

ลักทรัพย์โดยสุจริต, ความผิดลักทรัพย์ vs การเข้าใจผิด, คดีลักทรัพย์ในเครือญาติ, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ไม่มีเจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ที่เป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ คดีมีปัญหาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง และคดีมีเหตุให้ลงโทษจำเลยสถานหนักหรือไม่ ข้อเท็จจริงคือโจทก์ร่วมกับจำเลยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันฉันเครือญาติ มูลเหตุของคดีนี้ก็สืบเนื่องมาจากโจทก์ร่วม(ผู้เสียหาย)ไม่ได้สั่งซือเสื้อยืดคอกลม 1 ตัว ราคา 120 บาท ที่ทางกลุ่มจัดทำให้สมาชิกสั่งซื้อเพื่อสวมใส่ไปทัศนศึกษาแต่โจทก์ร่วมรับเสื้อไปและชำระเงินแล้ว ต่อมาเมื่อจำเลยทราบเหตุว่าสมาชิกผู้สั่งซื้อยังไม่ได้รับเสื้อ จึงไปทวงเสื้อคืนจากโจทก์ร่วมที่รับเสื้อไปและคือเงินค่าเสื้อคืนแก่โจทก์ร่วม กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยเข้าใจโดยสุจริตเกี่ยวกับเสื้อที่โจทก์ร่วมมีไว้ในครอบครองว่าโจทก์ร่วมได้รับไปโดยไม่ถูกต้องเพราะไม่ได้สั่งซื้อ ซึ่งจำเลยต้องติดตามเอาคืนมาเพื่อส่งมอบให้แก่สมาชิกผู้สั่งซื้อตามความรับผิดชอบของตน การกระทำของจำเลยหาใช่เจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายที่เป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน อันเป็นการกระทำโดยทุจริตแต่อย่างใดไม่ จำเลยกระทำโดยขาดเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 296/2567 โจทก์ร่วมและจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติและต่างเป็นสมาชิกกลุ่ม อสม. เมื่อจำเลยทราบว่าสมาชิกผู้สั่งซื้อเสื้อยังไม่ได้รับเสื้อ จำเลยซึ่งเป็นผู้ดำเนินการรับสั่งจองเสื้อ จึงไปสอบถามและทวงเสื้อคืนจากโจทก์ร่วมโดยเปิดเผย ทั้งยังฝากเงินค่าซื้อเสื้อคืนให้แก่โจทก์ร่วมและนำเสื้อไปให้สมาชิกทันที พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าเสื้อที่โจทก์ร่วมมีไว้ในครอบครอง โจทก์ร่วมได้รับไปโดยไม่ถูกต้อง การกระทำของจำเลยหาใช่เจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายที่เป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา นางบัวเงิน ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (8) วรรคสอง จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท ทางนำสืบและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน และปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ร่วมฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง และคดีมีเหตุให้ลงโทษจำเลยสถานหนักหรือไม่ ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันฉันเครือญาติ ทั้งเป็นสมาชิกของกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ด้วยกัน มูลเหตุของคดีนี้ก็สืบเนื่องมาจากเสื้อยืดคอกลม 1 ตัว ราคา 120 บาท ที่ทางกลุ่มจัดทำให้สมาชิกสั่งซื้อเพื่อสวมใส่ไปทัศนศึกษาที่จังหวัดระยอง โดยจำเลยเป็นผู้ร่วมดำเนินการรับสั่งจองเสื้อดังกล่าวด้วย โจทก์ร่วมมิได้สั่งจองซื้อเสื้อจากจำเลย ต่อมาเมื่อจำเลยทราบเหตุว่าสมาชิกผู้สั่งซื้อยังไม่ได้รับเสื้อ จึงไปพบเพื่อสอบถามและทวงเสื้อคืนจากโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมยืนยันว่าได้สั่งซื้อมาโดยถูกต้อง แต่ต่อมาจำเลยได้แจ้งให้ผู้อื่นไปเอาเสื้อคืนจากบ้านของโจทก์ร่วมแล้วฝากเงินค่าซื้อเสื้อคืนให้โจทก์ร่วมแล้วด้วย ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับพฤติกรรมของจำเลยและความสัมพันธ์ฉันญาติของโจทก์ร่วมกับจำเลยแล้ว กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยเข้าใจโดยสุจริตเกี่ยวกับเสื้อที่โจทก์ร่วมมีไว้ในครอบครองว่าโจทก์ร่วมได้รับไปโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องติดตามเอาคืนมาเพื่อส่งมอบให้แก่สมาชิกผู้สั่งซื้อตามความรับผิดชอบของตน การได้เสื้อคืนมาจำเลยก็กระทำการไปโดยเปิดเผยในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ ทั้งจำเลยยังฝากเงินค่าซื้อเสื้อคืนให้โจทก์ร่วมแล้วและรีบนำเสื้อดังกล่าวไปมอบให้แก่สมาชิกผู้สั่งซื้อทันที การกระทำของจำเลยหาใช่เจตนาเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายที่เป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน อันเป็นการกระทำโดยทุจริตแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำโดยขาดเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์แล้วพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
