

ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น
ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น ตามรายงานการตรวจพิสูจน์จะไม่พบคราบอสุจิของจำเลยติดอยู่ที่กางเกงของเด็กหญิงสวมใส่ก็ตาม เนื่องจากก่อนจะเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล กางเกงของกลางที่นำไปตรวจพิสูจน์เป็นคนละตัวกับกางเกงที่เด็กหญิงสวมใส่ในขณะเกิดเหตุ และการตรวจพิสูจน์ก็เป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น การกระทำที่จำเลยดูดนมเด็กหญิงและใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถกับอวัยวะเพศของเด็กหญิงเป็นสาระสำคัญในการกระทำความผิดซึ่งลำพังผลการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมที่ไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยที่กางเกงของเด็กหญิง จึงยังไม่ถึงขนาดเป็นข้อพิรุธอันจะทำให้คำยืนยันของเด็กไม่เป็นความจริงและไม่น่าเชื่อถือ เมื่อจำเลยมาชวนเด็กไปดูโทรทัศน์ แม้ผู้ปกครองจะได้อนุญาตให้เด็กไปดูโทรทัศน์ที่บ้านจำเลย แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้เด็กไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาเด็กจากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกเด็ก ออกจากการปกครองดูแล ทำให้การปกครองดูแล ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยไม่ยินยอม อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้ปกครอง และเป็นการพรากเด็ก ไปจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2996/2566 แม้ได้ความจาก ส. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อจำเลยมาชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ ผู้เสียหายที่ 1 ถามพยานว่าให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปหรือไม่ ตอนแรกพยานไม่ยอมให้ไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 รบเร้าพยานจึงอนุญาต แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยและกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาผู้เสียหายที่ 1 จากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกจากการปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้การปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารตามฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 279, 283 ทวิ, 317 จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา เด็กหญิง ป. ผู้เสียหายที่ 1 โดยนางสาว ข. ผู้เสียหายที่ 2 มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม และผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินคนละ 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท แก่ผู้ร้องที่ 2 เป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 23 มีนาคม 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อล่วงพ้นระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย และให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยชำระมาแก่จำเลย จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แก่จำเลยจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 และให้รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 21 กันยายน 2564 ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้คู่ความแก้ภายในระยะเวลาตามกฎหมายต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องและยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นโดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เด็กหญิง ป. ผู้เสียหายที่ 1 เกิดวันที่ 12 กันยายน 2554 ขณะเกิดเหตุอายุ 8 ปีเศษ เป็นบุตรของนาย ป. กับนางสาว ข. ผู้เสียหายที่ 2 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 พักอาศัยอยู่กับนาง ส. ยายของผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านเลขที่ 53 วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 13 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับบ้านของผู้เสียหายที่ 1 เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้เสียหายที่ 1 กลับมาบ้าน หลังจากนั้นนาง ส. พาผู้เสียหายที่ 1 ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย วันที่ 23 ธันวาคม 2562 พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยเป็นคดีนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร ฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบสามปีตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็ก ขณะเกิดเหตุอายุเพียง 8 ปีเศษ แต่เบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมา ยากที่เด็กทั่ว ๆ ไปซึ่งมิได้ประสบเหตุการณ์มาก่อนจะสามารถเบิกความได้เช่นนั้น โดยเฉพาะพฤติกรรมของจำเลยตอนที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า จำเลยนำอวัยวะเพศของจำเลยมาถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 จนมีน้ำลักษณะเหนียวออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลยนั้น นับเป็นเรื่องเกินกว่าที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยังไร้เดียงสาจะปั้นแต่งขึ้นมาได้เอง ทั้งคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ยังสอดคล้องกับที่เคยให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนต่อหน้าพนักงานอัยการจังหวัด นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ และนาง ส. ซึ่งเป็นผู้ที่เด็กร้องขอ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562 อันเป็นเวลาที่ใกล้ชิดต่อเหตุการณ์ ยากที่จะคิดปรุงแต่งเรื่องราวเพื่อปรักปรำผู้ใด นอกจากนี้ยังได้ความจากผู้เสียหายที่ 2 ว่า หลังจากทราบเหตุคดีนี้ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้เสียหายที่ 1 ด้วย ผู้เสียหายที่ 1 เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังตรงตามที่ผู้เสียหายที่ 1 มาเบิกความต่อศาล ทั้งเมื่อผู้เสียหายที่ 2 สอบถามผู้เสียหายที่ 1 อีกครั้งหลังจากผู้เสียหายที่ 2 กลับไปให้การต่อพนักงานสอบสวน ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยังคงเล่าเหมือนเดิม และในการสืบพยานปากผู้เสียหายที่ 1 ศาลชั้นต้นได้ให้ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความผ่านนักจิตวิทยาอันเป็นการใช้วิธีการพิจารณาคดีสำหรับพยานที่เป็นเด็กเป็นการเฉพาะต่างจากพยานบุคคลทั่วไป โดยอยู่ในกำหนดหลักการว่าในการสืบพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี ศาลต้องจัดให้พยานอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก โดยในการถามนั้นศาลจะเป็นผู้ถามพยานเอง หรือถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ หรือจะให้คู่ความถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ก็ได้ ผลของกฎหมายดังกล่าวทำให้กระบวนการยุติธรรมสามารถได้ข้อเท็จจริงจากพยานที่เป็นเด็กมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อมีวิธีการถามความผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กและความเชี่ยวชาญในการซักถามเด็ก จะเป็นผลให้พยานที่เป็นเด็กสามารถให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องสมบูรณ์ กรณีจึงมีน้ำหนักให้น่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 เบิกความไปตามความจริง นอกจากนี้พยานโจทก์ปากนาง ส. และผู้เสียหายที่ 2 ยังให้การยืนยันข้อเท็จจริงสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตลอด ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักควรค่าแก่การรับฟังยิ่งขึ้น ทั้งข้อเท็จจริงดังกล่าวยังเจือสมกับที่จำเลยได้ให้การไว้ต่อร้อยตำรวจเอก ส. ในชั้นสอบสวน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2562 หลังเกิดเหตุเพียงสองวัน ใจความว่า วันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุ หลังจากจำเลยทานข้าวเที่ยงเสร็จ จำเลยเดินไปที่เปลใกล้หน้าบ้านผู้เสียหายที่ 1 ขณะที่จำเลยกำลังสูบบุหรี่ ผู้เสียหายที่ 1 เดินมาหาจำเลย บอกจำเลยว่าอยากดูการ์ตูน หลังจากจำเลยสูบบุหรี่เสร็จ จำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยแล้วพาเข้าไปนั่งดูโทรทัศน์ที่เตียงนอนของจำเลย ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 เข้ามานั่งติดกับจำเลย จำเลยจึงโอบตัวเข้ามากอดโดยมือของจำเลยไปถูกนมผู้เสียหายที่ 1 จึงเล่นกับผู้เสียหายที่ 1 สมมุติว่าจำเลยเป็นลูกผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยขอดูดนมผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 ยินยอม เมื่อร้อยตำรวจเอก ส. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติงานไปตามหน้าที่ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและไม่มีเหตุที่จะเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องรับโทษ คำเบิกความของร้อยตำรวจเอก ส. ที่ยืนยันว่าจำเลยให้การไว้ตามเอกสารหมาย จ.12 โดยพยานได้อ่านบันทึกคำให้การดังกล่าวให้จำเลยฟังแล้วจำเลยลงลายมือชื่อไว้ ขณะสอบคำให้การ นาง ด. ภริยาของจำเลยได้อยู่ร่วมฟังด้วยและลงลายมือชื่อไว้ จึงมีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อว่าจำเลยให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจตามความเป็นจริง แม้จำเลยจะเบิกความว่า ในวันที่ 23 ธันวาคม 2562 ไม่มีการสอบปากคำจำเลยหรืออ่านข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคดีนี้ให้จำเลยฟัง ทำนองว่าจำเลยไม่ได้ให้การถึงเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.12 ด้วยความสมัครใจ แต่จำเลยก็เบิกความรับว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.12 เป็นลายมือชื่อของจำเลย ทั้งยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บันทึกคำให้การมีลายมือชื่อนาง ด. อยู่ด้วย ความข้อนี้นาง ด. พยานจำเลยเองก็เบิกความรับว่า ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจสอบถามและพูดคุยข้อเท็จจริงกับจำเลยเกี่ยวกับกรณีที่จำเลยไปกระทำการบางอย่างกับผู้เสียหายที่ 1 นั้น พยานนั่งอยู่ด้วย เพียงแต่อ้างว่าได้ยินเพียงจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดโดยไม่ได้ให้รายละเอียดอื่น ๆ เท่านั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ประกอบกับนาง ด. เป็นภริยาของจำเลยอาจเบิกความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยผู้เป็นสามีก็เป็นได้ คดีนี้แม้โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีอายุเพียง 8 ปีเศษ เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 1 เบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมาอย่างละเอียด โดยไม่มีเหตุระแวงว่าถูกเสี้ยมสอนให้มาเบิกความเพื่อปรักปรำใส่ร้ายจำเลย ทั้งเรื่องราวหลังเกิดเหตุอันเป็นพฤติการณ์แวดล้อมยังเชื่อมโยงกันดีกับพยานอื่น ทำให้มีเหตุผลเชื่อได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงดังที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความ ที่จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างว่าวันเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 มาดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลย นาง ด. ก็อยู่ที่บ้านและเห็นเหตุการณ์โดยตลอดนั้น กลับได้ความจากนาง ด. ว่าเห็นผู้เสียหายที่ 1 มาดูโทรทัศน์ที่บ้านในช่วงที่ตนกำลังเตรียมอาหาร อันเป็นช่วงเวลาก่อนที่นาง ด. จะรับประทานอาหารกลางวันกับจำเลยเท่านั้น ขณะที่คำเบิกความของจำเลย นาง ส. และคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 ปรากฏข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกันว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยสองช่วงเวลา คือช่วงเช้าก่อนที่นาง ด.