ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คดีอั้งยี่พนันออนไลน์ & ฟ้องครบองค์ประกอบ (ฎีกา 980/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 980/2567, คดีร่วมกันเป็นอั้งยี่พนันออนไลน์, ฟ้องครบองค์ประกอบไม่คลุมเครือ, การพนันออนไลน์ไม่ได้รับอนุญาต, เว็บไซต์พนันบอล บาคาร่า สล็อต, บทลงโทษมาตรา 209 213 ประมวลกฎหมายอาญา, พ.ร.บ.การพนัน มาตรา 4 ทวิ มาตรา 12(2), รับสารภาพลดโทษมาตรา 78, การบวกโทษคดีเก่า, การฟ้องความผิดหลายบทกฎหมาย, แนวคำพิพากษาอั้งยี่และการพนันออนไลน์, การโฆษณาชักชวนให้เล่นพนัน, ศาลฎีกายืนยันฟ้องไม่เคลือบคลุม, วิเคราะห์สิทธิจำเลยในกระบวนการยุติธรรม

    ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีอั้งยี่และการพนันออนไลน์ โดยจำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันจัดให้มีการเล่นและชักชวนผ่านเว็บไซต์พนันบอล บาคาร่า และสล็อต โดยไม่มีใบอนุญาต ศาลพิจารณาว่าคำฟ้องของพนักงานอัยการได้บรรยายข้อเท็จจริงชัดเจน ครบองค์ประกอบความผิด ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งจำเลยรับสารภาพ จึงเป็นเหตุบรรเทาโทษ ศาลฎีกายืนยันคำพิพากษาศาลล่าง ลงโทษตามบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด

ข้อเท็จจริงของคดี

วันที่ 26 พฤษภาคม 2565 จำเลย 20 คนร่วมประชุมและดำเนินกิจกรรมเว็บไซต์พนันออนไลน์

เว็บไซต์มีข้อความเชิญชวนให้เล่นพนันบอล บาคาร่า สล็อตออนไลน์

จำเลยทำหน้าที่ชักชวนและเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้โดยไม่รับอนุญาต

การพนันดังกล่าวเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478

จำเลยรับสารภาพในชั้นพิจารณา

ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 1 ปี ลดเหลือ 6 เดือน และบวกโทษจำเลยที่ 10 อีก 1 เดือน

ศาลอุทธรณ์ลดโทษเหลือจำคุก 3 เดือน (บวกโทษจำเลยที่ 10 รวมเป็น 4 เดือน)

จำเลยฎีกา แต่ศาลฎีกาพิพากษายืน

✅ มาตรากฎหมายสำคัญที่สุดในคดีนี้

ประเด็นหลักของคดี:

ความสมบูรณ์ของคำฟ้องในความผิดฐาน "ร่วมเป็นอั้งยี่เพื่อทำเว็บพนันออนไลน์" และไม่ใช่ฟ้องเคลือบคลุม ตามหลักกฎหมาย

มาตราที่เกี่ยวข้องหลัก

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 — ความผิดฐานเป็นอั้งยี่

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 213 — ร่วมในการกระทำตามมติของอั้งยี่

พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 ทวิ และมาตรา 12(2) — ชักชวนหรือโฆษณาให้เล่นพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต

ป.วิ.อาญา มาตรา 158(5) — คำฟ้องต้องบรรยายข้อเท็จจริงให้จำเลยเข้าใจข้อหา

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และ 78 — ลงโทษบทหนัก และลดโทษเมื่อรับสารภาพ

สาระสำคัญคือ ศาลตีความว่าคำฟ้องที่ระบุพฤติการณ์ วันเวลา ลักษณะการทำผิด และเจตนา เพียงพอแล้วตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดทุกขั้นตอน เช่น วิธีสมัครเว็บพนันออนไลน์

✅ ประเด็นสำคัญที่สุดที่เป็นแก่นของคดีนี้ 

1) ฟ้องครบองค์ประกอบ

คำฟ้องบรรยายชัดเจน ระบุการรวมตัว เจตนา วันเวลา การชักชวนพนัน ศาลยืนยันว่าไม่ใช่ฟ้องเคลือบคลุม

2) อั้งยี่ออนไลน์

การรวมตัวกันในรูปแบบเครือข่ายออนไลน์เพื่อทำเว็บพนันเข้าข่ายอั้งยี่ แม้ไม่ได้ประชุมทางกายภาพตลอดเวลา

3) ชักชวนเล่นพนันออนไลน์

พฤติกรรมโฆษณา สมัครสมาชิก และชักชวนบนเว็บไซต์ถือเป็นการช่วยตั้งวงเล่นพนันผิดกฎหมาย