• ลักทรัพย์โดยสุจริต • มาตรา 335 การลักทรัพย์ • คดีลักทรัพย์ในเครือญาติ • ฎีกาลักทรัพย์ 2567 • ความผิดลักทรัพย์ vs การเข้าใจผิด • การพิสูจน์เจตนาทุจริตในคดีลักทรัพย์ • กฎหมายลักทรัพย์ อสม. • ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา ลักทรัพย์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 296/2567 (ย่อ) จำเลยและโจทก์ร่วมมีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติและเป็นสมาชิกกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ร่วมกัน โดยจำเลยมีหน้าที่รับสั่งจองเสื้อสำหรับสมาชิก ต่อมาเมื่อพบว่าสมาชิกผู้สั่งซื้อไม่ได้รับเสื้อ จำเลยจึงไปทวงเสื้อจากโจทก์ร่วม โดยเข้าใจว่าเสื้อนั้นอยู่ในครอบครองของโจทก์ร่วมโดยไม่ถูกต้อง จำเลยได้คืนเงินค่าซื้อเสื้อให้โจทก์ร่วมและนำเสื้อส่งมอบให้สมาชิกทันที การกระทำนี้เป็นไปโดยสุจริตและเปิดเผย ไม่มีเจตนาแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ลงโทษจำคุก 9 เดือน และปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยเห็นว่าจำเลยขาดเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ ศาลฎีกา พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำโดยสุจริต ไม่มีเจตนาทุจริต และคืนเงินค่าซื้อเสื้อให้โจทก์ร่วมพร้อมนำเสื้อส่งมอบให้สมาชิกทันที พฤติการณ์ดังกล่าวไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ภาค 6 ที่พิพากษายกฟ้อง ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) และ มาตรา 335 (8) วรรคสอง 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) มาตรา 335 ระบุถึงความผิดฐานลักทรัพย์ โดยกำหนดโทษที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์และลักษณะของทรัพย์สินหรือสถานที่ที่มีการกระทำผิด ใน มาตรา 335 (1) ระบุว่า "หากการลักทรัพย์เกิดขึ้นในสถานที่ที่เจ้าของทรัพย์มีความหวงแหน เช่น บ้านเรือน หรือสถานที่ที่มีการป้องกันทรัพย์สินอย่างเหมาะสม ผู้กระทำผิดจะได้รับโทษหนักขึ้นกว่าการลักทรัพย์ทั่วไป" การนำมาใช้ในกรณีนี้: ในคดีนี้ โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าจำเลยกระทำการลักทรัพย์ (เสื้อยืด) ที่มีความเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตน โดยเข้าองค์ประกอบของมาตรา 335 (1) หากการกระทำของจำเลยเป็นการลักทรัพย์โดยแท้จริง 2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคสอง มาตรา 335 (8) กล่าวถึงการลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่มีลักษณะพิเศษ เช่น เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการบริจาค หรือการช่วยเหลือสาธารณะ และใน วรรคสอง ระบุว่า "หากทรัพย์ที่ถูกลักเป็นของที่จัดหาไว้เพื่อกิจกรรมสาธารณะ ผู้กระทำความผิดต้องได้รับโทษหนักขึ้น" การนำมาใช้ในกรณีนี้: กรณีนี้เสื้อยืดที่เป็นประเด็นในคดีถูกจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในกิจกรรมของกลุ่มสมาชิก อสม. หากจำเลยมีเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ อาจเข้าองค์ประกอบของมาตรา 335 (8) วรรคสอง เนื่องจากเสื้อเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของกลุ่มสมาชิก การพิจารณาเจตนาในคดี องค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 335 คือ "เจตนาทุจริต" ผู้กระทำต้องมีความตั้งใจที่จะลักทรัพย์เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ หากขาดเจตนานี้ เช่น การกระทำโดยสุจริตหรือเข้าใจผิด คดีจะไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 335 กรณีนี้: ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำไปโดยสุจริต เนื่องจากเข้าใจว่าเสื้อที่อยู่ในครอบครองของโจทก์ร่วมถูกนำมาโดยไม่ถูกต้อง และจำเลยดำเนินการคืนเงินให้โจทก์ร่วมพร้อมนำเสื้อไปส่งมอบสมาชิก จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 335 (1) หรือ (8) วรรคสอง สรุป: •มาตรา 335 (1) และ (8) วรรคสอง เพิ่มโทษให้หนักขึ้นหากทรัพย์สินที่ถูกลักมีลักษณะพิเศษ หรือมีสถานที่ที่ต้องการการป้องกัน •เจตนาทุจริตเป็นหัวใจสำคัญ หากปราศจากเจตนาทุจริต การกระทำจะไม่ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ •ในคดีนี้ การกระทำของจำเลยไม่เข้าข่ายลักทรัพย์เพราะขาดเจตนาทุจริต ศาลจึงพิพากษายกฟ้องตามเหตุผลดังกล่าว
