ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ขอคืนรถของกลาง & เงื่อนไขริบและคืน,ริบทรัพย์, เจ้าของทรัพย์, (ฎีกา 9090/2549)

คำพิพากษาศาลฎีกา 9090/2549, ขอคืนรถของกลาง, เงื่อนไขการคืนของกลาง, ริบทรัพย์ของกลาง, เจ้าของมิได้รู้เห็นเป็นใจ, การร้องขอคืนของกลาง, แนวปฏิบัติศาลฎีกา, สิทธิของเจ้าของแท้จริง, คดีริบและคืนทรัพย์, มาตรา 36 อาญา, อุทธรณ์ภาค 1, คำร้องคืนของกลางในคดีอาญา

  ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ 

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณี ขอคืนรถยนต์ของกลาง ที่ศาลมีคำสั่งให้ริบ โดยผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินแท้จริงและ มิได้ทราบหรือให้ความยินยอมในการกระทำผิด ของจำเลย แม้ว่าคดีความผิดของจำเลยยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในศาลอุทธรณ์ ประเด็นสำคัญคือว่า ผู้ร้องสามารถยกประเด็นการพิสูจน์ไม่รู้เห็นเป็นใจได้ในชั้นร้องขอคืนกลางหรือไม่ และศาลฎีกาวินิจฉัยว่าประเด็นการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยไม่อยู่ในขอบเขตที่ผู้ร้องสามารถนำขึ้นในคำร้อง ขอคืนของกลาง

บทนำนี้จะช่วยผู้อ่านเข้าใจภาพรวมก่อนว่าคดีเป็นอย่างไร และสิ่งที่ศาลฎีกาพิจารณานั้นอยู่ในกรอบใด

ข้อเท็จจริงของคดี

จำเลยถูกฟ้องและถูกพิพากษาลงโทษตามกฎหมายจราจร (พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522) ในหลายมาตรา เช่น มาตรา 43 (2), 134, 157, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ, 162 และศาลมีคำสั่งให้ ริบรถยนต์ของกลาง ที่จำเลยใช้กระทำผิด

ผู้ร้อง (ซึ่งต่อมาศาลเห็นว่าเป็นบิดาของจำเลย) อ้างว่าเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ หมายเลขทะเบียน ภฉ 2832 กรุงเทพฯ และยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ คืนรถยนต์ของกลาง แก่ตน

โจทก์ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคัดค้านคำร้องขอคืน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง “ยกคำร้อง”

ผู้ร้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1

ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น

ผู้ร้องจึงฎีกาต่อศาลฎีกา

คำร้องขอคืนของกลาง (ผู้ร้อง)

ผู้ร้องอ้างเหตุว่า

1. ตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ดังกล่าว

2. มิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอมในการกระทำผิดของจำเลย

3. จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลคืนรถยนต์ของกลางแก่ตน

คำคัดค้านของโจทก์ / ฝ่ายตรงข้าม

ฝ่ายโจทก์คัดค้านว่า

ผู้ร้องไม่มีสิทธิยกประเด็นต่อสู้ในชั้นขอคืนกลางเรื่องว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่ (ซึ่งเป็นการต่อสู้คดีหลัก)

ข้อเท็จจริงเรื่องการกระทำผิดยังไม่สิ้นสุด (คดีในชั้นอุทธรณ์) จึงไม่เป็นประเด็นสำหรับผู้ร้อง

หากผู้ร้องจะขอคืน ต้องอาศัยเงื่อนไข “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” และต้องพิสูจน์ในชั้นร้องคืนของกลาง

คำพิพากษาศาลชั้นต้น & อุทธรณ์

ศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้อง

ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ยืนตามศาลชั้นต้น

ทั้งสองศาลมองว่า ผู้ร้องไม่อาจยกประเด็นการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยในชั้นร้องขอคืนของกลาง และผู้ร้องยังไม่ผ่านการพิสูจน์เหตุไม่รู้เห็นเป็นใจ

คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ประเด็นที่จะต้องพิจารณา

1. ในชั้นร้องขอคืนของกลาง ศาลควรยอมรับหรือไม่ให้ผู้ร้องยกประเด็นว่า “มิได้รู้เห็นเป็นใจ”

2. ประเด็นการพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ (ซึ่งคดียังอยู่ในอุทธรณ์) อยู่ในขอบเขตของคำร้องคืนกลางหรือไม่

3. เงื่อนไขและข้อจำกัดในการตั้งคำร้องขอคืนของกลาง

หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ให้ผู้ที่เป็นเจ้าของแท้จริงสามารถยื่นคำร้องขอคืนของกลางที่ศาลมีคำพิพากษาริบนั้นภายใน 1 ปี (ถ้าทรัพย์ยังอยู่) 

แต่ศาลมีดุลยพินิจว่าจะคืนทรัพย์สินหรือไม่ขึ้นกับเงื่อนไขว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริง และ มิได้รู้เห็นเป็นใจ ในการกระทำความผิด 

ศาลฎีกายืนว่า ประเด็นต่อสู้คดีอาญาของจำเลย (เช่นจะกระทำผิดหรือไม่) ไม่ใช่ประเด็นสำหรับผู้ร้อง (เพราะเป็นการต่อสู้คดีของจำเลย)

เหตุผลของศาลฎีกา

เมื่อศาลมีคำสั่งริบของกลางแล้ว ประเด็นที่ผู้ร้องสามารถยกขึ้นในชั้นร้องขอคืนมีเพียงเรื่อง ว่าเจ้าของทรัพย์สินแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจ เท่านั้น

ประเด็นว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ (ซึ่งอยู่ในชั้นอุทธรณ์) เป็นเรื่องที่จำเลยเป็นฝ่ายต้องต่อสู้ มิใช่เรื่องของผู้ร้อง

ผู้ร้องจึงไม่อาจใช้คำร้องคืนกลางไปแทรกแซงประเด็นหลักของคดีอาญาของจำเลย

ดังนั้น ศาลฎีกายืนคำตัดสินของศาลอุทธรณ์

ข้อจำกัดและเงื่อนไขการคืน

ผู้ร้องต้องพิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของแท้จริง

ต้องพิสูจน์ว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือให้ความยินยอม ก่อนหรือในเวลาที่เกิดการใช้ของกลางในการกระทำผิด

หากผู้ร้องเคยมีพฤติการณ์ปล่อยปละละเลย หรือมีพฤติการณ์ให้เข้าใจว่าอนุญาต ก็อาจถูกปฎิเสธ

ผู้ร้องไม่อาจยกประเด็นต่อสู้คดีอาญาของจำเลยในชั้นร้องคืนกลาง

⚖️ ประเด็นกฎหมายสำคัญที่ศาลฎีกาใช้วินิจฉัย

คดีนี้ศาลฎีกาใช้หลักตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36

ซึ่งบัญญัติให้ศาลมีอำนาจ “ริบของกลาง” ที่ใช้ในการกระทำความผิด แต่เปิดช่องให้ เจ้าของแท้จริงซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางได้ ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด

🔹 ดังนั้น ประเด็นหลักของคดีจึงอยู่ที่ —

“ขอบเขตของสิทธิผู้ร้องในการขอคืนของกลาง และการตีความคำว่า ‘มิได้รู้เห็นเป็นใจ’ ตามมาตรา 36”

ศาลฎีกาชี้ว่า การร้องขอคืนของกลางมีขอบเขตจำกัด ผู้ร้องต้องพิสูจน์เพียงว่าเป็นเจ้าของแท้จริงและไม่รู้เห็นเป็นใจ ส่วนประเด็นว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ เป็นเรื่องของจำเลยในคดีอาญาหลัก ไม่อยู่ในขอบเขตที่ผู้ร้องจะอ้างได้

🔑 5 Keywords สำคัญที่สุดของคดีนี้ พร้อมคำอธิบาย

1. ขอคืนของกลาง

หมายถึง การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอคืนทรัพย์ที่ศาลมีคำสั่งริบในคดีอาญา ซึ่งเจ้าของแท้จริงสามารถทำได้ตามเงื่อนไขในมาตรา 36 หากพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิด

2. ริบทรัพย์ (ของกลาง)

คืออำนาจของศาลในการยึดทรัพย์สินที่ใช้หรือได้มาจากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นดิน เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพย์นั้นถูกใช้ซ้ำในการกระทำผิดอีก

3. มิได้รู้เห็นเป็นใจ

เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในการขอคืนของกลาง ศาลจะพิจารณาว่าเจ้าของทรัพย์มีส่วนรู้เห็น ยินยอม หรือปล่อยปละละเลยให้ผู้อื่นนำทรัพย์ไปใช้กระทำผิดหรือไม่ หากมีพฤติการณ์รู้เห็น จะไม่ได้สิทธิขอคืน

4. สิทธิของเจ้าของแท้จริง

เจ้าของทรัพย์ที่ถูกนำไปใช้ในการกระทำผิดโดยไม่ได้รู้เห็น สามารถร้องขอให้ศาลคืนทรัพย์ได้ภายใน 1 ปีนับแต่คดีถึงที่สุด แต่ต้องพิสูจน์กรรมสิทธิ์ชัดเจนและแสดงพฤติการณ์บริสุทธิ์

5. ขอบเขตการวินิจฉัยของศาล

ศาลจะพิจารณาเฉพาะสิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าของทรัพย์ และการมีหรือไม่มีส่วนรู้เห็นเท่านั้น จะไม่พิจารณาประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ เพราะเป็นคดีอาญาหลักของจำเลย

🧭 สรุปภาพรวมประเด็นกฎหมาย

คดีนี้เน้นย้ำหลักการสำคัญว่า

“การขอคืนของกลางต้องอยู่ในกรอบของมาตรา 36 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยผู้ร้องต้องพิสูจน์ตนเป็นเจ้าของทรัพย์แท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจ ศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องคดีอาญาหลักของจำเลยในชั้นร้องคืนของกลาง”

วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย

สิทธิของเจ้าของแท้จริง

เจ้าของทรัพย์สิน (แม้ว่าตนจะไม่ใช่ผู้กระทำผิด) มีสิทธิขอคืนทรัพย์สินที่ถูกริบตามคำพิพากษา แต่สิทธินี้มิได้เป็นสิทธิสัมบูรณ์ ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขตามกฎหมายอาญา มาตรา 36 และหลักกฎหมายที่ศาลฎีกากำหนด

เงื่อนไข “มิได้รู้เห็นเป็นใจ”

เงื่อนไขนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญ ศาลจะต้องประเมินว่าเจ้าของทรัพย์สินมีบทบาทหรือส่วนร่วมในความผิดหรือไม่ เช่น

ปล่อยให้ผู้กระทำผิดใช้ทรัพย์สินโดยปราศจากการควบคุม

มีลักษณะการยอมให้ใช้

มีพฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าเจ้าของทรัพย์สินยินยอมโดยปริยาย

หากมีหลักฐานหรือพฤติการณ์ที่ทำให้ศาลเชื่อว่าเจ้าของทรัพย์สินรู้อยู่แล้ว ก็อาจปฏิเสธคำร้องคืน

ประเด็นคดียังไม่ถึงที่สุด

หนึ่งในข้อพิจารณาสำคัญคือ คดีอาญาของจำเลยยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ดังนั้นประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ยังไม่ถึงที่สุด ศาลฎีกามองว่าเป็นการต่อสู้คดีของจำเลย ไม่ใช่ประเด็นของผู้ร้อง จึงไม่สามารถนำเข้ามาในคำร้องขอคืนของกลางได้

บทบาทศาลในการใช้ดุลพินิจ

ศาลมีอำนาจในการพิจารณาดุลพินิจว่า หากคืนทรัพย์สินจะเป็นการช่วยเหลือผู้ต้องหาเกินสมควรหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ความเหมาะสม และผลกระทบ

 IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion)

Issue (ปัญหากฎหมาย):

ในคดีร้องขอคืนรถยนต์ของกลางที่ศาลมีคำสั่งริบแล้ว ผู้ร้องซึ่งอ้างตนเป็นเจ้าของทรัพย์สินแท้จริงสมควรได้รับคืนหรือไม่ และสามารถยกประเด็นว่า “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” ได้ในชั้นร้องคืนกลางหรือไม่

Rule (กฎหมาย / หลักที่ใช้):

มาตรา 36 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้เจ้าของทรัพย์สินแท้จริงมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางภายใน 1 ปี (ถ้าทรัพย์ยังอยู่)

ศาลมีดุลยพินิจว่าจะคืนทรัพย์สินหรือไม่ขึ้นกับเงื่อนไข เช่น เจ้าของทรัพย์สิน มิได้รู้เห็นเป็นใจ ในความผิด

หลักว่า ประเด็นต่อสู้คดีอาญาของจำเลยเป็นเรื่องของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้อง

Application (การวิเคราะห์ / ประยุกต์):

ผู้ร้องได้อ้างว่าเป็นเจ้าของแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจ

แต่คดีอาญายังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ ประเด็นว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ ยังไม่ถึงที่สุด

ผู้ร้องจึงไม่อาจยกประเด็นการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยมาใช้ในชั้นร้องคืนของกลาง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิแต่ต้องอยู่ในขอบเขตเงื่อนไขตามกฎหมาย หากผู้ร้องไม่สามารถพิสูจน์เงื่อนไข “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” ได้ ศาลอาจยกคำร้อง

Conclusion (ข้อสรุป):

ผู้ร้องไม่สามารถเรียกร้องคืนรถของกลางได้ เพราะไม่อาจยกประเด็นการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยในชั้นร้องคืนกลาง และแม้จะอ้างมิได้รู้เห็นเป็นใจ ศาลเห็นว่าประเด็นหลักของคดีอาญาอยู่เหนือขอบเขตของผู้ร้อง จึงให้ยืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

ข้อคิดทางกฎหมาย / บทสรุป

สิทธิขอคืนของกลางมิใช่สิทธิสัมบูรณ์ แต่ขึ้นกับเงื่อนไขสำคัญคือเจ้าของทรัพย์สินต้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด

ผู้ร้องไม่สามารถแทรกแซงเรื่องการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยได้

คดีอาญาที่ยังไม่ถึงที่สุดไม่ใช่ประเด็นของผู้ร้อง

ศาลมีดุลยพินิจในการคืนทรัพย์สินตามสถานการณ์

ผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินควรรอบคอบในการพิสูจน์และแสดงพฤติการณ์ที่แสดงความบริสุทธิ์


🔹คำถาม–คำตอบประเด็นที่ 1

คำถาม:

หากศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางในคดีอาญาแล้ว แต่บุคคลอื่นที่เป็นเจ้าของแท้จริงและมิได้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดของจำเลย ยื่นคำร้องขอคืนรถของกลาง — ศาลสามารถคืนรถให้ได้หรือไม่ และต้องพิจารณาในประเด็นใดเป็นหลัก?

คำตอบ:

ศาลสามารถพิจารณาคำร้องขอคืนของกลางได้ แต่ ประเด็นที่ศาลต้องพิจารณามีเพียงว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดหรือไม่เท่านั้น ตามหลักในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ซึ่งกำหนดให้ศาลอาจคืนของกลางให้แก่เจ้าของแท้จริงได้ หากพิสูจน์ได้ว่าเจ้าของมิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือให้ความยินยอมในการนำทรัพย์ไปใช้ในการกระทำความผิด

ในคำพิพากษานี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ร้องอ้างกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ถูกริบ แต่คดีของจำเลยยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ประเด็นการพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้อง ศาลจึงพิจารณาได้เฉพาะเรื่องว่า ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นหรือไม่เท่านั้น

สรุป:

การร้องขอคืนของกลางหลังศาลสั่งริบ จะพิจารณาได้เฉพาะเรื่อง “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” ของเจ้าของทรัพย์เท่านั้น ส่วนประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ศาลจะไม่วินิจฉัยในชั้นนี้


🔹คำถาม–คำตอบประเด็นที่ 2

คำถาม:

ในคดีที่ผู้ร้องยื่นขอคืนรถยนต์ของกลาง โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินแท้จริง แต่คดีอาญาหลักของจำเลยยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์ ผู้ร้องจะสามารถยกประเด็น “จำเลยยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด” เพื่อให้ศาลคืนรถของกลางได้หรือไม่?

คำตอบ:

ไม่ได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยชัดเจนว่า ประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ เป็นเรื่องของจำเลยที่จะต่อสู้ในคดีอาญาหลัก มิใช่ประเด็นที่ผู้ร้องจะนำมากล่าวในชั้นร้องขอคืนของกลางได้

แม้คดีอาญาของจำเลยจะยังไม่ถึงที่สุด ก็ไม่กระทบต่อสิทธิร้องขอคืนของกลางของผู้ร้อง แต่ศาลจะพิจารณาเฉพาะในส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจเท่านั้น

ดังนั้น การยกข้ออ้างว่า “คดียังไม่ถึงที่สุด” หรือ “จำเลยอาจไม่ผิด” ไม่ใช่เหตุที่ศาลจะคืนของกลางให้แก่ผู้ร้องได้

สรุป:

ผู้ร้องไม่อาจใช้เหตุผลว่า “จำเลยยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด” มาเป็นเหตุขอคืนของกลาง เพราะศาลจะพิจารณาเฉพาะสิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าของแท้จริงและการพิสูจน์ว่าไม่รู้เห็นเป็นใจเท่านั้น


มาตรา 33 “ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย คือ (1) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือ (2) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยได้กระทำความผิด เว้นแต่ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด”  มาตรา 34 “บรรดาทรัพย์สิน (1) ซึ่งได้ให้ตามความในมาตรา 143 มาตรา 144 มาตรา 149 มาตรา 150 มาตรา 167 มาตรา 201 หรือมาตรา 202 หรือ (2) ซึ่งได้ให้เพื่อจูงใจบุคคลให้กระทำความผิด หรือเพื่อเป็นรางวัลในการที่บุคคลได้กระทำความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด”  มาตรา 36 “ในกรณีที่ศาลสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือมาตรา 34 ไปแล้ว หากปรากฏในภายหลังโดยคำเสนอของเจ้าของแท้จริงว่า ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ก็ให้ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน แต่คำเสนอของเจ้าของแท้จริงนั้นจะต้องกระทำต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด”

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9090/2549

คดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้วศาลจะสั่งคืนให้แก่เจ้าของซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ แม้ฟังได้ว่าคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็เป็นเรื่องการต่อสู้คดีของจำเลยว่าผลคดีถึงที่สุดจะเป็นประการใด หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ร้องแต่อย่างใดไม่ ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนรถยนต์ของกลางหาได้ไม่

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) (8), 134, 157, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ, 162 และริบรถยนต์ของกลาง

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นบิดาจำเลยและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ หมายเลขทะเบียน ภฉ 2832 กรุงเทพมหานคร ของกลาง จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้กระทำความผิดคดีนี้ ที่ผู้ร้องฎีกาว่า คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาลงโทษจำเลย แต่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติว่าจำเลยกระทำความผิดโดยใช้รถยนต์ของกลางแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ เห็นว่า ในคดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบนั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องมีเพียงว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้วศาลจะสั่งคืนรถยนต์ของกลางให้แก่เจ้าของซึ่งอ้างว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยตามคำร้องของผู้ร้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ แม้ฟังได้ว่าคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็เป็นเรื่องการต่อสู้ของจำเลยว่าผลคดีถึงที่สุดจะเป็นประการใด หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ร้องแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนรถยนต์ของกลางหาได้ไม่

