ขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ-มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดเมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้วศาลจะสั่งคืนให้แก่เจ้าของซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย เมื่อผู้ร้องเก็บกุญแจไว้ในที่ที่จำเลยสามารถหยิบไปใช้ได้โดยสะดวก และมอบหมายให้จำเลยคอยดูแลรถยนต์ของกลางด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า ผู้ร้องได้อนุญาตโดยปริยายให้จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลาตามที่จำเลยต้องการโดยไม่คำนึงว่าจำเลยจะนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในกิจการอันใด เป็นการปล่อยปละละเลยให้จำเลยสามารถนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดคดีนี้ได้ ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9090/2549 คดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้วศาลจะสั่งคืนให้แก่เจ้าของซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ แม้ฟังได้ว่าคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็เป็นเรื่องการต่อสู้คดีของจำเลยว่าผลคดีถึงที่สุดจะเป็นประการใด หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ร้องแต่อย่างใดไม่ ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนรถยนต์ของกลางหาได้ไม่ คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) (8), 134, 157, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ, 162 และริบรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลาง จำเลยซึ่งเป็นบุตรของผู้ร้องนำรถยนต์ของกลางไปใช้โดยพลการ ผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยขอให้ยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบนั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่าเมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้ว ศาลจะสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้แก่เจ้าของซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ แม้ฟังได้ว่าคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็เป็นเรื่องการต่อสู้ของจำเลยว่าผลคดีถึงที่สุดจะเป็นประการใด หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ร้องแต่อย่างใดไม่ ดังนั้นผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนรถยนต์ของกลางหาได้ไม่ คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ ผู้ร้องเบิกความว่า ผู้ร้องจอดรถยนต์ของกลางไว้ที่คอนโดมิเนียมของผู้ร้องที่นางสาววรนุช และจำเลยพักอาศัย ผู้ใดจะใช้รถยนต์ของกลางต้องขออนุญาตจากผู้ร้องก่อน วันเกิดเหตุจำเลยไม่ได้ขออนุญาตจากผู้ร้องเพื่อนำรถยนต์ของกลางไปใช้ ผู้ร้องไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย แต่นางสาววรนุชและจำเลยเบิกความว่า กรณีที่จำเลยมีความจำเป็นจะใช้รถยนต์ของกลาง จำเลยจะขออนุญาตจากนางสาววรนุช แล้วนางสาววรนุชจะแจ้งทางโทรศัพท์ให้ผู้ร้องทราบ วันเกิดเหตุจำเลยขออนุญาตนำรถยนต์ของกลางไปพบแพทย์ นางสาววรนุชแจ้งให้ผู้ร้องทราบแล้ว กับผู้ร้องเบิกความว่าปกติกุญแจรถยนต์ของกลางจะเก็บไว้ที่หิ้งพระในห้องนอนซึ่งเข้าออกสะดวกและสามารถหยิบกุญแจรถยนต์ของกลางไปใช้ได้ หากนางสาววรนุชอยู่ที่คอนโดนิเนียม ผู้ร้องจะฝากกุญแจรถยนต์ของกลางไว้กับนางสาววรนุชเพื่อให้ช่วยดูแล จำเลยทราบว่ากุญแจรถยนต์ของกลางเก็บไว้ที่หิ้งพระ ผู้ร้องเคยมอบหมายให้จำเลยคอยติดเครื่องยนต์รถยนต์ของกลางอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ข้อเท็จจริงดังกล่าวพออนุมานได้ว่าผู้ร้องมิได้เข้มงวดในการอนุญาตให้จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้โดยต้องขออนุญาตจากผู้ร้องโดยตรง จำเลยเพียงแต่บอกนางสาววรนุช แล้วนางสาววรนุชแจ้งให้ผู้ร้องทราบ จำเลยก็สามารถนำรถยนต์ของกลางไปใช้ได้ ทั้งผู้ร้องยังเก็บกุญแจไว้ในที่ที่จำเลยสามารถหยิบไปใช้ได้โดยสะดวก และมอบหมายให้จำเลยคอยดูแลรถยนต์ของกลางด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า ผู้ร้องได้อนุญาตโดยปริยายให้จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้ได้ตลอดเวลาตามที่จำเลยต้องการโดยไม่คำนึงว่าจำเลยจะนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในกิจการอันใด เป็นการปล่อยปละละเลยให้จำเลยสามารถนำรถยนต์ของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดคดีนี้ได้ ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน.
|