

ให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถูกจำคุก 48 เดือน ให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถูกจำคุก 48 เดือน โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราและปลอมเอกสารสิทธิ ศาลชั้นต้นพิพากษาข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจำคุก 48 เดือนปลอมเอกสารสิทธิจำคุก 48 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจำคุก 48 เดือนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยกรอกข้อความเติมจำนวนเงินกู้ลงในสัญญากู้เงินอันเป็นเอกสารสิทธิเกินไปจากที่มีการกู้ยืมกันจริง จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ จำเลยทำสัญญาให้ผู้กู้ยืมกู้เงิน โดยเรียกดอกเบี้ยในอัตราประมาณร้อยละ 2 ต่อสัปดาห์ หรือร้อยละ 8 ต่อเดือน หรือร้อยละ 96 ต่อปี อันเป็นอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด การกระทำความผิดจึงได้เกิดขึ้นและสำเร็จแล้วในทันทีที่ให้กู้เงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มิใช่ว่าผู้ให้กู้จะต้องได้รับดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมเงินก่อนจึงจะมีความผิดดังที่จำเลยฎีกา จำเลยจึงมีความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด การกรอกข้อความเติมตัวเลขให้เป็นจำนวนเงินกู้ที่สูงขึ้นไม่ตรงต่อความเป็นจริง เป็นการกระทำที่ไม่สุจริต และไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย มุ่งเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่ผู้อื่นจะได้รับเพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบ สมควรลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561/2565 ความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เกิดขึ้นและสำเร็จแล้วในทันทีที่จำเลยให้ผู้เสียหายทั้งห้ากู้เงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มิใช่ว่าจำเลยจะต้องได้รับดอกเบี้ยจากผู้เสียหายทั้งห้าก่อน โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 264, 265 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4 (1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 6 กระทง ฐานปลอมเอกสารสิทธิ จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 6 กระทง ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละหนึ่งในสาม ฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 6 กระทง เป็นจำคุก 48 เดือน ฐานปลอมเอกสารสิทธิ คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 6 กระทง เป็นจำคุก 48 เดือน รวมจำคุกจำเลยมีกำหนด 96 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์เฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 คงลงโทษจำเลยฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จำคุกมีกำหนด 48 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ และมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ ซึ่งเห็นควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 5 รู้จักกับจำเลยมาก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 ถึง 3 ปี แต่ไม่เคยได้รับแจ้งจากจำเลยว่านางสาวสุกัลยาเป็นเจ้าของเงินที่ให้กู้ ซึ่งต่างจากจำเลยที่ผู้เสียหายทั้งห้าทราบว่าเป็นผู้ให้กู้เงินมานานแล้ว ผู้เสียหายทั้งห้ายืนยันมาโดยตลอดตั้งแต่ชั้นสอบสวนว่าทำสัญญากู้เงินจากจำเลย เพียงแต่ปฏิเสธว่าจำนวนเงินที่ปรากฏในสัญญานั้นไม่ถูกต้อง ประกอบกับไม่ปรากฏถึงสาเหตุโกรธเคืองที่ทำให้ผู้เสียหายทั้งห้าต้องให้การและเบิกความปรักปรำให้จำเลยต้องรับโทษ เชื่อได้ว่าผู้เสียหายทั้งห้าเบิกความตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบกับหากนางสาวสุกัลยาเป็นผู้ให้กู้เงิน หลังจากผู้เสียหายแต่ละคนไม่ชำระเงินคืน นางสาวสุกัลยาคงฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินเช่นเดียวกับที่ฟ้องนางรำไพ นางสุพิศ และนางสุภาพร แต่เมื่อนางสาวสุกัลยานำสัญญากู้เงินที่ได้รับจากจำเลย มาสอบถามผู้เสียหายทั้งห้า นางสาวสุกัลยากลับมิได้เรียกร้องให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินดังกล่าว ทั้งมิได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดี จากพฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้ว่า ผู้เสียหายทั้งห้าทำสัญญากู้เงินจากจำเลย และจำเลยมิได้เป็นเพียงคนกลางติดต่อแทนนางสาวสุกัลยาตามที่จำเลยฎีกา ส่วนกรณีที่จำเลยไม่ได้หักจำนวนดอกเบี้ยออกจากเงินต้นที่ให้กู้ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยไว้วางใจเชื่อถือผู้กู้แต่ละคนแตกต่างกันเท่านั้น มิได้เป็นข้อพิรุธที่จะรับฟังว่าจำเลยไม่ได้ให้ผู้เสียหายทั้งห้ากู้เงินแต่อย่างใด สำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธินั้น เห็นว่า ผู้เสียหายทั้งห้าและนางสาวสุกัลยาเบิกความสอดคล้องกันว่า หลังจากผู้เสียหายทั้งห้าลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินแล้ว จำเลยนำสัญญากู้เงินทุกฉบับไป และสัญญากู้เงินที่นางสาวสุกัลยาได้รับมาจากจำเลยปรากฏจำนวนเงินที่กู้และลายมือชื่อของผู้กู้อยู่แล้ว หากนางสาวสุกัลยาเป็นผู้กรอกจำนวนเงินในสัญญากู้เงินดังกล่าว ก็น่าจะเป็นเพราะประสงค์บังคับให้ผู้เสียหายทั้งห้ารับผิดตามสัญญากู้เงิน แต่นางสาวสุกัลยากลับไม่ได้นำสัญญามาฟ้องเรียกให้ผู้เสียหายทั้งห้ารับผิดตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในสัญญากู้เงินแต่อย่างใด ซึ่งเป็นข้อผิดปกติอย่างยิ่งที่ผู้ให้กู้ไม่นำพาต่อการเรียกร้องให้ผู้กู้รับผิดชดใช้เงินที่กู้ยืมไป ทั้งที่นางสาวสุกัลยาเคยนำสัญญากู้เงินที่ทำกับลูกหนี้รายอื่นมาฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ ถึงแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นว่าจำเลยกรอกจำนวนเงินกู้และเติมตัวเลขเพิ่มจำนวนเงินกู้ในสัญญากู้เงิน แต่จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่เก็บสัญญากู้เงินมาโดยตลอด เพิ่งจะนำมาแสดงต่อนางสาวสุกัลยาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างว่ามีการกู้ยืมเงินไปจากจำเลยเป็นจำนวนมากและจำเลยยังไม่ได้รับการใช้คืน เพื่อให้นางสาวสุกัลยานำสัญญากู้เงินไปเรียกร้องจากผู้กู้เอง โดยที่ผู้เสียหายทั้งห้าต่างยืนยันว่าไม่เคยกู้เงินตามจำนวนที่ปรากฏในเอกสาร พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยกรอกข้อความเติมจำนวนเงินกู้ลงในสัญญากู้เงินอันเป็นเอกสารสิทธิเกินไปจากที่มีการกู้ยืมกันจริง จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องฐานปลอมเอกสารสิทธิมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อได้ความว่าจำเลยทำสัญญาให้ผู้เสียหายทั้งห้ากู้เงิน โดยเรียกดอกเบี้ยในอัตราประมาณร้อยละ 2 ต่อสัปดาห์ หรือร้อยละ 8 ต่อเดือน หรือร้อยละ 96 ต่อปี อันเป็นอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มาตรา 4 (1) สาระสำคัญอยู่ที่การให้กู้เงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนด การกระทำความผิดดังกล่าวจึงเกิดขึ้นและสำเร็จแล้วในทันทีที่จำเลยให้ผู้เสียหายทั้งห้ากู้เงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มิใช่ว่าจำเลยจะต้องได้รับดอกเบี้ยจากผู้เสียหายทั้งห้าก่อนจึงจะมีความผิดดังที่จำเลยฎีกา จำเลยจึงมีความผิดฐานให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า ผู้เสียหายทั้งห้าลงลายมือชื่อทำสัญญากู้เงินกับจำเลย แต่จำเลยกลับกรอกข้อความเติมตัวเลขให้เป็นจำนวนเงินกู้ที่สูงขึ้นไม่ตรงต่อความเป็นจริง เป็นการกระทำที่ไม่สุจริต และไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย มุ่งเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่ผู้อื่นจะได้รับ แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนก็ตาม และเพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบ สมควรลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของคดีแล้ว ศาลฎีกาไม่มีเหตุจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น |