

ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ-ป้องกันเกินกว่าเหตุ ป้องกันพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิด หรือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8079/2549 จำเลยและผู้เสียหายมีสาเหตุขุ่นข้องหมองใจกันจนต่างฝ่ายต่างหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะมาทำร้ายตน ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ผู้เสียหายเรียกชื่อจำเลยและชักอาวุธปืนออกมาจากเอว วิญญูชนเช่นจำเลยย่อมเข้าใจได้ว่าผู้เสียหายจะใช้อาวุธปืนนั้นยิงจำเลย ถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงตาม ป.อ. มาตรา 68 แล้ว การที่จำเลยหยิบอาวุธมีดพร้าที่วางอยู่พื้นถนนซึ่งเป็นของบุคคลอื่นฟันทำร้ายผู้เสียหายไปเพียงครั้งเดียวแล้ววิ่งหลบหนีไป จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่มีความผิด โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 33 ริบมีดปลายแหลมของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คืนของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 10 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบมีดปลายแหลมของกลาง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธมีดพร้าของกลางฟันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส นิ้วก้อยมือข้างซ้ายขาด และบริเวณข้อมือขวามีบาดแผลฉีกขาดรายละเอียดปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ ผู้เสียหายใช้อาวุธปืนสั้นยิงจำเลย ทำให้จำเลยมีบาดแผลกระสุนเข้าและออกที่ขาขวา กับบาดแผลที่อกด้านซ้ายมีกระสุนฝังในผนังทรวงอก รายละเอียดปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบว่า วันเกิดเหตุผู้เสียหายเรียกชื่อจำเลยและชักอาวุธปืนออกจากเอวจำเลยจึงคว้าอาวุธมีดพร้าของกลางซึ่งเป็นของชาวบ้านที่วางอยู่ที่พื้นถนนฟันไปที่ผู้เสียหาย 1 ครั้ง แล้วหลบหนีไป เมื่อจำเลยและผู้เสียหายมีสาเหตุขุ่นข้องหมองใจกันจนแต่ละฝ่ายต่างหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะมาทำร้ายตน ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ผู้เสียหายเรียกชื่อจำเลยพร้อมชักอาวุธปืนออกมานั้น วิญญูชนเช่นจำเลยย่อมเข้าใจได้ว่าผู้เสียหายจะใช้อาวุธปืนนั้นยิงจำเลยนั่นเอง ถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แล้ว ดังนั้น การที่จำเลยหยิบอาวุธมีดพร้าของกลางที่วางอยู่ที่พื้นถนน ซึ่งเป็นของบุคคลอื่นฟันทำร้ายผู้เสียหายไปเพียงครั้งเดียวแล้ววิ่งหลบหนีไป จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่มีความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น อนึ่ง มีดปลายแหลมของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดหรือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องคืนของกลางแก่เจ้าของ.
จำเลยกับผู้ตายอยู่บ้านหลังเดียวกัน วันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายร่วมวงดื่มสุรากัน ผู้ตายเมาสุรา จึงมีผู้แยกผู้ตายไป ต่อมาผู้ตายกลับมาอีกถือมีดทำครัวเข้ามาในห้องจำเลยในลักษณะจะใช้มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตนเองได้แต่ผู้ตายมีเพียงมีดทำครัว การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายถึง 5 นัด จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการที่จำต้องทำเพื่อป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 