***บทความ: "การกระทำโดยขาดเจตนา ซึ่งไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา คืออะไร" การกระทำโดยขาดเจตนา: ความหมายและหลักกฎหมาย การกระทำโดยขาดเจตนาหมายถึง การกระทำที่ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดทางอาญา เนื่องจากขาด "เจตนาทุจริต" ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญตามประมวลกฎหมายอาญาในความผิดทั่วไป หากบุคคลกระทำการด้วยความสุจริต ไม่รู้ข้อเท็จจริง หรือเข้าใจผิด การกระทำดังกล่าวจะไม่ถือเป็นความผิด แม้ว่าจะเกิดผลเสียหายขึ้นก็ตาม ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคแรก "บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในกฎหมาย" คำอธิบาย: มาตรา 59 วรรคแรก ระบุชัดเจนว่า "เจตนา" เป็นองค์ประกอบสำคัญในการรับผิดทางอาญา ยกเว้นในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดเป็นความผิดโดยประมาท หรือในกรณีที่มีความรับผิดแบบเด็ดขาด (Strict Liability) เช่น ความผิดตามกฎหมายพิเศษบางฉบับ 2.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง "การกระทำโดยเจตนานั้น ได้แก่ การกระทำโดยรู้สำนึกในขณะที่กระทำว่าการกระทำนั้นจะต้องเป็นความผิด และประสงค์ต่อผลหรือยอมให้ผลนั้นเกิดขึ้น" คำอธิบาย: มาตรานี้ชี้ให้เห็นว่าผู้กระทำต้องมี "ความตั้งใจ" หรือ "ยอมให้เกิดผล" เพื่อที่จะถือว่ามีเจตนากระทำผิด หากไม่มีความตั้งใจหรือการกระทำเกิดจากความเข้าใจผิด ผู้กระทำจะไม่มีเจตนาในความผิดนั้น ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 296/2567 ข้อเท็จจริง: จำเลยนำเสื้อที่โจทก์ร่วมครอบครองไปคืนให้สมาชิกโดยเข้าใจว่าโจทก์ร่วมได้เสื้อมาโดยมิชอบ จำเลยดำเนินการคืนเงินและมอบเสื้อคืนทันที ผล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เนื่องจากไม่มีเจตนาทุจริต 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2561 ข้อเท็จจริง: จำเลยนำทรัพย์สินในร้านค้าของผู้อื่นไปใช้โดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของตน ผล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการเข้าใจผิดโดยสุจริต ไม่มีเจตนาทุจริต จึงไม่เป็นความผิด 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2560 ข้อเท็จจริง: จำเลยขุดดินในพื้นที่ที่คิดว่าเป็นที่ดินของตน แต่แท้จริงเป็นที่ดินของผู้อื่น ผล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต เนื่องจากเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ จึงไม่เป็นความผิด 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1588/2555 ข้อเท็จจริง: จำเลยถอนเงินจากบัญชีธนาคารของผู้อื่นโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบัญชีของตนเอง ผล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำเกิดจากความเข้าใจผิด ไม่มีเจตนาทุจริต จึงไม่เป็นความผิด การเปรียบเทียบหลักการในคดีเหล่านี้ 1.ขาดเจตนาทุจริต: ทุกคดีแสดงให้เห็นว่าการกระทำที่เกิดจากความเข้าใจผิดโดยสุจริต ไม่มีเจตนาแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ จะไม่ถือเป็นความผิด 2.ความสำคัญของข้อเท็จจริง: ศาลพิจารณาพฤติการณ์และข้อเท็จจริงแวดล้อม เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณี หรือความพยายามแก้ไขความเสียหายทันที 3.หลักการเกี่ยวกับเจตนา: การกระทำที่ขาดเจตนาหรือกระทำโดยสุจริต แม้เกิดผลเสียหาย จะไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา สรุป: การกระทำโดยขาดเจตนาทุจริต ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ศาลใช้วินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดทางอาญา ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง ยืนยันว่าความตั้งใจในการกระทำความผิดคือองค์ประกอบสำคัญ การพิจารณาคดีต้องดูเจตนาและข้อเท็จจริงแวดล้อมเพื่อให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย ![]() |