4) ไม่ต้องบรรยายรายละเอียดทุกขั้นตอน

คำฟ้องไม่จำเป็นต้องลงลึก เช่น วิธีสมัครเว็บหรือวิธีจ่ายเงิน เพราะประเด็นสำคัญคือ “รู้และร่วมกระทำผิด”

5) รับสารภาพลดโทษ

จำเลยรับสารภาพต่อศาล ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ลดโทษกึ่งหนึ่งตามหลักกฎหมาย

✅ สรุป

คดีนี้ย้ำหลักสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในยุคอาชญากรรมไซเบอร์ว่า

หากคำฟ้องระบุพฤติการณ์สำคัญครบถ้วน

จำเลยเข้าใจข้อกล่าวหา

และพฤติการณ์สอดคล้องกับการร่วมกระทำผิด

แม้ไม่ลงรายละเอียดเชิงเทคนิคทุกขั้นตอน ก็ถือว่าคำฟ้องสมบูรณ์ตามกฎหมาย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย

1. ฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดอั้งยี่หรือไม่

2. ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่

3. ศาลอุทธรณ์ลงโทษถูกต้องหรือไม่

คำวินิจฉัยศาลฎีกา 

คำฟ้องบรรยายชัด — ระบุพฤติการณ์ การชักชวน ช่องทางออนไลน์ วันเวลา และเจตนา

จำเลยทราบว่าการพนันออนไลน์ต้องได้รับอนุญาต

การไม่ระบุขั้นตอนสมัครสมาชิกละเอียดไม่เป็นสาระสำคัญขององค์ประกอบ

เมื่อจำเลยรับสารภาพ แสดงว่ารู้ข้อหาแล้ว ไม่ต้องบรรยายเพิ่ม

การฟ้องไม่เคลือบคลุม เพราะเข้าใจข้อหาได้ตามหลักมาตรา 158

บทลงโทษเลือกใช้มาตรา 209 ประกอบมาตรา 213 ซึ่งเป็นบทโทษหนักที่สุดตาม ม.90

ศาลอุทธรณ์พิพากษาถูกต้อง

พิพากษายืน

การวิเคราะห์กฎหมาย

มาตรา 209, 213 ประมวลกฎหมายอาญา: ความผิดฐานเป็นอั้งยี่

พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4 ทวิ, 12(2): ชักชวนให้เล่นพนัน ต้องได้รับอนุญาต

ป.วิ.อาญา มาตรา 158 (5): คำฟ้องต้องบรรยายชัดเจนเพียงพอให้จำเลยทราบข้อหา

มาตรา 78 ป.อาญา: รับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง

มาตรา 90 ป.อาญา: ลงโทษบทที่หนักที่สุดเมื่อความผิดหลายบท

ศาลถือหลักว่า หากคำฟ้องชี้พฤติการณ์ชัด และจำเลยเข้าใจข้อหา การไม่ลงรายละเอียดบางส่วนไม่ทำให้ฟ้องเสียรูป

วิเคราะห์เชิงลึก 

แนวโน้มคดีการพนันออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคดิจิทัล

ศาลให้ความสำคัญต่อการบรรยายฟ้องที่ทำให้จำเลยเข้าใจสิทธิการต่อสู้

การประชุมออนไลน์เพื่อก่อตั้งหรือกระทำความผิด สามารถเข้าข่าย “อั้งยี่” ได้

เป็นแนวทางชัดเจนต่อผู้บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์

IRAC Analysis

Issue / ประเด็นปัญหา

คำฟ้องโจทก์ในการกล่าวหาจำเลยทั้งยี่สิบฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่และชักชวนให้เล่นพนันออนไลน์ ถือว่าครบองค์ประกอบและไม่คลุมเครือหรือไม่

Rule / กฎหมายที่ใช้

มาตรา 209, 213 ป.อาญา (อั้งยี่)

พ.ร.บ.การพนัน มาตรา 4 ทวิ, 12(2)

ป.วิ.อาญา มาตรา 158(5) — ต้องบรรยายชัดเจนพอให้จำเลยเข้าใจ

มาตรา 78 และ 90 ป.อาญา — บรรเทาโทษและบทโทษสูงสุด

Application / การใช้กฎหมาย

คำฟ้องระบุวันเวลา พฤติการณ์ เว็บไซต์ ประเภทการพนัน และเจตนาชัดเจน จำเลยรับสารภาพ ยืนยันว่าเข้าใจข้อหา การไม่บรรยายรายละเอียดวิธีสมัครสมาชิกไม่กระทบองค์ประกอบความผิด