พิพากษายืน




เกี่ยวกับคดีอาญา

คดีโฆษณาแอลกอฮอล์ & เครื่องหมายการค้า, โฆษณาผิดกฎหมาย, (ฎีกา 3139/2568)
คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว & การยกฟ้อง ตรวจสอบคุณภาพข้าว, (ฎีกา 3555/2568)
ลูกจ้างลักทรัพย์นายจ้าง & การบรรเทาโทษ,มาตรา 335, มาตรา 352, (ฎีกา 5658/2567)
คดีโฉนดมรดก & ป.อ. มาตรา 188, ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น, (ฎีกา 842/2568)
คดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ & ค่าเสียหายสิ่งแวดล้อม (ฎีกา 6009/2567)
คดีพยายามฆ่า, คดีบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย,(ฎีกา 2813/2568, )
คดีพยายามฆ่า & บุกรุกทำร้ายร่างกาย, บุกรุกเคหสถาน (ฎีกา 2813/2568)
คดีบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายและอาวุธ, ป.อ. มาตรา 364, (ฎีกาที่ 5613/2550)
คดีบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายและอาวุธ,มาตรา 364, (ฎีกา 5613/2550)
ฎีกา 1044/2568 – คดีฟอกเงิน & นับโทษจำคุกต่อ
(ฎีกาที่ 3710/2567): คดีพยายามฆ่า การวินิจฉัยเจตนาและข้อจำกัดในการยกฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4292/2567: การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและข้อจำกัดในการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4447/2567: คดีช่วยซ่อนเร้นสินค้านำเข้าไม่ผ่านพิธีการศุลกากรและภาษีสรรพสามิต ศาลฎีกายกฎีกาจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2567: ผู้เสียหายโดยตรงในคดีลักทรัพย์จากบัญชีเงินฝากและสิทธิฟ้องคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5492/2567: คดีพยายามฆ่าโดยใช้อาวุธปืน บุกรุกเคหสถานกลางคืน และการห้ามฎีกาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567: คดีลักทรัพย์และการเพิ่มโทษตามมาตรา 93 พร้อมข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5796/2567 ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและหมิ่นประมาท — ศาลชี้ขาดเจตนากับการกระทำโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5854/2567: ริบรถยนต์ใช้ซ่อนเร้นบุหรี่เถื่อนตาม พ.ร.บ. ศุลกากร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5893/2567 ป้องกันเกินกว่าเหตุและสำคัญผิดจนยิงผู้อื่น ศาลปรับโทษเหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6190/2567 ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ไม่เป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน และไม่เข้าข่ายฆ่าโดยทารุณโหดร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8040/2567 : ความรับผิดฐานควบคุมสัตว์ดุร้ายตาม ป.อ. มาตรา 377 และกฎหมายโรคระบาดสัตว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2567 – พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารและสิทธิของผู้ปกครองตามกฎหมาย
ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ลักทรัพย์โดยสุจริต, ความผิดลักทรัพย์ vs การเข้าใจผิด, คดีลักทรัพย์ในเครือญาติ,
การกระทำของจำเลยเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน, ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมาตรา 289 (4), โทษประหารชีวิตในคดีอาญา
ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง
ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่, การพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย, การฟ้องอั้งยี่และซ่องโจร
กระทำชำเราผู้เยาว์ในบ้านไม่ถือว่าแยกเด็กจากอำนาจปกครองดูแล
จำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี
ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น
การกระทำโดยพลาด
รอการลงโทษ,ให้การรับสารภาพ
รถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะซุกซ่อนและขนส่งบุหรี่ซิกาแรตในการกระทำความผิด
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้นสภาพความเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้เกิดขึ้นทันที
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ปฏิบัติหรือละเว้นตามมาตรา 157
การกระทำความผิดระหว่างผู้บุพการีต่อผู้สืบสันดานหรือผู้สืบสันดานต่อผู้บุพการี
พาไปเพื่อการอนาจาร -บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี
ความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์ขณะที่ผู้เสียหายป่วยทางจิต
รอการกำหนดโทษ | รอการลงโทษ | พรบ.ล้างมลทิน
เบิกความอันเป็นเท็จในศาล
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาใดไม่แน่ชัด
ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ-ป้องกันเกินกว่าเหตุ
บันดาลโทสะเพราะเหตุยั่วยุให้โมโห
หมิ่นประมาท | เข้าใจโดยสุจริต
ความผิดฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้
เป็นอันตรายแก่จิตใจ - ใช้ยาสลบใส่กาแฟ
บันดาลโทสะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง
หมิ่นประมาท | หนังสือพิมพ์ลงพิมพ์โฆษณา
วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนต้องห้ามฎีกา
ผู้เสียหายด่าจำเลย(บิดา)หยาบคายกรณีจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
เจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร
การริบทรัพย์สิน | ใช้ในการกระทำความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คำว่า-วิชาชีพ-ในคดีอาญา
หลบหนีไปจากความควบคุมตามอำนาจของพนักงานสอบสวน
สเปรย์พริกไทยไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร | รับส่งเด็กนักเรียน
ลักทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ
กระทำอนาจารต่อศิษย์นอกเวลาเรียน
ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ยังคงเป็นป่าตาม พ.ร.บ. ป่าไม้
เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต
ลงลายมือชื่อรับรองคนต่างด้าว 7 คน
ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อาญา มาตรา 188
ผู้สนับสนุนให้จำเลยกระทำความผิด
ทวงหนี้ลักษณะข่มขู่ว่าไม่จ่ายจะเดือดร้อนจำคุก 3 ปี
การทำนากุ้งไม่ใช่การประกอบอาชีพกสิกรรม
ลักทรัพย์นายจ้าง, ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
การจับกุมมิชอบกับการฟ้องคดีอาญา
คำขอในส่วนแพ่งเนื่องความผิดอาญา
แม้ผู้ตายยิงจำเลยก่อนอ้างเหตุป้องกันตัวไม่ได้
ทำร้ายร่างกายกับการป้องกันตัว
พรากเด็กต่ำ15 ปี ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 5 ปี
ซื้อเสียงเลือกตั้งไม่รอลงอาญา
ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบ
การเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
กระทำชำเราต่างวันต่างเวลาและต่างสถานที่ผิดหลายกรรม
เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
การพรากเด็กไม่ว่าเด็กจะออกจากบ้านเองก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมและฐานฉ้อโกง
พิพากษาจำคุกจำเลยศาลฎีกายกฟ้องเพราะคำฟ้องไม่ได้ลงชื่อ
หมิ่นประมาทกับดูหมิ่นซึ่งหน้า-ความผิดอาญามีโทษหนักเบาแตกต่างกัน
พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต
บันดาลโทสะหรือพยายามฆ่า
ความผิดอันยอมความได้ | คดีหมิ่นประมาท | ร้องทุกข์ภายในสามเดือน
พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
การสมรสในต่างประเทศระหว่างหญิงไทยกับหญิงไทย
การกระทำชำเราที่ไม่ต้องรับโทษ
การสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายอิสลามจำเลยไม่ต้องรับโทษ
กระทำโดยประมาทไม่อาจอ้างเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยไม่มีอำนาจสอบสวนไม่มีอำนาจฟ้อง
ให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถูกจำคุก 48 เดือน
ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุดคดีอาญาระงับ
บุตรติดมารดาไม่อยู่ในความปกครองของบิดาเลี้ยง
การชวนเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีเข้าไปในห้องนอนไม่ผิดพรากผู้เยาว์
กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีจำคุก 50 ปี
การนับอายุความคดีความผิดอันยอมความได้
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากในฟ้อง