
| คดีบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายและอาวุธ,มาตรา 364, (ฎีกา 5613/2550)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความผิดฐานบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายและมีอาวุธ เมื่อจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชกต่อยผู้เสียหายแล้ววิ่งตามเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย แม้ออกไปทันทีเมื่อถูกขับไล่ แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันสมควร ถือว่าเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 และ 365 (1)(2) จึงพิพากษากลับคำตัดสินศาลล่าง
ข้อเท็จจริงของคดี • จำเลยที่ 1 และ 4 เข้าทำร้ายร่างกายนายนาวี บุตรของผู้เสียหายที่หน้าบ้าน • จำเลยที่ 2 และ 3 ถืออาวุธมีดเข้าไปช่วย • เมื่อนายนาวีวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน จำเลยทั้งสี่ก็วิ่งตามเข้าไปโดยมีเจตนาจะทำร้ายต่อ • ผู้เสียหายซึ่งเป็นมารดาได้ขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกจากบ้าน จำเลยทั้งสี่จึงออกไปทันที
คำวินิจฉัยของศาล • ศาลชั้นต้น: ยกฟ้อง เห็นว่าไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานบุกรุก • ศาลอุทธรณ์ภาค 3: พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น • ศาลฎีกา: เห็นว่าการกระทำเป็นการบุกรุกบ้านโดยใช้กำลัง มีอาวุธ และกระทำโดยร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป จึงเข้าองค์ประกอบความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365(1)(2), 83 • ลงโทษปรับจำเลยทั้งสี่คนละ 2,000 บาท
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. การบุกรุกเคหสถาน o แม้การกระทำเกิดขึ้นต่อเนื่องจากการชกต่อยนอกบ้าน แต่เมื่อจำเลยทั้งสี่ตามเข้าไปในบ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร ถือเป็นการบุกรุกโดยชัดเจน o ศาลฎีกาย้ำว่า “การบุกรุก” ไม่จำเป็นต้องอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน เพียงแค่เข้าไปโดยมิชอบก็เพียงพอแล้ว 2. การใช้กำลังประทุษร้ายและมีอาวุธ o การที่จำเลยมีอาวุธมีดและใช้กำลังชกต่อย เป็นเหตุให้ความผิดร้ายแรงขึ้นตาม มาตรา 365 (1)(2) 3. การร่วมกันกระทำความผิด o จำเลยมีพฤติการณ์ร่วมกันเป็นกลุ่ม จึงต้องรับผิดในฐานะตัวการร่วมตาม มาตรา 83
IRAC Analysis Issue (ประเด็น): จำเลยทั้งสี่เข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยมีเจตนาจะทำร้าย ถือเป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ Rule (กฎหมาย): มาตรา 364 กำหนดความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน และมาตรา 365 (1)(2) บัญญัติว่าหากบุกรุกโดยใช้กำลังหรือมีอาวุธ หรือร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โทษจะร้ายแรงขึ้น Application (การประยุกต์): จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายและวิ่งตามเข้าไปในบ้านโดยมีอาวุธ แม้จะออกไปเมื่อถูกขับไล่ แต่การกระทำก็เป็นการบุกรุกเข้าองค์ประกอบตามมาตรา 364, 365 และต้องรับผิดร่วมกันตามมาตรา 83 Conclusion (ข้อสรุป): ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานบุกรุกโดยมีอาวุธและร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ปรับคนละ 2,000 บาท
ข้อคิดทางกฎหมาย • การบุกรุกไม่จำเป็นต้องครอบครองหรือรบกวนบ้านนาน เพียงแค่ก้าวเข้าไปโดยไม่มีสิทธิก็เป็นความผิดแล้ว • หากมีอาวุธหรือใช้กำลัง ความผิดจะร้ายแรงขึ้นทันที • การกระทำร่วมกันของหลายคนทำให้ความผิดหนักขึ้นตามกฎหมายอาญา • แนวคำพิพากษานี้ช่วยยืนยันว่าศาลใช้หลักตีความเข้มงวดเพื่อคุ้มครองสิทธิในเคหสถานของบุคคล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5613/2550 จำเลยที่ 1 และที่ 4 เข้าไปชกต่อย น. บริเวณแคร่หน้าบ้านของ ล. ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นมารดาของ น. จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งมีอาวุธมีดเข้าไปช่วยจำเลยที่ 1 และที่ 4 น. วิ่งเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย จำเลยทั้งสี่วิ่งตามเข้าไปโดยมีเจตนาทำร้าย น. แม้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องจากการที่จำเลยทั้งสี่ทำร้าย น. มาก่อน แต่เมื่อผู้เสียหายไล่ให้จำเลยทั้งสี่ออกจากบ้าน จำเลยทั้งสี่ก็ออกจากบ้านทันที จะถือว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขยังไม่ได้ แต่ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปในบ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป จึงมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 และมาตรา 365 (1) (2)
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2544 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสี่ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานของนางลัดดา แสงสา ผู้เสียหาย โดยไม่มีเหตุอันสมควร และโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายร้ายชกต่อยต่อนายนาวี ยุวบุตร โดยมีอาวุธมีดไม่ทราบขนาด 4 เล่ม ติดตัวไปด้วย อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข โดยใช้กำลังประทุษร้าย มีอาวุธ และร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365, 83 จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า ตามวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุในฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 4 เข้าไปชกต่อนายนาวี ยุวบุตร บริเวณแคร่หน้าบ้านของนางลัดดา แสงสา ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นมารดาของนายนาวี จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งมีอาวุธมีดเข้าไปช่วยจำเลยที่ 1 และที่ 4 นายนาวีวิ่งเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย จำเลยทั้งสี่วิ่งตามเข้าไปชกต่อนายนาวี ผู้เสียหายไล่ให้นายนาวีและจำเลยทั้งสี่ออกไปชกต่อยกันนอกบ้าน จำเลยทั้งสี่ออกจากบ้านของผู้เสียหายไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสี่เข้าไปในบ้านของผู้เสียหายเป็นการเข้าไปโดยมีเจตนาทำร้ายนายนาวี แม้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องจากการที่จำเลยทั้งสี่ทำร้ายนายนาวีมาก่อน แต่เมื่อผู้เสียหายไล่ให้จำเลยทั้งสี่ออกจากบ้าน จำเลยทั้งสี่ก็ออกจากบ้านทันที อันจะถือว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุขยังไม่ได้ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสี่ถือได้ว่าเป็นการเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เข้าองค์ประกอบแห่งความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364 และมาตรา 365 (1) (2) แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า จำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดฐานบุกรุกนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น? พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (1) (2) ประกอบมาตรา 364, 83 ปรับคนละ 2,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม |



.jpg)

.jpg)