
(ฎีกาที่ 3710/2567): คดีพยายามฆ่า การวินิจฉัยเจตนาและข้อจำกัดในการยกฎีกา
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความผิดฐานพยายามฆ่าโดยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหาย ศาลได้วินิจฉัยว่าแม้ผู้เสียหายรอดชีวิต แต่การกระทำของจำเลยแสดงเจตนาชัดเจนต่อการประสงค์ต่อชีวิต อีกทั้งยังตอกย้ำหลักการสำคัญว่า การยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกาที่มิได้ยกขึ้นสู้ในศาลชั้นต้นเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา ทำให้ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น และไม่อาจได้รับการลดโทษต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด
ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์ฟ้องจำเลยฐานพยายามฆ่า (ป.อ. มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80) และความผิดฐานพาอาวุธไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร (มาตรา 371) • จำเลยให้การปฏิเสธในตอนแรก แต่ต่อมาเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพ • ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ให้จำคุก 10 ปี ลดโทษครึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 5 ปี และปรับ 500 บาท • ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน • จำเลยฎีกาโดยอ้างว่าไม่มีเจตนาฆ่า และเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. เจตนาพยายามฆ่า ศาลวินิจฉัยจากพฤติการณ์ว่า จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายที่ทรวงอกส่วนบน ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ หากไม่ถูกมือผู้เสียหายกันไว้ย่อมอันตรายถึงชีวิต อีกทั้งยังพยายามแทงซ้ำอีกครั้ง แสดงเจตนาชัดเจนว่าประสงค์ต่อชีวิต 2. การอ้างบันดาลโทสะ การยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกาโดยไม่ได้ต่อสู้ไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225, 252 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย 3. การรอการลงโทษ ความผิดฐานพยายามฆ่า มีโทษขั้นต่ำสูง (จำคุก 15-20 ปี) ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 10 ปี และลดครึ่งหนึ่งเหลือ 5 ปี ถือเป็นโทษต่ำสุดที่กฎหมายกำหนดแล้ว จึงไม่อาจรอการลงโทษได้ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย • เจตนาประสงค์ต่อชีวิต ศาลตีความจากลักษณะการใช้อาวุธ สถานที่ที่ถูกแทง และพฤติกรรมที่มุ่งทำซ้ำ วางหลักว่าการแทงบริเวณทรวงอกแม้ไม่ถึงแก่ชีวิตก็ถือเป็นเจตนาฆ่า • ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง การที่จำเลยพยายามอ้างบันดาลโทสะในชั้นฎีกา โดยไม่เคยนำสืบหรือกล่าวอ้างในศาลชั้นต้น ถือว่าผิดวิธี ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ซึ่งเป็นการย้ำหลักห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงที่ไม่เคยสู้มาก่อน • การลดโทษและการรอการลงโทษ กฎหมายอาญากำหนดอัตราโทษขั้นต่ำของความผิดพยายามฆ่าไว้อย่างเข้มงวด ทำให้ศาลไม่สามารถกำหนดโทษที่ต่ำกว่าขอบเขตได้ แม้จำเลยไม่มีประวัติการกระทำผิดมาก่อน
IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ และสามารถอ้างบันดาลโทสะหรือขอรอการลงโทษในชั้นฎีกาได้หรือไม่ Rule (หลักกฎหมาย) • ป.อ. มาตรา 288: ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น • มาตรา 80: ความผิดฐานพยายาม • มาตรา 371: พาอาวุธในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร • ป.วิ.พ. มาตรา 225, 252 และ ป.วิ.อ. มาตรา 15: ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง Application (การปรับใช้) ศาลพิเคราะห์จากหลักฐานทางการแพทย์ ภาพถ่าย และคำเบิกความ พบว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อชีวิต เนื่องจากเลือกแทงบริเวณอวัยวะสำคัญ การยกเหตุบันดาลโทสะในชั้นฎีกาไม่ชอบตามกฎหมายวิธีพิจารณา ส่วนการรอการลงโทษไม่สามารถทำได้เพราะกฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำไว้แล้ว Conclusion (ข้อสรุป) จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าและพาอาวุธในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ศาลฎีกาพิพากษายืนโทษจำคุก 5 ปี และไม่รอการลงโทษ
ข้อคิดทางกฎหมาย คดีนี้ตอกย้ำหลักการว่า การกระทำที่มุ่งต่อชีวิต แม้ไม่ทำให้ถึงตายก็ถือว่ามีเจตนาฆ่า และการต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงต้องยกขึ้นตั้งแต่ศาลชั้นต้น หากไม่ทำจะถูกตัดสิทธิ์ในชั้นฎีกา อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มงวดของกฎหมายอาญาในการคุ้มครองชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน
English Summary The Supreme Court Decision No. 3710/2567 concerns an attempted murder case where the defendant stabbed the victim in the chest with a knife. The Court held that the act clearly demonstrated intent to kill, even though the victim survived. The defense of sudden provocation was inadmissible at the appeal stage as it had not been raised in the trial court. The Court affirmed a five-year imprisonment sentence without suspension, emphasizing strict interpretation of intent to kill and procedural limits on raising new facts in appeals.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3710/2567
การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ต้องวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและมิได้ยกข้อเท็จจริงตามฎีกาขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นว่า ผู้เสียหายทะเลาะวิวาทกับจำเลยมาก่อนแล้วผู้เสียหายมารอจำเลยที่บ้านของบิดาจำเลยโดยพร้อมที่จะทะเลาะวิวาทกับจำเลย จำเลยจึงเกิดโทสะเข้าชกต่อยผู้เสียหายแล้วจำเลยพลั้งมือหยิบอาวุธมีดขนาดเล็กเหวี่ยงไปทางผู้เสียหาย จำเลยก็ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานใดให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว อีกทั้งทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอันจะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิพากษาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 91, 288, 371 จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา กรณีมีเหตุสมควร ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น คงจำคุก 5 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 500 บาท รวมจำคุก 5 ปี และปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิพากษาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า จำเลยไม่พอใจนายชาตรี บิดาจำเลยที่ให้จำเลยโอนที่ดินให้แก่ภริยาผู้เสียหายซึ่งเดิมที่ดินดังกล่าวบิดาจำเลยยกให้แก่จำเลย จำเลยจึงได้ปักป้ายสาปแช่งผู้เสียหาย วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ผู้เสียหายเห็นป้ายดังกล่าวจึงไปพบนายชาตรี บิดาจำเลยที่บ้านเกิดเหตุ เพื่อสอบถามโดยนั่งอยู่ที่โต๊ะบริเวณหน้าบ้าน หันหลังให้ประตูบ้าน หันหน้าเข้าตัวบ้าน มีนายบุญแก้ว ลูกจ้างของผู้เสียหายใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพเคลื่อนไหวการสนทนา ขณะนั้นจำเลยขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าบ้าน แล้วจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายทะลุมือขวาที่สวมถุงมือและถูกเสื้อของผู้เสียหายขาดเป็นรู แล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า คำเบิกความของผู้เสียหายสอดคล้องกับที่ผู้เสียหายและนายบุญแก้วซึ่งเห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุเคยให้การในชั้นสอบสวน โดยไม่มีข้อพิรุธ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายจนทะลุมือขวาที่สวมถุงมือซึ่งผู้เสียหายยกขึ้นกันไว้ และยังทะลุเสื้อผ้าฝ้ายที่ผู้เสียหายสวมใส่จนเกิดบาดแผลขีดข่วนบริเวณอกส่วนบน ตามภาพถ่ายผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์และคำให้การของนายแพทย์สามารถ ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผล บ่งชี้ว่าจำเลยใช้อาวุธมีดแทงโดยแรงและเลือกแทงบริเวณอกส่วนบนของผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ หากผู้เสียหายมิได้ยกมือขวาขึ้นกันไว้เสียก่อนย่อมต้องถูกแทงทะลุอกส่วนบนจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ประกอบกับยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายและคำให้การของนายบุญแก้วทำนองเดียวกันอีกว่า เมื่อจำเลยถูกผู้เสียหายถีบจนถอยออก จำเลยยังพุ่งตรงมาที่ผู้เสียหายเพื่อจะแทงซ้ำอีกจนมีการกอดรัดฟัดเหวี่ยง นายบุญแก้วจึงเข้ามาช่วยบิดข้อมือจำเลยเพื่อเอามีดออก ยิ่งแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อชีวิตของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีเหตุผลที่จะต้องพกพาอาวุธมีดไปทำร้ายผู้เสียหายทันทีที่พบเห็น ความจริงแล้วจำเลยเข้าชกต่อยผู้เสียหายก่อน แล้วจำเลยพลั้งมือไปหยิบอาวุธมีดขนาดเล็กเหวี่ยงไปทางผู้เสียหาย จำเลยไม่มีเจตนาฆ่า นั้น เห็นว่า พฤติการณ์ตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวไม่สัมพันธ์กับลักษณะบาดแผลที่มือขวาของผู้เสียหาย ไม่น่ารับฟัง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะนั้น เห็นว่า การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ต้องวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบในศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและมิได้ยกข้อเท็จจริงตามฎีกาขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นว่า ผู้เสียหายทะเลาะวิวาทกับจำเลยมาก่อนแล้วผู้เสียหายมารอจำเลยที่บ้านของบิดาจำเลยโดยพร้อมที่จะทะเลาะวิวาทกับจำเลย จำเลยจึงเกิดโทสะเข้าชกต่อยผู้เสียหายแล้วจำเลยพลั้งมือหยิบอาวุธมีดขนาดเล็กเหวี่ยงไปทางผู้เสียหาย และจำเลยก็ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานใดให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว อีกทั้งทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอันจะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิพากษาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 มีระวางโทษสองในสามส่วนของโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วางโทษจำคุกจำเลย 10 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 5 ปี เป็นการลงโทษจำคุกขั้นต่ำสุดตามกฎหมายแล้ว ไม่สามารถลงโทษจำคุกต่ำกว่านี้ได้อีก และการกระทำความผิดของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม แม้จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนและจำเลยได้วางเงินต่อศาลชั้นต้นเพื่อบรรเทาความเสียหายแก่ผู้เสียหาย อีกทั้งยังมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยอ้างในฎีกา ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ![]() |