สำนักงานพีศิริ ทนายความ ตั้งอยู่เลขที่ 34/159 หมู่ 8 ซอยบางมดแลนด์ แยก 13 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 ติดต่อทนายความ 085-9604258 สำหรับแผนที่การเดินทาง กรุณาคลิ๊กที่ "ที่ตั้งสำนักงาน" ด้านบนสุด ทนายความ ทนาย สำนักงานกฎหมาย สำนักงานทนายความ ปรึกษากฎหมายกับทนายความลีนนท์ โทรเลย ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความ

พาเด็กหญิงจากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คน -ปรึกษากฎหมาย ทนายความ นายลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ โทร.085-9604258 -ติดต่อทางอีเมล : leenont0859604258@yahoo.co.th -ปรึกษากฎหมายผ่านทางไลน์ ไอดีไลน์ (5) ID line : (1) @leenont หรือ (2) @leenont1 หรือ (3) @peesirilaw หรือ (4) peesirilaw (5) leenont -Line Official Account : เพิ่มเพื่อนด้วย QR CODE
จำเลยพาเด็กหญิงจากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คนเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครอง กรณีเหตุเกิดที่บ้านจำเลยนั้นได้ความจากเด็กหญิงว่าจำเลยเรียกเด็กหญิงเข้าไปในบ้านให้เข้าไปเอาขนมในบ้านโดยใช้ขนมมาล่อให้เข้าไปในบ้าน ถือเป็นกลอุบายส่วนหนึ่งเพื่อให้ได้ตัวเด็กหญิงมากระทำชำเรา และเมื่อเด็กหญิงเข้าไปแล้ว จำเลยก็ได้ปิดประตูบ้าน กรณีจึงนับได้ว่าเป็นการพาไปโดยแยกอำนาจปกครองจากบิดามารดาแล้ว ส่วนกรณีเหตุเกิดในวันอื่นๆ การที่จำเลยพาเด็กหญิงไปกระทำชำเราที่ป่าละเมาะข้างทุ่งนาก็ดี และจากบริเวณแท็งก์น้ำเข้าไปกระทำอนาจารในซอกแท็งก์น้ำก็ดี ล้วนแต่เป็นการพาเด็กหญิงจากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คนจึงเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดา มารดาแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2563 จำเลยเรียกผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุ 14 ปีเศษ ให้เข้าไปเอาขนมในบ้าน จึงเป็นการกระทำโดยใช้ขนมมาล่อผู้เสียหายให้เข้าไปในบ้าน ถือเป็นกลอุบายส่วนหนึ่งเพื่อให้ได้ตัวผู้เสียหายมากระทำชำเรา และเมื่อผู้เสียหายเข้าไปแล้วจำเลยก็ได้ปิดประตู จึงนับได้ว่าเป็นการพาไปโดยแยกอำนาจปกครองจากบิดามารดา และการที่จำเลยพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราที่ป่าละเมาะข้างทุ่งนา และพาผู้เสียหายจากบริเวณแท็งก์น้ำเข้าไปกระทำอนาจารในซอกแท็งก์น้ำ ล้วนเป็นการพาผู้เสียหายจากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คน จึงเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาทั้งสิ้น เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279, 317, 371 จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณานาย ป. ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน เป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การในส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคหนึ่ง (เดิม), 317 วรรคสาม (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 6 ปี รวมจำคุก 12 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุก 1 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 28 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งให้เป็นพับ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีกระทงเดียว จำคุก 6 ปี ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า เด็กหญิง ว. ผู้เสียหายที่ 2 เป็นบุตรของนาย ป. ผู้ร้อง กับนาง ร. ขณะเกิดเหตุอายุ 14 ปีเศษ อยู่ในความปกครองของผู้เสียหายที่ 1 โดยพักอาศัยอยู่กับนาง ส. ผู้ที่ผู้เสียหายที่ 1 ฝากให้ดูแลแทน และเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน ว. ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ กรณีเหตุเกิดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ที่บ้านจำเลยนั้น แม้จะได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ว่า จำเลยกระทำเพียงเรียกผู้เสียหายที่ 2 เข้าไปในบ้าน แต่ก็เป็นการเรียกให้เข้าไปเอาขนมในบ้าน จึงเป็นการกระทำโดยใช้ขนมมาล่อผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเด็กให้เข้าไปในบ้าน ถือเป็นกลอุบายส่วนหนึ่งเพื่อให้ได้ตัวผู้เสียหายที่ 2 มากระทำชำเรา และเมื่อผู้เสียหายที่ 2 เข้าไปแล้ว จำเลยก็ได้ปิดประตูบ้าน กรณีจึงนับได้ว่าเป็นการพาไปโดยแยกอำนาจปกครองจากผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ส่วนกรณีเหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ทุ่งนา และเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2560 บริเวณแท็งก์น้ำข้างศูนย์ตัดเย็บหมู่บ้านนั้น การที่จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 ไปกระทำชำเราที่ป่าละเมาะข้างทุ่งนาก็ดี และการที่จำเลยพาผู้เสียหายที่ 2 จากบริเวณแท็งก์น้ำเข้าไปกระทำอนาจารในซอกแท็งก์น้ำก็ดี ล้วนแต่เป็นการพาผู้เสียหายที่ 2 จากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คน กรณีจึงเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสามเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำชำเรา กระทำอนาจารและพรากผู้เยาว์ทุกกระทงความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายที่ 1 เป็นจำนวนเงินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นทุกข้อ ส่วนฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 มาตรา 5 และมาตรา 9 ให้ยกเลิกความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 และมาตรา 279 และให้ใช้ความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงใช้กฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทุกกระทงความผิด กับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
เทียบกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7820/2549 กระทำชำเราหญิงอายุกว่า 15 ปี โดยมิได้รับอนุญาตจากบิดา มารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปและกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรานั้น จำเลยก็มิได้รับอนุญาตจากบิดาและนายทองศูนย์พี่ชายผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ปกครองดูแลผู้เสียหายให้พาผู้เสียหายไป จึงเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไป
|