Conclusion / ข้อสรุป

คำฟ้องสมบูรณ์ ไม่คลุมเครือ ศาลอุทธรณ์ลงโทษถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษายืน

ข้อคิดทางกฎหมาย

คำฟ้องต้อง “ชัดเจนพอให้จำเลยเข้าใจข้อหา” ไม่จำเป็นต้องบรรยายทุกขั้นตอนละเอียด

กรณีอาชญากรรมออนไลน์ ศาลให้คำนึงถึงพฤติการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ

การรับสารภาพมีผลลดโทษ แต่ไม่ทำให้ข้อหาเบาลงในคดีความมั่นคงสาธารณะ

สรุป

คดีนี้ยืนยันหลักสำคัญของกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณา:

หากคำฟ้องบรรยายพฤติการณ์ชัด จำเลยเข้าใจข้อหา แม้ไม่ละเอียดทุกขั้นตอน ก็ถือว่าครบองค์ประกอบ

แนวคำพิพากษานี้จึงเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับคดีอั้งยี่-ออนไลน์ และคดีการพนันยุคดิจิทัล

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

✅ ประเด็นคำถามที่ 1

หากพนักงานอัยการฟ้องจำเลยจำนวนยี่สิบคนว่าร่วมกันเป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์ โดยร่วมกันประชุม กำหนดรูปแบบกิจกรรม และช่วยกันโฆษณาชักชวนผ่านเว็บไซต์ให้บุคคลทั่วไปเข้ามาเล่นพนันบอลออนไลน์ บาคาร่าออนไลน์ และสล็อตออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์บรรยายคำฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดและคลุมเครือ เนื่องจากไม่ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสมัคร วิธีการรับผลประโยชน์ หรือโครงสร้างการแบ่งหน้าที่ภายในกลุ่มโดยละเอียด โจทก์จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดในระดับดังกล่าวหรือไม่ และคำฟ้องลักษณะนี้ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ เพราะเหตุใดจึงวินิจฉัยเช่นนั้น

✅ คำตอบ

การพิจารณาว่าคำฟ้องครบองค์ประกอบและไม่เคลือบคลุม ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ซึ่งกำหนดว่าโจทก์ต้องบรรยายการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิดพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสังเขปเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้อย่างชัดเจนพอที่จะต่อสู้คดีได้

ในคดีนี้ พนักงานอัยการได้บรรยายว่าเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 จำเลยทั้งยี่สิบร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการ มีเจตนาร่วมกันจัดให้มีการพนันออนไลน์หลายประเภท ได้แก่ พนันบอลออนไลน์ บาคาราออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ โดยร่วมกันโฆษณาชักชวนทางเว็บไซต์ มีข้อความโปรโมชันเพื่อเชิญผู้เล่น และจำเลยร่วมเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังระบุวัน เวลา การกระทำ และเจตนาผิดกฎหมายชัดเจน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวเพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อกล่าวหาอย่างชัด ไม่จำเป็นต้องบรรยายวิธีสมัครสมาชิก ขั้นตอนเปิดบัญชี หรือรายละเอียดเชิงลึกทางเทคนิค เพราะรายละเอียดดังกล่าวเป็นเรื่องพยานหลักฐานในชั้นสืบพยาน มิใช่องค์ประกอบความผิด และที่สำคัญคือจำเลยยอมรับสารภาพ ย่อมแสดงว่าสามารถเข้าใจคำฟ้องได้แล้ว

ดังนั้น จึงไม่ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม และคำฟ้องถือว่าครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 และพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 โดยศาลยืนยันว่าคำฟ้องของอัยการชัดเจนเพียงพอและชอบด้วยกฎหมาย

✅ ประเด็นคำถามที่ 2

ในกรณีที่จำเลยยี่สิบรายถูกฟ้องว่าร่วมกันเป็นอั้งยี่และร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์โดยผิดกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ลงโทษตามบทกฎหมายที่กำหนดโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และจำเลยฎีกาต่อสู้ว่าสาระสำคัญของคดีนี้เกี่ยวกับความผิดหลายบทกฎหมายซึ่งไม่ได้เป็นประเภทเดียวกัน จึงไม่สามารถนำบทลงโทษหนักที่สุดมาใช้ลงโทษได้ การวินิจฉัยของศาลฎีกาเป็นประการใด และเหตุใดการลงโทษดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

