วมกับผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวเข้าเก็บรักษาในคลังสินค้ากลางให้เป็นไปตามสัญญาและข้อกำหนดของโครงการว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพและชนิดข้าวสารร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ประกอบกับการตรวจสอบคุณภาพและชนิดข้าวสารก่อนรับเข้าเก็บในคลังสินค้ากลางเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากองค์การคลังสินค้ามีความประสงค์มอบหมายหน้าที่ดังกล่าวให้แก่หัวหน้าคลังสินค้าด้วยทั้ง ๆ ที่มีผู้รับผิดชอบตามสัญญาอยู่แล้วก็ควรระบุให้ชัดเจน แต่ก็หาได้ระบุไม่ บ่งชี้ว่าองค์การคลังสินค้าไม่ประสงค์ให้หัวหน้าคลังสินค้ามีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพและชนิดของข้าวด้วย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวร่วมกับจำเลยที่ 2 นอกจากนี้ พยานหลักฐานทั้งชั้นไต่สวนและพิจารณาไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาพิเศษกระทำการเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานเป็นพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต พยานหลักฐานรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง ดังนั้น เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ที่ถูกฟ้องฐานเป็นผู้สนับสนุนย่อมไม่มีความผิดเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาอื่นของโจทก์ต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
|




