ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น

 ทนายความ อาสา ปรึกษาฟรี

 

 

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น

ตามรายงานการตรวจพิสูจน์จะไม่พบคราบอสุจิของจำเลยติดอยู่ที่กางเกงของเด็กหญิงสวมใส่ก็ตาม เนื่องจากก่อนจะเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล กางเกงของกลางที่นำไปตรวจพิสูจน์เป็นคนละตัวกับกางเกงที่เด็กหญิงสวมใส่ในขณะเกิดเหตุ และการตรวจพิสูจน์ก็เป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น การกระทำที่จำเลยดูดนมเด็กหญิงและใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถกับอวัยวะเพศของเด็กหญิงเป็นสาระสำคัญในการกระทำความผิดซึ่งลำพังผลการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมที่ไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยที่กางเกงของเด็กหญิง จึงยังไม่ถึงขนาดเป็นข้อพิรุธอันจะทำให้คำยืนยันของเด็กไม่เป็นความจริงและไม่น่าเชื่อถือ เมื่อจำเลยมาชวนเด็กไปดูโทรทัศน์ แม้ผู้ปกครองจะได้อนุญาตให้เด็กไปดูโทรทัศน์ที่บ้านจำเลย แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้เด็กไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ

พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาเด็กจากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกเด็ก ออกจากการปกครองดูแล ทำให้การปกครองดูแล ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยไม่ยินยอม อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้ปกครอง และเป็นการพรากเด็ก ไปจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2996/2566

แม้ได้ความจาก ส. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อจำเลยมาชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ ผู้เสียหายที่ 1 ถามพยานว่าให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปหรือไม่ ตอนแรกพยานไม่ยอมให้ไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 รบเร้าพยานจึงอนุญาต แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยและกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาผู้เสียหายที่ 1 จากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกจากการปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้การปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารตามฟ้อง

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 279, 283 ทวิ, 317

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา เด็กหญิง ป. ผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาว ข. ผู้เสียหายที่ 2 มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม และผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินคนละ 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง

จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 2 เป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 23 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ

จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อล่วงพ้นระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยชำระมาแก่จำเลย จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แก่จำเลยจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 และให้รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 21 กันยายน 2564 ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้คู่ความแก้ภายในระยะเวลาตามกฎหมายต่อไป