✅ คำตอบ

หลักการลงโทษความผิดหลายบทกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 กำหนดว่า หากการกระทำเดียวเป็นความผิดหลายบท ต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด แต่ต้องเป็นความผิดในลักษณะเกี่ยวข้องกันตามข้อเท็จจริง

ในคดีนี้ จำเลยร่วมกันเป็นสมาชิกขององค์กรลับ (อั้งยี่) และกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของกลุ่มคือจัดให้มีการพนันออนไลน์โดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 209 และมาตรา 213 ประมวลกฎหมายอาญา รวมถึงมาตรา 4 ทวิ และมาตรา 12(2) แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามพระราชบัญญัติการพนันจะอยู่คนละบทกฎหมาย แต่พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการกระทำเดียวกัน มุ่งหมายเดียวกัน และเป็นการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมอันผิดกฎหมายภายในเครือข่ายที่จัดตั้งไว้ จึงเป็นความผิดที่เกิดจากพฤติการณ์ชุดเดียวแบบ "กรรมเดียวผิดหลายบท" สามารถนำบทลงโทษที่มีโทษหนักที่สุดมาลงโทษได้

ศาลเห็นว่าบทลงโทษตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญามีโทษหนักสุดจึงใช้บทดังกล่าวลงโทษ พร้อมให้ลดโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 3 ถือว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว

✨ สรุป

คำฟ้องไม่ต้องลงรายละเอียดถึงขั้นวิธีสมัครเว็บพนัน เพียงบรรยายพฤติการณ์ให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ก็พอ

การจัดตั้งเครือข่ายออนไลน์เพื่อการพนันเข้าข่ายอั้งยี่ และเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท ลงโทษบทหนักสุดได้

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 “ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคลนั้น ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท”  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 213 “ถ้าสมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรคนหนึ่งคนใดได้กระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น สมาชิกอั้งยี่หรือพรรคพวกซ่องโจรที่อยู่ด้วยในขณะกระทำความผิด หรืออยู่ด้วยในที่ประชุมแต่ไม่ได้คัดค้านในการตกลงให้กระทำความผิดนั้น และบรรดาหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้น ต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นทุกคน”  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 “เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ศาลจะลดโทษให้ไม่เกินกึ่งหนึ่งก็ได้ เหตุบรรเทาโทษอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้ให้ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ คือ ผู้กระทำความผิดให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา หรือได้แสดงความสำนึกในการกระทำความผิด หรือมีพฤติการณ์อื่นอันควรปรานี”  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 “เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด”  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) “ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี … (5) การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี”

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2567

สำหรับความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 เวลากลางวัน จำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายร่วมกันประชุมในที่ประชุมอั้งยี่และกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่ โดยร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซต์ http://www.biz99 โดยชักชวนผู้ที่ต้องการเล่นพนันบอลออนไลน์ บาการาออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ให้สมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ดังกล่าวด้วยข้อความประกาศที่หน้าเว็บไซต์ที่ว่า "เว็บไซต์ออนไลน์ แทงบอล บาการา สล็อต ฝาก ถอน ออโต 1 วิ มีโปรโมชั่น กิจกรรม เครดิตฟรี มากที่สุด" โดยบาการาออนไลน์ เป็นการพนันที่ระบุในบัญชี ก. หมายเลข 27 สล็อตออนไลน์เป็นการพนันที่ระบุในบัญชี ข. หมายเลข 28 และบอลออนไลน์ เป็นการพนันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 จำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันรับเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายและอยู่ด้วยในที่ประชุมขณะกระทำความผิด ไม่ได้คัดค้านในการกระทำความผิดนั้น ตามฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยทั้งยี่สิบรู้อยู่แล้วว่าคณะบุคคลที่ตนเป็นสมาชิกมีความมุ่งหมายเพื่อร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซต์สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นพนันบอลออนไลน์ บาการาออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ให้สมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ดังกล่าวโดยจำเลยทั้งยี่สิบต่างร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และทราบข้อกฎหมายซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปว่า บาการาออนไลน์ สล็อตออนไลน์ และบอลออนไลน์ ล้วนแต่เป็นการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานอันเป็นการกระทำที่มีความมุ่งหมายโดยเจตนาให้ผิดต่อกฎหมายอยู่ในตัวแล้ว โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายคำฟ้องว่าจำเลยทั้งยี่สิบรู้อยู่ก่อนแล้วโดยเจตนาว่าเป็นการเล่นพนันที่มิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายตามคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งยี่สิบได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยทั้งยี่สิบเข้าใจข้อหาได้ดี ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ. ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 แล้ว ส่วนการที่จำเลยทั้งยี่สิบยื่นใบสมัครต่อบุคคลใด ตั้งแต่เมื่อใด มิใช่องค์ประกอบความผิด และเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา แต่เมื่อจำเลยทั้งยี่สิบให้การรับสารภาพ ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งยี่สิบเข้าใจข้อหาตามคำฟ้องแล้วโจทก์หาจำต้องบรรยายมาในคำฟ้องไม่ คำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่แล้ว สำหรับการปกปิดวิธีการดำเนินการตามคำฟ้องก็เป็นเรื่องวิธีการหรือขั้นตอนในการกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอังยี่ส่วนการร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซต์ผู้ที่ต้องการเล่นการพนันออนไลน์ก็เป็นวิธีการหรือขั้นตอนอย่างหนี่งในการกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ด้วยเหมือนกัน หาได้ขัดแย้งและเป็นฟ้องเคลือบคลุมแต่อย่างใดไม่

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 4 ทวิ, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 83, 209, 211, 213 ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 10 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้

จำเลยทั้งยี่สิบให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 10 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งยี่สิบมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก, 211 ประกอบมาตรา 213, 83 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 ทวิ, 12 (2) การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก ประกอบมาตรา 213 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 83 ด้วย) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งยี่สิบให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 6 เดือน ให้นำโทษจำคุก 1 เดือน ของจำเลยที่ 10 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1431/2564 ของศาลแขวงพระนครเหนือ มาบวกกับโทษจำคุกของจำเลยที่ 10 ในคดีนี้ เป็นจำคุก 7 เดือน ริบของกลาง เนื่องจากศาลไม่ได้ลงโทษปรับ จึงไม่อาจให้จ่ายสินบนนำจับได้ ยกคำขอในส่วนนี้

จำเลยทั้งยี่สิบอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งยี่สิบคนละ 6 เดือน ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งยี่สิบคนละ 3 เดือน ให้นำโทษจำคุก 1 เดือน ของจำเลยที่ 10 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1431/2564 ของศาลแขวงพระนครเหนือ มาบวกกับโทษจำคุกของจำเลยที่ 10 ในคดีนี้ เป็นจำคุก 4 เดือน ไม่ริบของกลาง ให้คืนของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งยี่สิบฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งยี่สิบข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ และเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 เวลากลางวัน จำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายร่วมกันประชุมในที่ประชุมอั้งยี่และกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่ โดยร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนทางเว็บไซต์ โดยชักชวนผู้ที่ต้องการเล่นพนันบอลออนไลน์ บาการาออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ให้สมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ดังกล่าวด้วยข้อความประกาศที่หน้าเว็บไซต์ที่ว่า "เว็บไซต์ออนไลน์ แทงบอล บาการ่า สล็อต ฝาก ถอน ออโต 1 วิ มีโปรโมชั่น กิจกรรม เครดิตฟรี มากที่สุด" โดยบาการาออนไลน์ เป็นการพนันที่ระบุในบัญชี ก. หมายเลข 27 สล็อตออนไลน์ เป็นการพนันที่ระบุในบัญชี ข. หมายเลข 28 และบอลออนไลน์ เป็นการพนันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 จำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันรับเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และอยู่ด้วยในที่ประชุมขณะกระทำความผิดไม่ได้คัดค้านในการกระทำความผิดนั้น ตามฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยทั้งยี่สิบรู้อยู่แล้วว่าคณะบุคคลที่ตนเป็นสมาชิกมีความมุ่งหมายเพื่อร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซต์สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นพนันบอลออนไลน์ บาการาออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ให้สมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ดังกล่าวโดยจำเลยทั้งยี่สิบต่างร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และทราบข้อกฎหมายซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปว่าบาการาออนไลน์ สล็อตออนไลน์ และบอลออนไลน์ ล้วนแต่เป็นการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานอันเป็นการกระทำที่มีความมุ่งหมายโดยเจตนาให้ผิดต่อกฎหมายอยู่ในตัวแล้ว โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายคำฟ้องว่าจำเลยทั้งยี่สิบรู้อยู่ก่อนแล้วโดยเจตนาว่าเป็นการเล่นพนันที่มิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ตามคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งยี่สิบได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยทั้งยี่สิบเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 แล้ว ส่วนการที่จำเลยทั้งยี่สิบยื่นใบสมัครต่อบุคคลใด ตั้งแต่เมื่อใดมิใช่องค์ประกอบความผิด และเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา แต่เมื่อจำเลยทั้งยี่สิบให้การรับสารภาพ ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งยี่สิบเข้าใจข้อหาตามคำฟ้องแล้วโจทก์หาจำต้องบรรยายมาในคำฟ้องไม่ คำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่แล้ว สำหรับการปกปิดวิธีดำเนินการตามคำฟ้องก็เป็นเรื่องวิธีการหรือขั้นตอนในการกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ส่วนการร่วมกันจัดให้มีการเล่นช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซด์ผู้ที่ต้องการเล่นการพนันออนไลน์ก็เป็นวิธีการหรือขั้นตอนอย่างหนึ่งในการกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ด้วยเหมือนกันหาได้ขัดแย้งและเป็นฟ้องเคลือบคลุมดังที่จำเลยทั้งยี่สิบกล่าวอ้างมาในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งยี่สิบข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งยี่สิบข้อสุดท้ายมีว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ และฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก, 211 ประกอบมาตรา 213, 83 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 ทวิ, 12 (2) การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ประกอบมาตรา 213, 83 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นั้น การกระทำที่จะเป็นความผิดเกี่ยวกับบทกฎหมายเฉพาะและบทกฎหมายทั่วไปได้นั้น ต้องเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องประเภทเดียวกันและเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน แต่ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งยี่สิบในคดีนี้ไม่เป็นความผิดที่เกี่ยวข้องประเภทเดียวกันและไม่เป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบตามคำฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยทั้งยี่สิบกล่าวอ้างในฎีกานั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งยี่สิบข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษายืน

1. หลักกฎหมาย มาตรา 209

มาตรา 209 กำหนดความผิดฐาน “เป็นอั้งยี่” โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้

ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่ง ปกปิดวิธีดำเนินการ และมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย

วรรคหนึ่ง: คนทั่วไปเป็นสมาชิก → โทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

วรรคสอง: ถ้าเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคลนั้น → โทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท 

“ปกปิดวิธีดำเนินการ” หมายถึงกลุ่มนั้นมีวิธีการภายในที่ไม่เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก เช่น มีสัญลักษณ์ลับ มีการประชุมลับ หรือมีระบบสมาชิกโดยเฉพาะ

“มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย” หมายถึง กลุ่มนั้นตั้งขึ้นเพื่อกระทำการที่ผิดกฎหมาย หรือเพื่อการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นอาชญากรรมรุนแรงเท่านั้น 

การเป็นสมาชิกของคณะบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปก็อาจเข้าข่าย “คณะบุคคล” ตามมาตรา 209 ได้ 

กฎหมายนี้มุ่งหวังปกป้องความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยกำหนดโทษเมื่อบุคคลเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดการกระทำขั้นต่อไป (เช่น การลงมือ) ก็อาจถูกลงโทษได้แล้วหากองค์ประกอบครบ

2. ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างที่ 1: ฎีกาที่ 784/2557

ในคำพิพากษา ฎีกาที่ 784/2557 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตาม มาตรา 209 เป็นความผิด ทันที เมื่อผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดการดำเนินการตามกลุ่มนั้นแล้วจึงถือว่ามีความผิด 

ศาลเห็นว่า แม้จะมีความผิดหลายบทกฎหมาย แต่ฐาน “อั้งยี่” และ “ซ่องโจร” (มาตรา 210) มีลักษณะต่างกรรมต่างวาระกัน จึงไม่ถือเป็นความผิดเดียวกันในแง่บทลงโทษบทหนักสุด 

ตัวอย่างที่ 2: กรณีแจกใบปลิว/สมาชิกกลุ่มเครือข่าย (คดีตามข่าว)

ในกรณีที่ปรากฏข่าวว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลย 4 คน กระทำผิดฐานเป็นอั้งยี่ตาม มาตรา 209 จำคุกคนละ 3 ปี โดยจำเลยบางคนรับสารภาพลดโทษ เหลือ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา 

สรุปว่า ศาลจัดว่า การเข้าร่วมกลุ่มที่มีเจตนามุ่งทำผิด โดยแจกใบปลิว/สนับสนุนองค์กรลับ ก็เป็นการเป็นสมาชิก “คณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย” ตามมาตรา 209

3. ความสำคัญและการประยุกต์ใช้

มาตรา 209 ถือเป็นกฎหมายป้องปรามกลุ่มอั้งยี่/องค์กรลับที่ตั้งขึ้นเพื่อกระทำความผิด โดยโทษไม่รอให้เกิดการลงมือกระทำผิดจริง ก็สามารถเริ่มลงโทษได้เมื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิก

โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล/ออนไลน์ หากมีการรวมกลุ่มลับผ่านช่องทางออนไลน์ โฆษณา หรือชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิก ก็อาจเข้าข่ายมาตรา 209 (ซึ่งคล้ายกรณีคดี 980/2567 ที่คุณให้มา)

การยกตัวอย่างคำพิพากษาแสดงให้เห็นว่า ศาลวินิจฉัยในแนวว่า “การเป็นสมาชิก” และ “ความมุ่งหมาย” เป็นหัวใจ ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดการกระทำตามกลุ่ม

สำหรับผู้ศึกษากฎหมาย สำคัญที่ต้องแยกให้ได้ว่าเป็น “อั้งยี่” (มาตรา 209) หรือ “ซ่องโจร” (มาตรา 210) เพราะบทลงโทษและองค์ประกอบต่างกัน


 ท นาย อาสา ฟรี

 

•  คำพิพากษาศาลฎีกา 980/2567 •  ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ •  การพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย •  การฟ้องอั้งยี่และซ่องโจร •  กฎหมายอั้งยี่ มาตรา 209 และ 211 •  พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 •  ข้อบังคับคำฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)

 




เกี่ยวกับคดีอาญา

ขอคืนรถของกลาง & เงื่อนไขริบและคืน,ริบทรัพย์, เจ้าของทรัพย์, (ฎีกา 9090/2549)
คดีโฆษณาแอลกอฮอล์ & เครื่องหมายการค้า, โฆษณาผิดกฎหมาย, (ฎีกา 3139/2568)
คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว & การยกฟ้อง ตรวจสอบคุณภาพข้าว, (ฎีกา 3555/2568)
ลูกจ้างลักทรัพย์นายจ้าง & การบรรเทาโทษ,มาตรา 335, มาตรา 352, (ฎีกา 5658/2567)
คดีโฉนดมรดก & ป.อ. มาตรา 188, ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น, (ฎีกา 842/2568)
คดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ & ค่าเสียหายสิ่งแวดล้อม (ฎีกา 6009/2567)
คดีพยายามฆ่า, คดีบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย,(ฎีกา 2813/2568, )
คดีพยายามฆ่า & บุกรุกทำร้ายร่างกาย, บุกรุกเคหสถาน (ฎีกา 2813/2568)
คดีบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายและอาวุธ, ป.อ. มาตรา 364, (ฎีกาที่ 5613/2550)
คดีบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายและอาวุธ,มาตรา 364, (ฎีกา 5613/2550)
ฎีกา 1044/2568 – คดีฟอกเงิน & นับโทษจำคุกต่อ
(ฎีกาที่ 3710/2567): คดีพยายามฆ่า การวินิจฉัยเจตนาและข้อจำกัดในการยกฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4292/2567: การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและข้อจำกัดในการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4447/2567: คดีช่วยซ่อนเร้นสินค้านำเข้าไม่ผ่านพิธีการศุลกากรและภาษีสรรพสามิต ศาลฎีกายกฎีกาจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2567: ผู้เสียหายโดยตรงในคดีลักทรัพย์จากบัญชีเงินฝากและสิทธิฟ้องคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5492/2567: คดีพยายามฆ่าโดยใช้อาวุธปืน บุกรุกเคหสถานกลางคืน และการห้ามฎีกาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2567: คดีลักทรัพย์และการเพิ่มโทษตามมาตรา 93 พร้อมข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5796/2567 ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและหมิ่นประมาท — ศาลชี้ขาดเจตนากับการกระทำโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5854/2567: ริบรถยนต์ใช้ซ่อนเร้นบุหรี่เถื่อนตาม พ.ร.บ. ศุลกากร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5893/2567 ป้องกันเกินกว่าเหตุและสำคัญผิดจนยิงผู้อื่น ศาลปรับโทษเหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6190/2567 ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ไม่เป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน และไม่เข้าข่ายฆ่าโดยทารุณโหดร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8040/2567 : ความรับผิดฐานควบคุมสัตว์ดุร้ายตาม ป.อ. มาตรา 377 และกฎหมายโรคระบาดสัตว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2567 – พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารและสิทธิของผู้ปกครองตามกฎหมาย
ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ลักทรัพย์โดยสุจริต, ความผิดลักทรัพย์ vs การเข้าใจผิด, คดีลักทรัพย์ในเครือญาติ,
การกระทำของจำเลยเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน, ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมาตรา 289 (4), โทษประหารชีวิตในคดีอาญา
ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง
กระทำชำเราผู้เยาว์ในบ้านไม่ถือว่าแยกเด็กจากอำนาจปกครองดูแล
จำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี
ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น
การกระทำโดยพลาด
รอการลงโทษ,ให้การรับสารภาพ
รถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะซุกซ่อนและขนส่งบุหรี่ซิกาแรตในการกระทำความผิด
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้นสภาพความเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้เกิดขึ้นทันที
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ปฏิบัติหรือละเว้นตามมาตรา 157
การกระทำความผิดระหว่างผู้บุพการีต่อผู้สืบสันดานหรือผู้สืบสันดานต่อผู้บุพการี
พาไปเพื่อการอนาจาร -บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี
ความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์ขณะที่ผู้เสียหายป่วยทางจิต
รอการกำหนดโทษ | รอการลงโทษ | พรบ.ล้างมลทิน
เบิกความอันเป็นเท็จในศาล
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาใดไม่แน่ชัด
ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ-ป้องกันเกินกว่าเหตุ
บันดาลโทสะเพราะเหตุยั่วยุให้โมโห
หมิ่นประมาท | เข้าใจโดยสุจริต
ความผิดฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้
เป็นอันตรายแก่จิตใจ - ใช้ยาสลบใส่กาแฟ
บันดาลโทสะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง
หมิ่นประมาท | หนังสือพิมพ์ลงพิมพ์โฆษณา
วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนต้องห้ามฎีกา
ผู้เสียหายด่าจำเลย(บิดา)หยาบคายกรณีจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
เจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร
การริบทรัพย์สิน | ใช้ในการกระทำความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คำว่า-วิชาชีพ-ในคดีอาญา
หลบหนีไปจากความควบคุมตามอำนาจของพนักงานสอบสวน
สเปรย์พริกไทยไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร | รับส่งเด็กนักเรียน
ลักทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ
กระทำอนาจารต่อศิษย์นอกเวลาเรียน
ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ยังคงเป็นป่าตาม พ.ร.บ. ป่าไม้
เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต
ลงลายมือชื่อรับรองคนต่างด้าว 7 คน
ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อาญา มาตรา 188
ผู้สนับสนุนให้จำเลยกระทำความผิด
ทวงหนี้ลักษณะข่มขู่ว่าไม่จ่ายจะเดือดร้อนจำคุก 3 ปี
การทำนากุ้งไม่ใช่การประกอบอาชีพกสิกรรม
ลักทรัพย์นายจ้าง, ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
การจับกุมมิชอบกับการฟ้องคดีอาญา
คำขอในส่วนแพ่งเนื่องความผิดอาญา
แม้ผู้ตายยิงจำเลยก่อนอ้างเหตุป้องกันตัวไม่ได้
ทำร้ายร่างกายกับการป้องกันตัว
พรากเด็กต่ำ15 ปี ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 5 ปี
ซื้อเสียงเลือกตั้งไม่รอลงอาญา
ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบ
การเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
กระทำชำเราต่างวันต่างเวลาและต่างสถานที่ผิดหลายกรรม
เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
การพรากเด็กไม่ว่าเด็กจะออกจากบ้านเองก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมและฐานฉ้อโกง
พิพากษาจำคุกจำเลยศาลฎีกายกฟ้องเพราะคำฟ้องไม่ได้ลงชื่อ
หมิ่นประมาทกับดูหมิ่นซึ่งหน้า-ความผิดอาญามีโทษหนักเบาแตกต่างกัน
พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต
บันดาลโทสะหรือพยายามฆ่า
ความผิดอันยอมความได้ | คดีหมิ่นประมาท | ร้องทุกข์ภายในสามเดือน
พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
การสมรสในต่างประเทศระหว่างหญิงไทยกับหญิงไทย
การกระทำชำเราที่ไม่ต้องรับโทษ
การสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายอิสลามจำเลยไม่ต้องรับโทษ
กระทำโดยประมาทไม่อาจอ้างเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยไม่มีอำนาจสอบสวนไม่มีอำนาจฟ้อง
ให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถูกจำคุก 48 เดือน
ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุดคดีอาญาระงับ
บุตรติดมารดาไม่อยู่ในความปกครองของบิดาเลี้ยง
การชวนเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีเข้าไปในห้องนอนไม่ผิดพรากผู้เยาว์
กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีจำคุก 50 ปี
การนับอายุความคดีความผิดอันยอมความได้
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากในฟ้อง