69 จำคุก 6 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี ของกลางริบ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุผู้ตายถูกกระสุนปืนถึงแก่ความตายรายละเอียดของบาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษหรือไม่ ในเบื้องต้นข้อที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยยิงผู้ตายหรือผู้ตายถูกกระสุนปืนเพราะอุบัติเหตุโจทก์มีพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความ 3 ปาก คือ นางสุริยารักษาทัพ ซึ่งอยู่กินเป็นสามีภริยากับผู้ตายแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส นายพายัพ ภูมิประเสริฐ ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายใดและนางพรพรรณ ปะกู ภริยาของจำเลย นางสุริยาเบิกความว่าจำเลยยิงผู้ตาย 5 นัด ส่วนนายพายัพและนางพรพรรณเบิกความว่าจำเลยกับผู้ตายกอดปล้ำกันและมีเสียงปืนดังขึ้น แต่จะกี่นัดจำไม่ได้ปรากฏตามรายงานการตรวจศพท้ายฟ้องที่จดแจ้งว่าเป็นแผลถูกยิงจำนวน5 นัด เห็นว่า ผู้ตายถูกกระสุนปืนถึง 5 นัด นับว่าเป็นจำนวนมากยากที่จะเชื่อได้ว่าเกิดจากปืนลั่นเนื่องจากผู้ตายกับจำเลยกอดปล้ำกัน และได้ความว่าเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนี เพิ่งเข้ามอบตัวหลังเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน ซึ่งถ้าผู้ตายถูกกระสุนปืนเนื่องจากจำเลยกับผู้ตายกอดปล้ำกัน เพราะเหตุที่ผู้ตายถือมีดจะเข้าไปฟันทำร้ายร่างกายจำเลยแล้ว จำเลยไม่น่าจะหลบหนี นอกจากนั้นพันตำรวจโทสวง มีแทน สารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมากซึ่งร่วมสอบสวนคดีนี้ด้วยเบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่าจำเลยยิงผู้ตาย ดังนั้นจึงเชื่อว่า กระสุนปืนที่ถูกผู้ตายจนถึงแก่ความตายนั้นเกิดจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิง หาใช่เกิดจากจำเลยกับผู้ตายกอดปล้ำกันแล้วปืนลั่นถูกผู้ตายไม่ ข้อที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยยิงผู้ตาย เพราะเป็นการป้องกันตัวหรือไม่นางสุริยาเบิกความว่า จำเลยชกต่อยกับผู้ตาย บุตรสาวของพยานเข้ามาฉุดแขนผู้ตายออกไป จำเลยเรียกนายพายัพให้มาดื่มสุรากันต่อนายพายัพจึงออกมานั่งที่ม้ายาวซึ่งนั่งดื่มสุรากันแต่เดิมผู้ตายเดินเข้าไปหาจำเลยและยกมือไหว้จำเลย จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะผู้ตายจนศีรษะแตก ผู้ตายเดินขึ้นไปชั้นบนไปที่ห้องหยิบมีดซึ่งใช้ผ่าฟืนลงมาถึงหน้าห้องจำเลย และใช้มีดขว้างใส่จำเลยซึ่งขณะนั้นนั่งอยู่หน้าห้อง แต่ไม่ถูกจำเลย จำเลยใช้ปืนยิงสวนมา1 นัด ถูกผู้ตายที่หัวไหล่ ยิงอีก 1 นัด ถูกที่หน้าอก ผู้ตายล้มลงจำเลยถอยหลังไปเล็กน้อย และยิงอีก 3 นัด นายพายัพเบิกความว่าผู้ตายเมาสุรา พูดซ้ำซากให้พยานต่อยหน้าผู้ตาย และหยิบขวดเป๊ปซี่ขึ้นเงื้อจะตีศีรษะพยาน จำเลยจับมือไว้และแย่งขวดมาได้ จำเลยอุ้มผู้ตายว่าจะเอาไปส่งบ้าน ผู้ตายดิ้นรนไม่ยอมไป จำเลยจึงให้เด็กไปเรียกนางสุริยาภริยาผู้ตายมา นางสุริยาได้ลากผู้ตายออกไป พยานกับจำเลยนั่งดื่มสุรากันต่อ ต่อมาขณะที่จำเลยกำลังเก็บขวดและแก้วเข้าไปไว้ในห้อง ผู้ตายเดินเอามือไพล่หลังเข้าไปในห้องจำเลย ต่อมาได้ยินเสียงปลุกปล้ำกัน พยานลุกขึ้นมองดูทางหน้าต่างเห็นผู้ตายกับจำเลยกอดปล้ำแย่งปืนกัน และมีเสียงปืนดังขึ้น พยานเข้าไปดูในห้องพบผู้ตายนอนจมกองโลหิตอยู่ และนางพรพรรณเบิกความว่าขณะที่จำเลยผู้ตายและนายพายัพกำลังดื่มสุราอยู่นอกห้องนั้นพยานอยู่ในห้องได้ยินผู้ตายร้องเอะอะโวยวายมีปากเสียงกับนายพายัพ ได้ยินเสียงจำเลยห้าม ผู้ตายไม่ยอมหยุด จำเลยจึงเรียกหลายชายของจำเลยให้ไปตามภริยาผู้ตายมาเอาผู้ตายกลับไปบ้านเมื่อภริยาผู้ตายเอาผู้ตายกลับไปประมาณ 10-20 นาทีแล้ว ผู้ตายก็กลับมาอีก ขณะนั้นจำเลยกับพยานอยู่ในห้อง ผู้ตายผลักประตูเข้ามาผู้ตายถืออะไรไม่ทราบแนบอยู่ข้างตัว จำเลยผลักพยานให้หลบไปผู้ตายกอดปล้ำกับจำเลย ต่อจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น คำเบิกความของพยานปากนี้ตรงกันกับคำเบิกความของนายพายัพ แต่คำเบิกความของพยานทั้งสองขัดกับคำเบิกความของนางสุริยา โดยตามคำเบิกความของนางสุริยาจับใจความได้ว่า เหตุเกิดนอกห้อง แต่ตามคำเบิกความของนายพายัพและนางพรพรรณ ยืนยันว่าเหตุเกิดในห้อง เห็นว่านายพายัพไม่เกี่ยวข้องกับคู่ความฝ่ายใดถือได้ว่าเป็นพยานคนกลางคำเบิกความของพยานจึงมีน้ำหนัก และตามคำเบิกความของพันตำรวจโทสวงว่า สาเหตุแห่งการตายเกิดจากการที่ผู้ตายถือมีดปังตอเข้าไปบ้านของจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงตาย มีดดังกล่าวพบในที่เกิดเหตุนอกจากมีดแล้วยังพบปลอกอาวุธปืนในที่เกิดเหตุกับมีกองโลหิตบนเสื่อน้ำมัน ซึ่งปูอยู่ในห้องจำเลยด้วย ศาลฎีกาเชื่อว่าเหตุเกิดในห้องของจำเลย และเชื่อว่าผู้ตายถือมีดเข้าไปหาจำเลยจริงกับได้ความจากคำเบิกความของนายพายัพและนางพรพรรณว่า ขณะที่ผู้ตายถูกพาตัวออกไปก่อนเกิดเหตุนั้น ผู้ตายพูดว่าเดี๋ยวจะเอาปืนมายิง เห็นว่า การที่ผู้ตายถือมีดบุกรุกเข้าไปในห้องจำเลยในลักษณะที่จะใช้มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย และได้ความว่าผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย นับว่าการกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลยซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดพอสมควรแก่เหตุเพื่อป้องกันตนเองได้ ข้อที่จะต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายก็คือว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันหรือไม่ เห็นว่าถึงแม้ผู้ตายจะมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยก็ตาม แต่ผู้ตายก็มีมีดซึ่งได้ความแน่ชัดว่าเป็นเพียงมีดใช้ทำครัวเท่านั้น ดังนั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพในการทำลายร้ายแรงยิงผู้ตายถึง5 นัด นับว่าเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยกระทำเพื่อป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันชอบแล้วที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนมีดของกลางยังมิได้ใช้กระทำความผิด จึงไม่ริบ" พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 6 ปี จำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปีอาวุธปืนและหัวกระสุนปืนของกลางให้ริบ ส่วนมีดของกลางให้คืนเจ้าของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4500/2531 ผู้ตายเตะต่อยและใช้ขวดตีจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้ขวดตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่ผู้ตายเมาสุราและเข้าไปทำร้ายจำเลยก่อนจำเลยก็ชอบที่จะป้องกันได้ตามกฎหมาย แต่เนื่องจากจำเลยทราบอยู่แล้วว่าผู้ตายชอบด่าและทำร้ายคนในบ้าน ทั้งผู้ตายมีอายุมากและยังเมาสุรา จำเลยอาจกระทำการใดเพื่อป้องกันโดยไม่จำต้องรุนแรงจนถึงกับเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายก็ได้ การที่จำเลยใช้ขวดตีผู้ตายตรงบริเวณที่สำคัญของร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ โจทก์ฟ้องว่าขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ประกอบด้วย มาตรา 69 จำคุก 3 ปีจำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยตีผู้ตายหรือไม่ และจำเลยป้องกันตัวเกินกว่าเหตุหรือไม่นั้น โจทก์มีนางหล้า งามสุด เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายด่านางประเสริฐบุตร แล้วบ่นต่อไปอีกเรื่อย ๆ ต่อมาพยานได้ยินเสียงผู้ตายว่าไอ้เชียรมึงให้ควยกูหรือแล้วผู้ตายเดินไปที่ครัวทันใดนั้นพยานได้ยินเสียงโครมครามที่ครัว พยานรู้สึกกลัวจึงวิ่งลงจากบ้านไปหลบอยู่ใต้ถุน เพราะเคยถูกผู้ตายตบตีบ่อย ๆสักพักหนึ่งได้ยินเสียงขวดแตก แล้วได้ยินเสียงผู้ตายร้องโอ๊ยและพูดว่ามึงทำกูได้ เมื่อเสียงผู้ตายเงียบ พยานเดินไปที่ครัวพบจำเลยเดินลงจากครัวออกจากบ้านไป ส่วนจำเลยต่อสู้ว่าผู้ตายเตะต่อยจำเลยและใช้ขวดตีจำเลยเฉียดศีรษะ จำเลยจึงจับขวดไว้และยื้อแย่งขวดกัน ขวดตกลงไปแตก ผู้ตายเสียหลักล้มลงเห็นว่าในขณะเกิดเหตุคงมีผู้ตายกับจำเลยอยู่ด้วยกันเพียง 2 คนนางหล้าเป็นภรรยาผู้ตายและเป็นแม่ยายของจำเลย และเคยถูกผู้ตายทำร้ายเสมอเวลาเมาสุรา น่าเชื่อว่านางหล้าเบิกความไปตามจริงและจากบาดแผลที่ผู้ตายได้รับนั้น นายแพทย์มานะ จันทรชาติเบิกความยืนยันว่าบาดแผลที่ท้ายทอยเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เมื่อพิจารณาถึงที่เกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย ป.จ.5จะเห็นได้ว่าตรงที่ผู้ตายล้มลงนอนตายนั้นเป็นพื้นกระดาน หากผู้ตายเสียหลักล้มลงตามที่จำเลยต่อสู้บาดแผลจะไม่เกิดที่ท้ายทอยเมื่อนำคำเบิกความของนางหล้าที่เบิกความว่าได้ยินเสียงผู้ตายร้องโอ๊ยและพูดว่ามึงทำกูได้มาประกอบแล้ว พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่า จำเลยใช้ขวดตีผู้ตายที่ท้ายทอยจริงข้อต่อสู้ของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ ในปัญหาว่าจำเลยกระทำโดยป้องกันเกินกว่าเหตุหรือไม่นั้น ได้ความว่าผู้ตายเข้าไปหาจำเลยซึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในครัว และมีเสียงโครมคราม จำเลยนำสืบว่าผู้ตายเตะต่อยจำเลยแล้วใช้ขวดตีจำเลยก่อน เห็นว่าโจทก์ไม่มีพยาน เห็นว่าจำเลยตีผู้ตายเพียงฝ่ายเดียว ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าผู้ตายเตะต่อยและใช้ขวดตีจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้ขวดตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่ผู้ตายเมาสุราและเข้าไปทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยก็ชอบที่จะป้องกันได้ตามกฎหมาย แต่เนื่องจากจำเลยทราบอยู่แล้วว่าผู้ตายชอบด่าและทำร้ายคนในบ้าน ทั้งผู้ตายมีอายุมากและยังเมาสุรา จำเลยอาจกระทำการใดเพื่อป้องกันโดยไม่จำต้องรุนแรงจนถึงกับเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายก็ได้ การที่จำเลยใช้ขวดตีผู้ตายตรงบริเวณที่สำคัญของร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ และโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมานั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อ กฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควร แก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้น ไม่มีความผิด มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายาม กระทำความผิด มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี มาตรา 289 ผู้ใด |