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องและยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นโดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เด็กหญิง ป. ผู้เสียหายที่ 1 เกิดวันที่ 12 กันยายน 2554 ขณะเกิดเหตุอายุ 8 ปีเศษ เป็นบุตรของนาย ป. กับนางสาว ข. ผู้เสียหายที่ 2 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 พักอาศัยอยู่กับนาง ส. ยายของผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านเลขที่ 53 วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 13 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบ้านของผู้เสียหายที่ 1 เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้เสียหายที่ 1 กลับมาบ้าน หลังจากนั้นนาง ส. พาผู้เสียหายที่ 1 ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย วันที่ 23 ธันวาคม 2562 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปีตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็ก ขณะเกิดเหตุอายุเพียง 8 ปีเศษ แต่เบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมา ยากที่เด็กทั่ว ๆ ไปซึ่งมิได้ประสบเหตุการณ์มาก่อนจะสามารถเบิกความได้เช่นนั้น โดยเฉพาะพฤติกรรมของจำเลยตอนที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า จำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยมาถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีน้ำลักษณะเหนียวออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลยนั้น นับเป็นเรื่องเกินกว่าที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยังไร้เดียงสาจะปั้นแต่งขึ้นมาได้เอง ทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ยังสอดคล้องกับที่เคยให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนต่อหน้าพนักงานอัยการจังหวัด นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ และนาง ส. ซึ่งเป็นผู้ที่เด็กร้องขอ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562 อันเป็นเวลาที่ใกล้ชิดต่อเหตุการณ์ ยากที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องราวเพื่อปรักปรำผู้ใด นอกจากนี้ยังได้ความจากผู้เสียหายที่ 2 ว่า หลังจากทราบเหตุคดีนี้ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้เสียหายที่ 1 ด้วย ผู้เสียหายที่ 1 เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังตรงตามที่ผู้เสียหายที่ 1 มาเบิกความต่อศาล ทั้งเมื่อผู้เสียหายที่ 2 สอบถามผู้เสียหายที่ 1 อีกครั้งหลังจากผู้เสียหายที่ 2 กลับไปให้การต่อพนักงานสอบสวน ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยังคงเล่าเหมือนเดิม และในการสืบพยานปากผู้เสียหายที่ 1 ศาลชั้นต้นได้ให้ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความผ่านนักจิตวิทยาอันเป็นการใช้วิธีการพิจารณาคดีสำหรับพยานที่เป็นเด็กเป็นการเฉพาะต่างจากพยานบุคคลทั่วไป โดยอยู่ในกำหนดหลักการว่าในการสืบพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ศาลต้องจัดให้พยานอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก โดยในการถามนั้นศาลจะเป็นผู้ถามพยานเอง หรือถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ หรือจะให้คู่ความถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ก็ได้ ผลของกฎหมายดังกล่าวทำให้กระบวนการยุติธรรมสามารถได้ข้อเท็จจริงจากพยานที่เป็นเด็กมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อมีวิธีการถามความผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กและความเชี่ยวชาญในการซักถามเด็ก จะเป็นผลให้พยานที่เป็นเด็กสามารถให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องสมบูรณ์ กรณีจึงมีน้ำหนักให้น่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 เบิกความไปตามความจริง นอกจากนี้พยานโจทก์ปากนาง ส. และผู้เสียหายที่ 2 ยังให้การยืนยันข้อเท็จจริงสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตลอด ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักควรค่าแก่การรับฟังยิ่งขึ้น ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวยังเจือสมกับที่จำเลยได้ให้การไว้ต่อร้อยตำรวจเอก ส. ในชั้นสอบสวน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2562 หลังเกิดเหตุเพียงสองวัน ใจความว่า วันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุ หลังจากจำเลยทานข้าวเที่ยงเสร็จ จำเลยเดินไปที่เปลใกล้หน้าบ้านผู้เสียหายที่ 1 ขณะที่จำเลยกำลังสูบบุหรี่ ผู้เสียหายที่ 1 เดินมาหาจำเลย บอกจำเลยว่าอยากดูการ์ตูน หลังจากจำเลยสูบบุหรี่เสร็จ จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยแล้วพาเข้าไปนั่งดูโทรทัศน์ที่เตียงนอนของจำเลย ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 เข้ามานั่งติดกับจำเลย จำเลยจึงโอบตัวเข้ามากอดโดยมือของจำเลยไปถูกนมผู้เสียหายที่ 1 จึงเล่นกับผู้เสียหายที่ 1 สมมุติว่าจำเลยเป็นลูกผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยขอดูดนมผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม เมื่อร้อยตำรวจเอก ส. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติงานไปตามหน้าที่ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและไม่มีเหตุที่จะเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องรับโทษ คำเบิกความของร้อยตำรวจเอก ส. ที่ยืนยันว่าจำเลยให้การไว้ตามเอกสารหมาย จ.12 โดยพยานได้อ่านบันทึกคำให้การดังกล่าวให้จำเลยฟังแล้วจำเลยลงลายมือชื่อไว้ ขณะสอบคำให้การ นาง ด. ภริยาของจำเลยได้อยู่ร่วมฟังด้วยและลงลายมือชื่อไว้ จึงมีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อว่าจำเลยให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจตามความเป็นจริง แม้จำเลยจะเบิกความว่า ในวันที่ 23 ธันวาคม 2562 ไม่มีการสอบปากคำจำเลยหรืออ่านข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคดีนี้ให้จำเลยฟัง ทำนองว่าจำเลยไม่ได้ให้การถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.12 ด้วยความสมัครใจ แต่จำเลยก็เบิกความรับว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.12 เป็นลายมือชื่อของจำเลย ทั้งยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บันทึกคำให้การมีลายมือชื่อนาง ด. อยู่ด้วย ความข้อนี้นาง ด. พยานจำเลยเองก็เบิกความรับว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจสอบถามและพูดคุยข้อเท็จจริงกับจำเลยเกี่ยวกับกรณีที่จำเลยไปกระทำการบางอย่างกับผู้เสียหายที่ 1 นั้น พยานนั่งอยู่ด้วย เพียงแต่อ้างว่าได้ยินเพียงจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดโดยไม่ได้ให้รายละเอียดอื่น ๆ เท่านั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ประกอบกับนาง ด. เป็นภริยาของจำเลยอาจเบิกความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยผู้เป็นสามีก็เป็นได้ คดีนี้แม้โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีอายุเพียง 8 ปีเศษ เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 1 เบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมาอย่างละเอียด โดยไม่มีเหตุระแวงว่าถูกเสี้ยมสอนให้มาเบิกความเพื่อปรักปรำใส่ร้ายจำเลย ทั้งเรื่องราวหลังเกิดเหตุอันเป็นพฤติการณ์แวดล้อมยังเชื่อมโยงกันดีกับพยานอื่น ทำให้มีเหตุผลเชื่อได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงดังที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความ ที่จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างว่าวันเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 มาดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลย นาง ด. ก็อยู่ที่บ้านและเห็นเหตุการณ์โดยตลอดนั้น กลับได้ความจากนาง ด. ว่าเห็นผู้เสียหายที่ 1 มาดูโทรทัศน์ที่บ้านในช่วงที่ตนกำลังเตรียมอาหาร อันเป็นช่วงเวลาก่อนที่นาง ด. จะรับประทานอาหารกลางวันกับจำเลยเท่านั้น ขณะที่คำเบิกความของจำเลย นาง ส. และคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 ปรากฏข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกันว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยสองช่วงเวลา คือช่วงเช้าก่อนที่นาง ด.จะรับประทานอาหารกลางวันกับจำเลย และช่วงบ่ายหลังจากที่นาง ด. รับประทานอาหารกลางวันกับจำเลยเสร็จแล้ว โดยช่วงเวลาที่ผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันว่าจำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นช่วงบ่าย ประกอบกับนาง ส. เองก็เบิกความว่า ก่อนที่ผู้เสียหายที่ 1 จะไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยในช่วงบ่าย จำเลยบอกว่านาง ด. ไม่อยู่บ้าน ทั้งผู้เสียหายที่ 1 ยังเบิกความยืนยันว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุนอกจากจำเลยแล้วไม่มีผู้ใดอยู่ที่บ้านของจำเลย คำเบิกความของนาง ด. จึงหาได้สนับสนุนให้พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากขึ้นแต่อย่างใด สำหรับผลการตรวจพิสูจน์นั้น แม้ตามรายงานการตรวจพิสูจน์จะพบคราบอสุจิติดอยู่ที่กางเกงที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมใส่ ซึ่งมีดีเอ็นเอบุคคลอื่นที่แตกต่างจากดีเอ็นเอของจำเลยก็ตาม แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็เบิกความว่าเป็นเพราะหลังเกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายที่ 1 กลับถึงบ้านได้เปลี่ยนไปสวมกางเกงตัวใหม่ก่อนจะเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล กางเกงของกลางที่นำไปตรวจพิสูจน์เป็นคนละตัวกับกางเกงที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมใส่ในขณะเกิดเหตุ ทั้งการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวก็เป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น ประการสำคัญ การกระทำอนาจารตามฟ้องและทางนำสืบคือการกระทำที่จำเลยดูดนมผู้เสียหายที่ 1 และใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ดังนี้ ลำพังผลการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมที่ไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยที่กางเกงของผู้เสียหายที่ 1 จึงยังไม่ถึงขนาดเป็นข้อพิรุธอันจะทำให้คำยืนยันของผู้เสียหายที่ 1 ไม่เป็นความจริงและไม่น่าเชื่อถือ และไม่อาจเป็นข้อพิสูจน์ถึงกับจะทำให้คำเบิกความพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ อันจะเป็นเหตุให้พยานหลักฐานของโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศซึ่งถือเป็นการกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 จริงหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาต่างเชื่อมโยงสนับสนุนให้สอดคล้องต้องกันปราศจากข้อพิรุธ มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 จริง สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร และฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ได้ความจากนาง ส. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อจำเลยมาชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ ผู้เสียหายที่ 1 ถามพยานว่าให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปหรือไม่ ตอนแรกพยานไม่ยอมให้ไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 รบเร้าพยานจึงอนุญาต แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยและกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 ดังวินิจฉัย พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาผู้เสียหายที่ 1 จากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกจากการปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้การปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

สำหรับการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ย่อมเป็นการทำละเมิด จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นผู้เสียหายด้วย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่ในส่วนของดอกเบี้ยผิดนัดนั้น หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ได้มีประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งปัญหาการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดดอกเบี้ยเพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40

พิพากษากลับเป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่สำหรับดอกเบี้ยในต้นเงินค่าสินไหมทดแทน ให้จำเลยชำระอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 23 มีนาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง หากกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ




เกี่ยวกับคดีอาญา

ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ลักทรัพย์โดยสุจริต, ความผิดลักทรัพย์ vs การเข้าใจผิด, คดีลักทรัพย์ในเครือญาติ,
การกระทำของจำเลยเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน, ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมาตรา 289 (4), โทษประหารชีวิตในคดีอาญา
ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง
ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่, การพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย, การฟ้องอั้งยี่และซ่องโจร
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร, อำนาจปกครองบิดามารดา
กระทำชำเราผู้เยาว์ในบ้านไม่ถือว่าแยกเด็กจากอำนาจปกครองดูแล
จำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี
การกระทำโดยพลาด
รอการลงโทษ,ให้การรับสารภาพ
ขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ-มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
รถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะซุกซ่อนและขนส่งบุหรี่ซิกาแรตในการกระทำความผิด
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้นสภาพความเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้เกิดขึ้นทันที
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ปฏิบัติหรือละเว้นตามมาตรา 157
การกระทำความผิดระหว่างผู้บุพการีต่อผู้สืบสันดานหรือผู้สืบสันดานต่อผู้บุพการี
พาไปเพื่อการอนาจาร -บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี
ความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์ขณะที่ผู้เสียหายป่วยทางจิต
รอการกำหนดโทษ | รอการลงโทษ | พรบ.ล้างมลทิน
เบิกความอันเป็นเท็จในศาล
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาใดไม่แน่ชัด
ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ-ป้องกันเกินกว่าเหตุ
บันดาลโทสะเพราะเหตุยั่วยุให้โมโห
หมิ่นประมาท | เข้าใจโดยสุจริต
ความผิดฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้
เป็นอันตรายแก่จิตใจ - ใช้ยาสลบใส่กาแฟ
บันดาลโทสะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง
หมิ่นประมาท | หนังสือพิมพ์ลงพิมพ์โฆษณา
วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนต้องห้ามฎีกา
ผู้เสียหายด่าจำเลย(บิดา)หยาบคายกรณีจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
เจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร
การริบทรัพย์สิน | ใช้ในการกระทำความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คำว่า-วิชาชีพ-ในคดีอาญา
หลบหนีไปจากความควบคุมตามอำนาจของพนักงานสอบสวน
สเปรย์พริกไทยไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร | รับส่งเด็กนักเรียน
ลักทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ
กระทำอนาจารต่อศิษย์นอกเวลาเรียน
ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ยังคงเป็นป่าตาม พ.ร.บ. ป่าไม้
เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต
ลงลายมือชื่อรับรองคนต่างด้าว 7 คน
ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อาญา มาตรา 188
ผู้สนับสนุนให้จำเลยกระทำความผิด
ทวงหนี้ลักษณะข่มขู่ว่าไม่จ่ายจะเดือดร้อนจำคุก 3 ปี
การทำนากุ้งไม่ใช่การประกอบอาชีพกสิกรรม
ลักทรัพย์นายจ้าง, ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
การจับกุมมิชอบกับการฟ้องคดีอาญา
คำขอในส่วนแพ่งเนื่องความผิดอาญา
แม้ผู้ตายยิงจำเลยก่อนอ้างเหตุป้องกันตัวไม่ได้
ทำร้ายร่างกายกับการป้องกันตัว
พรากเด็กต่ำ15 ปี ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 5 ปี
ซื้อเสียงเลือกตั้งไม่รอลงอาญา
ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบ
การเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
กระทำชำเราต่างวันต่างเวลาและต่างสถานที่ผิดหลายกรรม
เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
การพรากเด็กไม่ว่าเด็กจะออกจากบ้านเองก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมและฐานฉ้อโกง
พิพากษาจำคุกจำเลยศาลฎีกายกฟ้องเพราะคำฟ้องไม่ได้ลงชื่อ
หมิ่นประมาทกับดูหมิ่นซึ่งหน้า-ความผิดอาญามีโทษหนักเบาแตกต่างกัน
พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต
บันดาลโทสะหรือพยายามฆ่า
ความผิดอันยอมความได้ | คดีหมิ่นประมาท | ร้องทุกข์ภายในสามเดือน
พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
การสมรสในต่างประเทศระหว่างหญิงไทยกับหญิงไทย
การกระทำชำเราที่ไม่ต้องรับโทษ
การสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายอิสลามจำเลยไม่ต้องรับโทษ
กระทำโดยประมาทไม่อาจอ้างเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยไม่มีอำนาจสอบสวนไม่มีอำนาจฟ้อง
ให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถูกจำคุก 48 เดือน
ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุดคดีอาญาระงับ
บุตรติดมารดาไม่อยู่ในความปกครองของบิดาเลี้ยง
การชวนเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีเข้าไปในห้องนอนไม่ผิดพรากผู้เยาว์
กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีจำคุก 50 ปี
การนับอายุความคดีความผิดอันยอมความได้
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากในฟ้อง
ปลัดกระทรวงไม่มีอำนาจสั่งย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งป่าไม้จังหวัด
จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่
การสนทนาผ่านเมสเซนเจอร์ไม่เป็นการกล่าวไขข่าวให้แพร่หลาย
ภยันตรายจากการประทุษร้ายที่จะใช้อ้างเพื่อการป้องกันสิทธิ
ฟ้องข้อหาค้ามนุษย์ บังคับใช้แรงงาน
กระทำชำเราเด็กและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปีจำคุก 48 ปี
"อนาจาร" มีความหมายว่า การกระทำที่ไม่สมควรทางเพศ
พาเด็กหญิงจากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คน
จำเลยเป็นบุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขายทองเงินผ่อนอำพรางการให้กู้ยืมเงินดอกเบี้ย318%ต่อปี
ศาลฎีกาพิพากษาให้รอการกำหนดโทษจำเลยรอการชำระเงิน
มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแต่จำเลยหลบหนีขาดอายุความอย่างไร
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร,เต็มใจไปด้วย
ขู่เข็ญให้จ่ายเงิน มิฉะนั้นเปิดเผยความลับวีดีโอ-ความสัมพันธ์ทางเพศ รีดเอาทรัพย์
ความผิดตามมาตรา 149 บทเฉพาะและมาตรา 157 บททั่วไป
ลักทรัพย์นายจ้าง ปลอมเอกสารสิทธิ การกระทำกรรมเดียว
ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจเหนือศาลทหาร
พนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครอง
งดเว้นไม่ให้ความช่วยเหลือเล็งเห็นผลว่าอาจถึงแก่ความตายเป็นพยายามฆ่า
ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา