
ขอคืนรถของกลาง & เงื่อนไขริบและคืน,ริบทรัพย์, เจ้าของทรัพย์, (ฎีกา 9090/2549)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณี ขอคืนรถยนต์ของกลาง ที่ศาลมีคำสั่งให้ริบ โดยผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินแท้จริงและ มิได้ทราบหรือให้ความยินยอมในการกระทำผิด ของจำเลย แม้ว่าคดีความผิดของจำเลยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในศาลอุทธรณ์ ประเด็นสำคัญคือว่า ผู้ร้องสามารถยกประเด็นการพิสูจน์ไม่รู้เห็นเป็นใจได้ในชั้นร้องขอคืนกลางหรือไม่ และศาลฎีกาวินิจฉัยว่าประเด็นการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยไม่อยู่ในขอบเขตที่ผู้ร้องสามารถนำขึ้นในคำร้อง ขอคืนของกลาง บทนำนี้จะช่วยผู้อ่านเข้าใจภาพรวมก่อนว่าคดีเป็นอย่างไร และสิ่งที่ศาลฎีกาพิจารณานั้นอยู่ในกรอบใด ข้อเท็จจริงของคดี • จำเลยถูกฟ้องและถูกพิพากษาลงโทษตามกฎหมายจราจร (พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522) ในหลายมาตรา เช่น มาตรา 43 (2), 134, 157, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ, 162 และศาลมีคำสั่งให้ ริบรถยนต์ของกลาง ที่จำเลยใช้กระทำผิด • ผู้ร้อง (ซึ่งต่อมาศาลเห็นว่าเป็นบิดาของจำเลย) อ้างว่าเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ หมายเลขทะเบียน ภฉ 2832 กรุงเทพฯ และยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ คืนรถยนต์ของกลาง แก่ตน • โจทก์ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคัดค้านคำร้องขอคืน • ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง “ยกคำร้อง” • ผู้ร้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 • ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น • ผู้ร้องจึงฎีกาต่อศาลฎีกา คำร้องขอคืนของกลาง (ผู้ร้อง) ผู้ร้องอ้างเหตุว่า 1. ตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ดังกล่าว 2. มิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอมในการกระทำผิดของจำเลย 3. จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลคืนรถยนต์ของกลางแก่ตน คำคัดค้านของโจทก์ / ฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายโจทก์คัดค้านว่า • ผู้ร้องไม่มีสิทธิยกประเด็นต่อสู้ในชั้นขอคืนกลางเรื่องว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่ (ซึ่งเป็นการต่อสู้คดีหลัก) • ข้อเท็จจริงเรื่องการกระทำผิดยังไม่สิ้นสุด (คดีในชั้นอุทธรณ์) จึงไม่เป็นประเด็นสำหรับผู้ร้อง • หากผู้ร้องจะขอคืน ต้องอาศัยเงื่อนไข “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” และต้องพิสูจน์ในชั้นร้องคืนของกลาง คำพิพากษาศาลชั้นต้น & อุทธรณ์ • ศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้อง • ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ยืนตามศาลชั้นต้น ทั้งสองศาลมองว่า ผู้ร้องไม่อาจยกประเด็นการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยในชั้นร้องขอคืนของกลาง และผู้ร้องยังไม่ผ่านการพิสูจน์เหตุไม่รู้เห็นเป็นใจ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ประเด็นที่จะต้องพิจารณา 1. ในชั้นร้องขอคืนของกลาง ศาลควรยอมรับหรือไม่ให้ผู้ร้องยกประเด็นว่า “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” 2. ประเด็นการพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ (ซึ่งคดียังอยู่ในอุทธรณ์) อยู่ในขอบเขตของคำร้องคืนกลางหรือไม่ 3. เงื่อนไขและข้อจำกัดในการตั้งคำร้องขอคืนของกลาง หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง • ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ให้ผู้ที่เป็นเจ้าของแท้จริงสามารถยื่นคำร้องขอคืนของกลางที่ศาลมีคำพิพากษาริบนั้นภายใน 1 ปี (ถ้าทรัพย์ยังอยู่) • แต่ศาลมีดุลยพินิจว่าจะคืนทรัพย์สินหรือไม่ขึ้นกับเงื่อนไขว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริง และ มิได้รู้เห็นเป็นใจ ในการกระทำความผิด • ศาลฎีกายืนว่า ประเด็นต่อสู้คดีอาญาของจำเลย (เช่นจะกระทำผิดหรือไม่) ไม่ใช่ประเด็นสำหรับผู้ร้อง (เพราะเป็นการต่อสู้คดีของจำเลย) เหตุผลของศาลฎีกา • เมื่อศาลมีคำสั่งริบของกลางแล้ว ประเด็นที่ผู้ร้องสามารถยกขึ้นในชั้นร้องขอคืนมีเพียงเรื่อง ว่าเจ้าของทรัพย์สินแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจ เท่านั้น • ประเด็นว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ (ซึ่งอยู่ในชั้นอุทธรณ์) เป็นเรื่องที่จำเลยเป็นฝ่ายต้องต่อสู้ มิใช่เรื่องของผู้ร้อง • ผู้ร้องจึงไม่อาจใช้คำร้องคืนกลางไปแทรกแซงประเด็นหลักของคดีอาญาของจำเลย • ดังนั้น ศาลฎีกายืนคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ข้อจำกัดและเงื่อนไขการคืน • ผู้ร้องต้องพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของแท้จริง • ต้องพิสูจน์ว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือให้ความยินยอม ก่อนหรือในเวลาที่เกิดการใช้ของกลางในการกระทำผิด • หากผู้ร้องเคยมีพฤติการณ์ปล่อยปละละเลย หรือมีพฤติการณ์ให้เข้าใจว่าอนุญาต ก็อาจถูกปฎิเสธ • ผู้ร้องไม่อาจยกประเด็นต่อสู้คดีอาญาของจำเลยในชั้นร้องคืนกลาง ⚖️ ประเด็นกฎหมายสำคัญที่ศาลฎีกาใช้วินิจฉัย คดีนี้ศาลฎีกาใช้หลักตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ซึ่งบัญญัติให้ศาลมีอำนาจ “ริบของกลาง” ที่ใช้ในการกระทำความผิด แต่เปิดช่องให้ เจ้าของแท้จริงซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางได้ ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด 🔹 ดังนั้น ประเด็นหลักของคดีจึงอยู่ที่ — “ขอบเขตของสิทธิผู้ร้องในการขอคืนของกลาง และการตีความคำว่า ‘มิได้รู้เห็นเป็นใจ’ ตามมาตรา 36” ศาลฎีกาชี้ว่า การร้องขอคืนของกลางมีขอบเขตจำกัด ผู้ร้องต้องพิสูจน์เพียงว่าเป็นเจ้าของแท้จริงและไม่รู้เห็นเป็นใจ ส่วนประเด็นว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ เป็นเรื่องของจำเลยในคดีอาญาหลัก ไม่อยู่ในขอบเขตที่ผู้ร้องจะอ้างได้ 🔑 5 Keywords สำคัญที่สุดของคดีนี้ พร้อมคำอธิบาย 1. ขอคืนของกลาง หมายถึง การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอคืนทรัพย์ที่ศาลมีคำสั่งริบในคดีอาญา ซึ่งเจ้าของแท้จริงสามารถทำได้ตามเงื่อนไขในมาตรา 36 หากพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิด 2. ริบทรัพย์ (ของกลาง) คืออำนาจของศาลในการยึดทรัพย์สินที่ใช้หรือได้มาจากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นดิน เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์นั้นถูกใช้ซ้ำในการกระทำผิดอีก 3. มิได้รู้เห็นเป็นใจ เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในการขอคืนของกลาง ศาลจะพิจารณาว่าเจ้าของทรัพย์มีส่วนรู้เห็น ยินยอม หรือปล่อยปละละเลยให้ผู้อื่นนำทรัพย์ไปใช้กระทำผิดหรือไม่ หากมีพฤติการณ์รู้เห็น จะไม่ได้สิทธิขอคืน 4. สิทธิของเจ้าของแท้จริง เจ้าของทรัพย์ที่ถูกนำไปใช้ในการกระทำผิดโดยไม่ได้รู้เห็น สามารถร้องขอให้ศาลคืนทรัพย์ได้ภายใน 1 ปีนับแต่คดีถึงที่สุด แต่ต้องพิสูจน์กรรมสิทธิ์ชัดเจนและแสดงพฤติการณ์บริสุทธิ์ 5. ขอบเขตการวินิจฉัยของศาล ศาลจะพิจารณาเฉพาะสิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าของทรัพย์ และการมีหรือไม่มีส่วนรู้เห็นเท่านั้น จะไม่พิจารณาประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ เพราะเป็นคดีอาญาหลักของจำเลย 🧭 สรุปภาพรวมประเด็นกฎหมาย คดีนี้เน้นย้ำหลักการสำคัญว่า “การขอคืนของกลางต้องอยู่ในกรอบของมาตรา 36 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยผู้ร้องต้องพิสูจน์ตนเป็นเจ้าของทรัพย์แท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจ ศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องคดีอาญาหลักของจำเลยในชั้นร้องคืนของกลาง” วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย สิทธิของเจ้าของแท้จริง เจ้าของทรัพย์สิน (แม้ว่าตนจะไม่ใช่ผู้กระทำผิด) มีสิทธิขอคืนทรัพย์สินที่ถูกริบตามคำพิพากษา แต่สิทธินี้มิได้เป็นสิทธิสัมบูรณ์ ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขตามกฎหมายอาญา มาตรา 36 และหลักกฎหมายที่ศาลฎีกากำหนด เงื่อนไข “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” เงื่อนไขนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญ ศาลจะต้องประเมินว่าเจ้าของทรัพย์สินมีบทบาทหรือส่วนร่วมในความผิดหรือไม่ เช่น • ปล่อยให้ผู้กระทำผิดใช้ทรัพย์สินโดยปราศจากการควบคุม • มีลักษณะการยอมให้ใช้ • มีพฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าเจ้าของทรัพย์สินยินยอมโดยปริยาย หากมีหลักฐานหรือพฤติการณ์ที่ทำให้ศาลเชื่อว่าเจ้าของทรัพย์สินรู้อยู่แล้ว ก็อาจปฏิเสธคำร้องคืน ประเด็นคดียังไม่ถึงที่สุด หนึ่งในข้อพิจารณาสำคัญคือ คดีอาญาของจำเลยยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ดังนั้นประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ยังไม่ถึงที่สุด ศาลฎีกามองว่าเป็นการต่อสู้คดีของจำเลย ไม่ใช่ประเด็นของผู้ร้อง จึงไม่สามารถนำเข้ามาในคำร้องขอคืนของกลางได้ บทบาทศาลในการใช้ดุลพินิจ ศาลมีอำนาจในการพิจารณาดุลพินิจว่า หากคืนทรัพย์สินจะเป็นการช่วยเหลือผู้ต้องหาเกินสมควรหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ความเหมาะสม และผลกระทบ IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue (ปัญหากฎหมาย): ในคดีร้องขอคืนรถยนต์ของกลางที่ศาลมีคำสั่งริบแล้ว ผู้ร้องซึ่งอ้างตนเป็นเจ้าของทรัพย์สินแท้จริงสมควรได้รับคืนหรือไม่ และสามารถยกประเด็นว่า “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” ได้ในชั้นร้องคืนกลางหรือไม่ Rule (กฎหมาย / หลักที่ใช้): • มาตรา 36 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้เจ้าของทรัพย์สินแท้จริงมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางภายใน 1 ปี (ถ้าทรัพย์ยังอยู่) • ศาลมีดุลยพินิจว่าจะคืนทรัพย์สินหรือไม่ขึ้นกับเงื่อนไข เช่น เจ้าของทรัพย์สิน มิได้รู้เห็นเป็นใจ ในความผิด • หลักว่า ประเด็นต่อสู้คดีอาญาของจำเลยเป็นเรื่องของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้อง Application (การวิเคราะห์ / ประยุกต์): • ผู้ร้องได้อ้างว่าเป็นเจ้าของแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจ • แต่คดีอาญายังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ ประเด็นว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ ยังไม่ถึงที่สุด • ผู้ร้องจึงไม่อาจยกประเด็นการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยมาใช้ในชั้นร้องคืนของกลาง • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิแต่ต้องอยู่ในขอบเขตเงื่อนไขตามกฎหมาย หากผู้ร้องไม่สามารถพิสูจน์เงื่อนไข “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” ได้ ศาลอาจยกคำร้อง Conclusion (ข้อสรุป): ผู้ร้องไม่สามารถเรียกร้องคืนรถของกลางได้ เพราะไม่อาจยกประเด็นการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยในชั้นร้องคืนกลาง และแม้จะอ้างมิได้รู้เห็นเป็นใจ ศาลเห็นว่าประเด็นหลักของคดีอาญาอยู่เหนือขอบเขตของผู้ร้อง จึงให้ยืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ข้อคิดทางกฎหมาย / บทสรุป • สิทธิขอคืนของกลางมิใช่สิทธิสัมบูรณ์ แต่ขึ้นกับเงื่อนไขสำคัญคือเจ้าของทรัพย์สินต้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด • ผู้ร้องไม่สามารถแทรกแซงเรื่องการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยได้ • คดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุดไม่ใช่ประเด็นของผู้ร้อง • ศาลมีดุลยพินิจในการคืนทรัพย์สินตามสถานการณ์ • ผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินควรรอบคอบในการพิสูจน์และแสดงพฤติการณ์ที่แสดงความบริสุทธิ์
🔹คำถาม–คำตอบประเด็นที่ 1 คำถาม: หากศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางในคดีอาญาแล้ว แต่บุคคลอื่นที่เป็นเจ้าของแท้จริงและมิได้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดของจำเลย ยื่นคำร้องขอคืนรถของกลาง — ศาลสามารถคืนรถให้ได้หรือไม่ และต้องพิจารณาในประเด็นใดเป็นหลัก? คำตอบ: ศาลสามารถพิจารณาคำร้องขอคืนของกลางได้ แต่ ประเด็นที่ศาลต้องพิจารณามีเพียงว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดหรือไม่เท่านั้น ตามหลักในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ซึ่งกำหนดให้ศาลอาจคืนของกลางให้แก่เจ้าของแท้จริงได้ หากพิสูจน์ได้ว่าเจ้าของมิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือให้ความยินยอมในการนำทรัพย์ไปใช้ในการกระทำความผิด ในคำพิพากษานี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ร้องอ้างกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ถูกริบ แต่คดีของจำเลยยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ประเด็นการพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้อง ศาลจึงพิจารณาได้เฉพาะเรื่องว่า ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นหรือไม่เท่านั้น สรุป: การร้องขอคืนของกลางหลังศาลสั่งริบ จะพิจารณาได้เฉพาะเรื่อง “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” ของเจ้าของทรัพย์เท่านั้น ส่วนประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ศาลจะไม่วินิจฉัยในชั้นนี้
🔹คำถาม–คำตอบประเด็นที่ 2 คำถาม: ในคดีที่ผู้ร้องยื่นขอคืนรถยนต์ของกลาง โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินแท้จริง แต่คดีอาญาหลักของจำเลยยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องจะสามารถยกประเด็น “จำเลยยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด” เพื่อให้ศาลคืนรถของกลางได้หรือไม่? คำตอบ: ไม่ได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยชัดเจนว่า ประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ เป็นเรื่องของจำเลยที่จะต่อสู้ในคดีอาญาหลัก มิใช่ประเด็นที่ผู้ร้องจะนำมากล่าวในชั้นร้องขอคืนของกลางได้ แม้คดีอาญาของจำเลยจะยังไม่ถึงที่สุด ก็ไม่กระทบต่อสิทธิร้องขอคืนของกลางของผู้ร้อง แต่ศาลจะพิจารณาเฉพาะในส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจเท่านั้น ดังนั้น การยกข้ออ้างว่า “คดียังไม่ถึงที่สุด” หรือ “จำเลยอาจไม่ผิด” ไม่ใช่เหตุที่ศาลจะคืนของกลางให้แก่ผู้ร้องได้ สรุป: ผู้ร้องไม่อาจใช้เหตุผลว่า “จำเลยยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด” มาเป็นเหตุขอคืนของกลาง เพราะศาลจะพิจารณาเฉพาะสิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าของแท้จริงและการพิสูจน์ว่าไม่รู้เห็นเป็นใจเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9090/2549 คดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้วศาลจะสั่งคืนให้แก่เจ้าของซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ แม้ฟังได้ว่าคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็เป็นเรื่องการต่อสู้คดีของจำเลยว่าผลคดีถึงที่สุดจะเป็นประการใด หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ร้องแต่อย่างใดไม่ ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนรถยนต์ของกลางหาได้ไม่ คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) (8), 134, 157, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ, 162 และริบรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นบิดาจำเลยและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ หมายเลขทะเบียน ภฉ 2832 กรุงเทพมหานคร ของกลาง จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดคดีนี้ ที่ผู้ร้องฎีกาว่า คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาลงโทษจำเลย แต่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติว่าจำเลยกระทำความผิดโดยใช้รถยนต์ของกลางแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เห็นว่า ในคดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบนั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้วศาลจะสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้แก่เจ้าของซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ แม้ฟังได้ว่าคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็เป็นเรื่องการต่อสู้ของจำเลยว่าผลคดีถึงที่สุดจะเป็นประการใด หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ร้องแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนรถยนต์ของกลางหาได้ไม่ พิพากษายืน |