จะรับประทานอาหารกลางวันกับจำเลย และช่วงบ่ายหลังจากที่นาง ด. รับประทานอาหารกลางวันกับจำเลยเสร็จแล้ว โดยช่วงเวลาที่ผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันว่าจำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหายที่ 1 เป็นช่วงบ่าย ประกอบกับนาง ส. เองก็เบิกความว่า ก่อนที่ผู้เสียหายที่ 1 จะไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยในช่วงบ่าย จำเลยบอกว่านาง ด. ไม่อยู่บ้าน ทั้งผู้เสียหายที่ 1 ยังเบิกความยืนยันว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุนอกจากจำเลยแล้วไม่มีผู้ใดอยู่ที่บ้านของจำเลย คำเบิกความของนาง ด. จึงหาได้สนับสนุนให้พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักมากขึ้นแต่อย่างใด สำหรับผลการตรวจพิสูจน์นั้น แม้ตามรายงานการตรวจพิสูจน์จะพบคราบอสุจิติดอยู่ที่กางเกงที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมใส่ ซึ่งมีดีเอ็นเอบุคคลอื่นที่แตกต่างจากดีเอ็นเอของจำเลยก็ตาม แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็เบิกความว่าเป็นเพราะหลังเกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายที่ 1 กลับถึงบ้านได้เปลี่ยนไปสวมกางเกงตัวใหม่ก่อนจะเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล กางเกงของกลางที่นำไปตรวจพิสูจน์เป็นคนละตัวกับกางเกงที่ผู้เสียหายที่ 1 สวมใส่ในขณะเกิดเหตุ ทั้งการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวก็เป็นเพียงความเห็นของผู้ทำการตรวจพิสูจน์หลักฐานเท่านั้น ประการสำคัญ การกระทำอนาจารตามฟ้องและทางนำสืบคือการกระทำที่จำเลยดูดนมผู้เสียหายที่ 1 และใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 ดังนี้ ลำพังผลการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมที่ไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยที่กางเกงของผู้เสียหายที่ 1 จึงยังไม่ถึงขนาดเป็นข้อพิรุธอันจะทำให้คำยืนยันของผู้เสียหายที่ 1 ไม่เป็นความจริงและไม่น่าเชื่อถือ และไม่อาจเป็นข้อพิสูจน์ถึงกับจะทำให้คำเบิกความพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ อันจะเป็นเหตุให้พยานหลักฐานของโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศซึ่งถือเป็นการกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 จริงหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาต่างเชื่อมโยงสนับสนุนให้สอดคล้องต้องกันปราศจากข้อพิรุธ มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 จริง สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร และฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร แม้ได้ความจากนาง ส. เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อจำเลยมาชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ ผู้เสียหายที่ 1 ถามพยานว่าให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปหรือไม่ ตอนแรกพยานไม่ยอมให้ไป เมื่อผู้เสียหายที่ 1 รบเร้าพยานจึงอนุญาต แต่การอนุญาตดังกล่าวก็เป็นการอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น มิใช่อนุญาตให้ไปกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านของจำเลยและกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 ดังวินิจฉัย พฤติการณ์ของจำเลยจึงบ่งชี้แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาพาผู้เสียหายที่ 1 จากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าเป็นการพาไปหรือแยกผู้เสียหายที่ 1 ออกจากการปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้การปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 2 ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือนโดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ยินยอมด้วย อันเป็นการล่วงละเมิดอำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และเป็นการพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปจากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องมา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น สำหรับการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ย่อมเป็นการทำละเมิด จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นผู้เสียหายด้วย ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลแห่งคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่ในส่วนของดอกเบี้ยผิดนัดนั้น หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ได้มีประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนซึ่งเป็นหนี้เงินที่ถึงกำหนดชำระตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งปัญหาการกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดดอกเบี้ยเพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 พิพากษากลับเป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่สำหรับดอกเบี้ยในต้นเงินค่าสินไหมทดแทน ให้จำเลยชำระอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้อง (ยื่นคำร้องวันที่ 23 มีนาคม 2563) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง หากกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกาปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ |