

เบิกความอันเป็นเท็จในศาล เบิกความอันเป็นเท็จหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีในศาล โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเบิกความเท็จ นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยในข้อหาเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล 2 ปี ใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย ฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี จำคุก 1 ปี และฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม จำคุก 1 ปี ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมโดยการใช้ภาพถ่ายโฉนดปลอมศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาลงโทษจำเลยโจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไป ความผิดฐานเบิกความเท็จ จำเลยกระทำผิดฐานเบิกความเท็จพร้อมกันไปกับการกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี และฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม โดยกระทำในวันเวลาและคดีเดียวกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ เป็นความผิดหลายกรรมนั้นจึงไม่ชอบ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2552 จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานเบิกความเท็จพร้อมกันไปกับกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี และฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม โดยกระทำในวันเวลาและคดีเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท โจทก์ฟ้องข้อ 2.2 (ข้อหาใช้เอกสารปลอม) 2.3 (ข้อหานำสืบและแสดงหลักฐานเท็จ) และ 2.4 (ข้อหาเบิกความเท็จ) ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ภาพถ่ายโฉนดเลขที่ 2601 ปลอม ประกอบคำร้องในคดีแพ่งที่จำเลยที่ 1 ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2601 โดยการครอบครองปรปักษ์ เพื่อให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของ ม. และมีคำสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องให้ ม. ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่ทราบคำร้อง และจำเลยทั้งสองนำภาพถ่ายโฉนดปลอมดังกล่าวอ้างส่งเป็นพยานประกอบการเบิกความของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดในเรื่องเดียวกัน แต่โจทก์แยกฟ้องเป็นรายข้อตามฐานความผิด แม้ในฟ้องข้อ 2.3 โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าประเด็นสำคัญในคดีแพ่งดังกล่าวมีว่าอย่างไร และพยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสองร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร แต่ตามฟ้องข้อ 2.4 โจทก์ได้บรรยายฟ้องในความผิดฐานเบิกความเท็จว่า คดีแพ่งดังกล่าวมีประเด็นแห่งคดีที่ต้องพิสูจน์ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2601 เป็นของ ม. จริงหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 เบิกความเท็จว่า ม. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2601 ทำให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 หลงเชื่อว่า ม. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์บางส่วน และฟ้องข้อ 2.2 โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองนำภาพถ่ายโฉนดที่ดินปลอมเข้าเป็นเอกสารท้ายคำร้อง เพื่อให้ศาลเชื่อว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2601 ที่จำเลยที่ 1 ครอบครองปรปักษ์เป็นของ ม. เมื่ออ่านฟ้องรวมกันแล้วพอเข้าใจได้ว่าคดีแพ่งดังกล่าว มีประเด็นสำคัญแห่งคดีว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2601 เป็นของ ม. หรือไม่ และภาพถ่ายโฉนดที่ดินปลอมที่อ้างส่งเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญแห่งคดี เพราะทำให้ศาลเชื่อว่าที่ดินตามโฉนดดังกล่าวเป็นของ ม. ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีครบองค์ประกอบความผิดแล้ว ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 1 ฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี จำคุก 1 ปี และฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี จำคุก 1 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 เฉพาะฐานร่วมกันเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ฐานร่วมกันปลอมและฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 2.3 ไม่ครบองค์ประกอบของความผิดฐานร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องข้อ 2.2, 2.3 และ 2.4 ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ภาพถ่ายโฉนดเลขที่ 2601 ซึ่งเป็นเอกสารปลอม ประกอบคำร้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1353/2543 หมายเลขแดงที่ 2812/2543 เพื่อให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อว่า ที่ดินเป็นของนายโมฮารซิงห์และมีคำสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องให้นายโมฮาร์ซิงห์ ทำให้โจทก์ไม่ทราบคำร้อง และนำภาพถ่ายโฉนดปลอมดังกล่าวอ้างส่งเป็นพยานประกอบการเบิกความของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดในเรื่องเดียวกัน แต่โจทก์แยกฟ้องเป็นรายข้อตามฐานความผิด แม้ในฟ้องข้อ 2.3 โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าประเด็นสำคัญในคดีแพ่งดังกล่าวมีว่าอย่างไร และพยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสองร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร แต่ตามฟ้องข้อ 2.4 โจทก์ได้บรรยายฟ้องในความผิดฐานเบิกความเท็จว่า คดีแพ่งดังกล่าวเป็นประเด็นแห่งคดีที่ต้องพิสูจน์ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2601 เป็นของนายโมฮารซิงห์จริงหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 เบิกความเท็จว่านายโมฮารซิงห์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2601 ทำให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 หลงเชื่อว่านายโมฮารซิงห์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ และศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์บางส่วน และฟ้องข้อ 2.2 โจทก์ได้บรรยายฟ้องในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมว่าจำเลยทั้งสองนำภาพถ่ายโฉนดเลขที่ 2601 ซึ่งเป็นเอกสารปลอมเข้าเป็นเอกสารท้ายคำร้องเพื่อให้ศาลหลงเชื่อว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2601 ที่จำเลยที่ 1 ครอบครองปรปักษ์เป็นของนายโมฮารซิงห์ เมื่ออ่านฟ้องดังกล่าวรวมกันแล้วพอเข้าใจได้ว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1353/2543 หมายเลขแดงที่ 2812/2543 มีประเด็นสำคัญแห่งคดีว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2601 เป็นของนายโมฮารซิงห์หรือไม่ และภาพถ่ายโฉนดที่ดินปลอมที่อ้างส่งจึงเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดีนั้น เพราะทำให้ศาลเชื่อว่าที่ดินตามโฉนดดังกล่าวเป็นของนายโมฮารซิงห์และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ดังนั้นเมื่ออ่านฟ้องทั้งฉบับแล้ว ย่อมเข้าใจข้อหาตามฟ้องได้ดี ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีครบองค์ประกอบความผิดแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น... อนึ่งความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมโดยการใช้ภาพถ่ายโฉนดปลอมประกอบคำร้องตามฟ้องข้อ 2.2 ศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่อุทธรณ์ ความผิดฐานนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับความผิดฐานเบิกความเท็จได้ความว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานเบิกความเท็จพร้อมกันไปกับการกระทำความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี และฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามฟ้องข้อ 2.3 และ 2.4 โดยกระทำในวันเวลาและคดีเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมนั้นจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก มาตรา 180 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 มาตรา 266 (1) มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมแต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) ตามมาตรา 268 วรรคสอง ความผิดฐานเบิกความเท็จ ฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม และฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ให้ปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 2,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี และคุมความประพฤติจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 2 ฟัง โดยให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง มีกำหนด 2 ปี ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด ให้จำเลยที่ 2 ละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดทำนองนี้อีก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณา คดีอาญา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท มาตรา 180 ผู้ใดนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ถ้าเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดีนั้นต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณาคดี อาญาผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นสี่พันบาท |