ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




กระทำชำเราผู้เยาว์ในบ้านไม่ถือว่าแยกเด็กจากอำนาจปกครองดูแล

 

 

 ท นาย อาสา ฟรี

 

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

 

กระทำชำเราผู้เยาว์ในบ้านไม่ถือว่าแยกเด็กจากอำนาจปกครองดูแล

โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหากระทำชำเรา พรากผู้เยาว์ บุกรุกเคหสถาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาข้อหากระทำชำเราจำคุก 7 ปี พรากผู้เยาว์จำคุก 5 ปี

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำว่า “พราก” ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร จึงหมายความว่าพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล ทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาเด็ก คดีนี้จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุ 12 ปี ภายในบ้านพักที่ผู้เสียหายที่ผู้เยาว์พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาผู้เยาว์ แม้จะได้ความว่าหลังจากที่จำเลยกระทำชำเราผู้เยาว์ และออกจากบ้านของผู้เยาว์แล้ว จำเลยเรียกให้ผู้เยาว์ออกจากบ้านเพื่อให้เงินและมีการโอบกอดผู้เยาว์นั้น แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องกันในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุนั้นเอง จำเลยมิได้พาผู้เยาว์ไปที่อื่นอันเป็นการพาไปหรือแยกออกไปจากอำนาจปกครองดูแลของมารดาของผู้เยาว์ที่ทำให้อำนาจปกครองดูแลของมารดา ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2565

จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ภายในบ้านพักที่ผู้เสียหายที่ 2 พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 แม้หลังจากจำเลยกระทำชำเราและออกจากบ้านพักดังกล่าวแล้ว จำเลยเรียกให้ผู้เสียหายที่ 2 ออกจากบ้านเพื่อให้เงินและมีการโอบกอดผู้เสียหายที่ 2 แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องกันในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุนั้นเอง จำเลยมิได้พาผู้เสียหายที่ 2 ไปที่อื่นอันเป็นการพาไปหรือแยกออกไปจากอำนาจปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 1 ที่ทำให้อำนาจปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 1 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน ยังไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317, 364, 365

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณานาง อ. ผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ร. ผู้เสียหายที่ 2 โดยนาง อ. ผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินเป็นเงิน 200,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และค่าเสียหายเพราะทำผิดอาญาเป็นทุรศีลธรรมเป็นเงิน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 รวมเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยกระทำผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดจึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง, 317 วรรคสาม, 365 (1) ประกอบมาตรา 364 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และฐานบุกรุกเคหสถานโดยใช้กำลังประทุษร้าย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 12 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละหนึ่งในสาม คงจำคุก 7 ปี 12 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งสองเป็นเงินคนละ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันกระทำละเมิด (วันที่ 18 ตุลาคม 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เด็กหญิง ร. ผู้เสียหายที่ 2 เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2550 ขณะเกิดเหตุอายุ 12 ปี 9 เดือนเศษ เป็นบุตรของนาย ธ. กับนาง อ. ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ภายหลังผู้เสียหายที่ 1 กับนาย ธ. เลิกรากัน ผู้เสียหายที่ 2 พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านไม่ทราบเลขที่ ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวทำด้วยปูนมีสภาพเก่า แพทย์หญิงสุริสาเป็นผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลผู้เสียหายที่ 2 ผลการตรวจร่างกายภายนอก ไม่พบร่องรอยการทำร้ายร่างกาย ผลการตรวจร่างกายภายใน พบรอยฉีกขาดใหม่บริเวณเยื่อพรหมจารีที่ 4 นาฬิกา และ 8 นาฬิกา ไม่พบอสุจิ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 มีอายุเพียง 12 ปีเศษ ผู้เสียหายที่ 2 ไม่เคยรู้จักจำเลยหรือมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเบิกความเป็นลำดับตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุเห็นจำเลยนั่งดื่มสุราอยู่ในกลุ่มเดียวกับบิดาของผู้เสียหายที่ 2 ใกล้ที่พักของผู้เสียหายที่ 2 จนกระทั่งถูกจำเลยล่วงละเมิดทางเพศโดยมีสาระสำคัญสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนที่ให้การไว้ต่อหน้าพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการและนักสังคมสงเคราะห์ ทั้งยังมีผู้เสียหายที่ 1 เบิกความสนับสนุน ซึ่งการถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นเรื่องน่าอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หากไม่มีเหตุการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นแล้วผู้เสียหายที่ 2 คงไม่แต่งเรื่องราวขึ้นเพื่อใส่ร้ายปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ แม้หลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 ไปพบเพื่อนแต่ไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังทันทีก็ไม่ใช่ข้อพิรุธเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องน่าอับอาย แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 2 พบผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นมารดา ผู้เสียหายที่ 2 ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้เสียหายที่ 1 ทราบในทันทีและมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าพนักงานตำรวจในวันเดียวกัน ส่วนที่แพทย์หญิงสุริสาตรวจร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ไม่พบตัวอสุจิ แต่พบรอยฉีกขาดใหม่บริเวณเยื่อพรหมจารีที่ 4 นาฬิกา และ 8 นาฬิกา ซึ่งการพบรอยฉีกขาดใหม่แสดงให้เห็นว่าบาดแผลดังกล่าวยังไม่ได้มีการสมานของเนื้อเยื่อ น่าเชื่อว่าเป็นบาดแผลที่เกิดมาไม่เกิน 1 วัน และแพทย์หญิงสุริสายังตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เยื่อพรหมจารีของผู้เสียหายที่ 2 มีการฉีกขาดในลักษณะเป็นเส้นตรงที่บริเวณ 4 นาฬิกา และ 8 นาฬิกา ซึ่งเป็นลักษณะที่พบได้ในคดีข่มขืนกระทำชำเราแม้ไม่ได้ความว่าแพทย์หญิงสุริสาทำการตรวจด้วยวิธีการใดหรือใช้เครื่องมือใดในการตรวจภายในผู้เสียหายที่ 2 ก็มิได้ทำให้ผลการตรวจชันสูตรร่างกายของผู้เสียหายที่ 2 เป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือตามที่จำเลยฎีกา น่าเชื่อว่าแพทย์หญิงสุริสาทำการตรวจร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ตามวิธีทางการแพทย์อย่างถูกต้องและให้ความเห็นตามหลักวิชาโดยไม่มีส่วนได้เสียใด ๆ จึงนำมารับฟังเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ส่วนการตรวจไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายนั้น ได้ความจากแพทย์หญิงสุริสาตอบทนายจำเลยถามค้านอีกว่า การถูกมัดหรือรัดด้วยเชือกหากไม่ได้มัดไว้โดยแรงจนทำให้เส้นเลือดฝอยแตกก็อาจไม่พบรอยบวมช้ำ อาจจะเป็นแค่รอยแดง รอยแดงดังกล่าวไม่เกิน 1 วัน ก็สามารถจางหายได้ ฉะนั้น การที่ไม่พบร่องรอยช้ำตามร่างกายของผู้เสียหายที่ 2 จึงไม่ได้ขัดแย้งกับคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ดังที่จำเลยอ้างในฎีกา ส่วนที่จำเลยอ้างในฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธใด ๆ ขู่บังคับผู้เสียหายที่ 2 ให้เกิดความกลัวนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นชายฉกรรจ์อายุ 29 ปี รูปร่างสูงกว่า 175 เซนติเมตร อยู่ในอาการมึนเมาสุราย่อมทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุ 12 ปีเศษ ไม่ได้มีร่างกายใหญ่โตผิดปกติกว่าเด็กผู้หญิงทั่วไปที่จะสู้แรงชายฉกรรจ์ได้และเกิดความกลัวที่ถูกทำร้ายจึงไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือ การที่ผู้เสียหายที่ 2 มิได้ร้องขอให้เพื่อนหรือชาวบ้านใกล้เคียงช่วยเหลือจึงไม่เป็นข้อพิรุธ อีกทั้งภายหลังเกิดเหตุมีการตรวจพบกางเกงชั้นในแบบชายระบุว่าสีฟ้าหรือสีน้ำเงินวางอยู่บนพื้นปลายที่นอนในห้องนอนที่เกิดเหตุ ซึ่งจำเลยให้การในชั้นสอบสวนรับว่าวันเกิดเหตุจำเลยสวมกางเกงชั้นในสีน้ำเงิน แม้รายงานการตรวจเก็บวัตถุพยานเอกสาร ระบุวัตถุพยานที่ตรวจเก็บจากบ้านเกิดเหตุตามข้อ 7.1.5 เป็นกางเกงชั้นใน สีน้ำเงิน ยี่ห้อรอซโซ่ (ของผู้ชาย) แต่ตามบันทึกข้อความเอกสาร ระบุกางเกงชั้นในสำหรับผู้ชาย ยี่ห้อ ROSSO และมีลายมือเขียนตกเติมว่า สีเทา นั้น ได้ความจากพันตำรวจโทพิรุนพัฒน์ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจพิสูจน์วัตถุของกลางดังกล่าวตอบโจทก์ถามติงว่า วัตถุพยานที่ทำการตรวจรับต้องเก็บไว้ในซองปิดผนึก หากมีร่องรอยการเปิดปิดไม่เรียบร้อยจะส่งคืนไม่ทำการตรวจให้ กางเกงชั้นในผู้ชายสีกรมท่าคือตัวเดียวกับที่บรรจุในซองหีบห่อที่ส่งตรวจดีเอ็นเอ แม้พันตำรวจโทพิรุนพัฒน์มิได้ตรวจเก็บวัตถุพยานดังกล่าวด้วยตนเองแต่การตรวจเก็บทำโดยพนักงานสอบสวนร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจของศูนย์นิติวิทยาศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนและไม่มีส่วนได้เสียในคดี น่าเชื่อว่าปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาโดยจัดเก็บวัตถุพยานที่พบใส่ซองปิดผนึกเรียบร้อยก่อนนำส่งตรวจพิสูจน์ต่อไป เมื่อผลการตรวจพิสูจน์เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีดำขอบสีแดง เสื้อชั้นในสตรีสีขาว กางเกงชั้นในผู้ชายสีกรมท่า และธนบัตรฉบับละ 100 บาท ของกลาง พบสารพันธุกรรม (DNA) ลักษณะปนเปื้อนของบุคคลมากกว่าหนึ่งคนติดอยู่ แต่เป็นสารพันธุกรรม (DNA) ที่เข้ากันได้กับสารพันธุกรรม (DNA) ของจำเลย จึงน่าเชื่อว่ากางเกงชั้นในสำหรับผู้ชายเป็นตัวเดียวกับกางเกงชั้นในผู้ชายสีกรมท่าที่ส่งและมีการตรวจพิสูจน์ เพียงแต่เขียนตกเติมระบุสีผิดไปเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นจำเลยนำสืบเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์โดยรับว่าเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุจริง แต่อ้างลอย ๆ ว่าเป็นเพราะตนเมาสุรา พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยเข้าไปในห้องนอนที่เกิดเหตุภายในบ้านที่พักอาศัยของผู้เสียหายทั้งสองแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเด็ก แต่สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารนั้น เห็นว่า “พราก” ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายความว่า ทำให้จากไป พาไปเสียจาก ทำให้แยกออกจากกัน หรือแยกออกไป ดังนั้น คำว่า “พราก” ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร จึงหมายความว่าพาไปหรือแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดูแล ทำให้อำนาจปกครองดูแลของบิดามารดาเด็กถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยบิดามารดาเด็กไม่รู้เห็นยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาเด็ก เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 ภายในบ้านพักที่ผู้เสียหายที่ 2 พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 1 แม้จะได้ความว่าหลังจากที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 และออกจากบ้านพักดังกล่าวแล้ว จำเลยเรียกให้ผู้เสียหายที่ 2 ออกจากบ้านเพื่อให้เงินและมีการโอบกอดผู้เสียหายที่ 2 ดังที่ผู้เสียหายที่ 2 ให้การต่อพนักงานสอบสวน แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องกันในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุนั้นเอง จำเลยมิได้พาผู้เสียหายที่ 2 ไปที่อื่นอันเป็นการพาไปหรือแยกออกไปจากอำนาจปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 1 ที่ทำให้อำนาจปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 1 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานดังกล่าว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดต่อผู้เสียหายที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น

อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทนเป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี ปัญหาเรื่องอัตราดอกเบี้ยขัดต่อกฎหมายหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม และยกคำร้องของผู้ร้องที่ 1 สำหรับดอกเบี้ยในต้นเงินค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยชำระอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันกระทำละเมิด (วันที่ 18 ตุลาคม 2562) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 หลังจากนั้นให้ชำระอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยหากมีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยตามมาตรา 7 โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ




เกี่ยวกับคดีอาญา

ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ลักทรัพย์โดยสุจริต, ความผิดลักทรัพย์ vs การเข้าใจผิด, คดีลักทรัพย์ในเครือญาติ,
การกระทำของจำเลยเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน, ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมาตรา 289 (4), โทษประหารชีวิตในคดีอาญา
ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง
ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่, การพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย, การฟ้องอั้งยี่และซ่องโจร
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร, อำนาจปกครองบิดามารดา
จำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี
ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น
การกระทำโดยพลาด
รอการลงโทษ,ให้การรับสารภาพ
ขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ-มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
รถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะซุกซ่อนและขนส่งบุหรี่ซิกาแรตในการกระทำความผิด
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้นสภาพความเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้เกิดขึ้นทันที
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ปฏิบัติหรือละเว้นตามมาตรา 157
การกระทำความผิดระหว่างผู้บุพการีต่อผู้สืบสันดานหรือผู้สืบสันดานต่อผู้บุพการี
พาไปเพื่อการอนาจาร -บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี
ความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์ขณะที่ผู้เสียหายป่วยทางจิต
รอการกำหนดโทษ | รอการลงโทษ | พรบ.ล้างมลทิน
เบิกความอันเป็นเท็จในศาล
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาใดไม่แน่ชัด
ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ-ป้องกันเกินกว่าเหตุ
บันดาลโทสะเพราะเหตุยั่วยุให้โมโห
หมิ่นประมาท | เข้าใจโดยสุจริต
ความผิดฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้
เป็นอันตรายแก่จิตใจ - ใช้ยาสลบใส่กาแฟ
บันดาลโทสะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง
หมิ่นประมาท | หนังสือพิมพ์ลงพิมพ์โฆษณา
วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนต้องห้ามฎีกา
ผู้เสียหายด่าจำเลย(บิดา)หยาบคายกรณีจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
เจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร
การริบทรัพย์สิน | ใช้ในการกระทำความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คำว่า-วิชาชีพ-ในคดีอาญา
หลบหนีไปจากความควบคุมตามอำนาจของพนักงานสอบสวน
สเปรย์พริกไทยไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร | รับส่งเด็กนักเรียน
ลักทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ
กระทำอนาจารต่อศิษย์นอกเวลาเรียน
ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ยังคงเป็นป่าตาม พ.ร.บ. ป่าไม้
เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต
ลงลายมือชื่อรับรองคนต่างด้าว 7 คน
ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อาญา มาตรา 188
ผู้สนับสนุนให้จำเลยกระทำความผิด
ทวงหนี้ลักษณะข่มขู่ว่าไม่จ่ายจะเดือดร้อนจำคุก 3 ปี
การทำนากุ้งไม่ใช่การประกอบอาชีพกสิกรรม
ลักทรัพย์นายจ้าง, ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
การจับกุมมิชอบกับการฟ้องคดีอาญา
คำขอในส่วนแพ่งเนื่องความผิดอาญา
แม้ผู้ตายยิงจำเลยก่อนอ้างเหตุป้องกันตัวไม่ได้
ทำร้ายร่างกายกับการป้องกันตัว
พรากเด็กต่ำ15 ปี ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 5 ปี
ซื้อเสียงเลือกตั้งไม่รอลงอาญา
ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบ
การเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
กระทำชำเราต่างวันต่างเวลาและต่างสถานที่ผิดหลายกรรม
เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
การพรากเด็กไม่ว่าเด็กจะออกจากบ้านเองก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมและฐานฉ้อโกง
พิพากษาจำคุกจำเลยศาลฎีกายกฟ้องเพราะคำฟ้องไม่ได้ลงชื่อ
หมิ่นประมาทกับดูหมิ่นซึ่งหน้า-ความผิดอาญามีโทษหนักเบาแตกต่างกัน
พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต
บันดาลโทสะหรือพยายามฆ่า
ความผิดอันยอมความได้ | คดีหมิ่นประมาท | ร้องทุกข์ภายในสามเดือน
พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
การสมรสในต่างประเทศระหว่างหญิงไทยกับหญิงไทย
การกระทำชำเราที่ไม่ต้องรับโทษ
การสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายอิสลามจำเลยไม่ต้องรับโทษ
กระทำโดยประมาทไม่อาจอ้างเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยไม่มีอำนาจสอบสวนไม่มีอำนาจฟ้อง
ให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถูกจำคุก 48 เดือน
ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุดคดีอาญาระงับ
บุตรติดมารดาไม่อยู่ในความปกครองของบิดาเลี้ยง
การชวนเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีเข้าไปในห้องนอนไม่ผิดพรากผู้เยาว์
กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีจำคุก 50 ปี
การนับอายุความคดีความผิดอันยอมความได้
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากในฟ้อง
ปลัดกระทรวงไม่มีอำนาจสั่งย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งป่าไม้จังหวัด
จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่
การสนทนาผ่านเมสเซนเจอร์ไม่เป็นการกล่าวไขข่าวให้แพร่หลาย
ภยันตรายจากการประทุษร้ายที่จะใช้อ้างเพื่อการป้องกันสิทธิ
ฟ้องข้อหาค้ามนุษย์ บังคับใช้แรงงาน
กระทำชำเราเด็กและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปีจำคุก 48 ปี
"อนาจาร" มีความหมายว่า การกระทำที่ไม่สมควรทางเพศ
พาเด็กหญิงจากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คน
จำเลยเป็นบุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขายทองเงินผ่อนอำพรางการให้กู้ยืมเงินดอกเบี้ย318%ต่อปี
ศาลฎีกาพิพากษาให้รอการกำหนดโทษจำเลยรอการชำระเงิน
มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแต่จำเลยหลบหนีขาดอายุความอย่างไร
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร,เต็มใจไปด้วย
ขู่เข็ญให้จ่ายเงิน มิฉะนั้นเปิดเผยความลับวีดีโอ-ความสัมพันธ์ทางเพศ รีดเอาทรัพย์
ความผิดตามมาตรา 149 บทเฉพาะและมาตรา 157 บททั่วไป
ลักทรัพย์นายจ้าง ปลอมเอกสารสิทธิ การกระทำกรรมเดียว
ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจเหนือศาลทหาร
พนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครอง
งดเว้นไม่ให้ความช่วยเหลือเล็งเห็นผลว่าอาจถึงแก่ความตายเป็นพยายามฆ่า
ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา