
| คดีอั้งยี่พนันออนไลน์ & ฟ้องครบองค์ประกอบ (ฎีกา 980/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีอั้งยี่และการพนันออนไลน์ โดยจำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันจัดให้มีการเล่นและชักชวนผ่านเว็บไซต์พนันบอล บาคาร่า และสล็อต โดยไม่มีใบอนุญาต ศาลพิจารณาว่าคำฟ้องของพนักงานอัยการได้บรรยายข้อเท็จจริงชัดเจน ครบองค์ประกอบความผิด ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งจำเลยรับสารภาพ จึงเป็นเหตุบรรเทาโทษ ศาลฎีกายืนยันคำพิพากษาศาลล่าง ลงโทษตามบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ข้อเท็จจริงของคดี • วันที่ 26 พฤษภาคม 2565 จำเลย 20 คนร่วมประชุมและดำเนินกิจกรรมเว็บไซต์พนันออนไลน์ • เว็บไซต์มีข้อความเชิญชวนให้เล่นพนันบอล บาคาร่า สล็อตออนไลน์ • จำเลยทำหน้าที่ชักชวนและเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้โดยไม่รับอนุญาต • การพนันดังกล่าวเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 • จำเลยรับสารภาพในชั้นพิจารณา ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 1 ปี ลดเหลือ 6 เดือน และบวกโทษจำเลยที่ 10 อีก 1 เดือน ศาลอุทธรณ์ลดโทษเหลือจำคุก 3 เดือน (บวกโทษจำเลยที่ 10 รวมเป็น 4 เดือน) จำเลยฎีกา แต่ศาลฎีกาพิพากษายืน ✅ มาตรากฎหมายสำคัญที่สุดในคดีนี้ ประเด็นหลักของคดี: ความสมบูรณ์ของคำฟ้องในความผิดฐาน "ร่วมเป็นอั้งยี่เพื่อทำเว็บพนันออนไลน์" และไม่ใช่ฟ้องเคลือบคลุม ตามหลักกฎหมาย มาตราที่เกี่ยวข้องหลัก • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 — ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 213 — ร่วมในการกระทำตามมติของอั้งยี่ • พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 ทวิ และมาตรา 12(2) — ชักชวนหรือโฆษณาให้เล่นพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต • ป.วิ.อาญา มาตรา 158(5) — คำฟ้องต้องบรรยายข้อเท็จจริงให้จำเลยเข้าใจข้อหา • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และ 78 — ลงโทษบทหนัก และลดโทษเมื่อรับสารภาพ สาระสำคัญคือ ศาลตีความว่าคำฟ้องที่ระบุพฤติการณ์ วันเวลา ลักษณะการทำผิด และเจตนา เพียงพอแล้วตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดทุกขั้นตอน เช่น วิธีสมัครเว็บพนันออนไลน์ ✅ ประเด็นสำคัญที่สุดที่เป็นแก่นของคดีนี้ 1) ฟ้องครบองค์ประกอบ คำฟ้องบรรยายชัดเจน ระบุการรวมตัว เจตนา วันเวลา การชักชวนพนัน ศาลยืนยันว่าไม่ใช่ฟ้องเคลือบคลุม 2) อั้งยี่ออนไลน์ การรวมตัวกันในรูปแบบเครือข่ายออนไลน์เพื่อทำเว็บพนันเข้าข่ายอั้งยี่ แม้ไม่ได้ประชุมทางกายภาพตลอดเวลา 3) ชักชวนเล่นพนันออนไลน์ พฤติกรรมโฆษณา สมัครสมาชิก และชักชวนบนเว็บไซต์ถือเป็นการช่วยตั้งวงเล่นพนันผิดกฎหมาย 4) ไม่ต้องบรรยายรายละเอียดทุกขั้นตอน คำฟ้องไม่จำเป็นต้องลงลึก เช่น วิธีสมัครเว็บหรือวิธีจ่ายเงิน เพราะประเด็นสำคัญคือ “รู้และร่วมกระทำผิด” 5) รับสารภาพลดโทษ จำเลยรับสารภาพต่อศาล ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา 78 ลดโทษกึ่งหนึ่งตามหลักกฎหมาย ✅ สรุป คดีนี้ย้ำหลักสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในยุคอาชญากรรมไซเบอร์ว่า • หากคำฟ้องระบุพฤติการณ์สำคัญครบถ้วน • จำเลยเข้าใจข้อกล่าวหา • และพฤติการณ์สอดคล้องกับการร่วมกระทำผิด แม้ไม่ลงรายละเอียดเชิงเทคนิคทุกขั้นตอน ก็ถือว่าคำฟ้องสมบูรณ์ตามกฎหมาย ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย 1. ฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดอั้งยี่หรือไม่ 2. ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ 3. ศาลอุทธรณ์ลงโทษถูกต้องหรือไม่ คำวินิจฉัยศาลฎีกา • คำฟ้องบรรยายชัด — ระบุพฤติการณ์ การชักชวน ช่องทางออนไลน์ วันเวลา และเจตนา • จำเลยทราบว่าการพนันออนไลน์ต้องได้รับอนุญาต • การไม่ระบุขั้นตอนสมัครสมาชิกละเอียดไม่เป็นสาระสำคัญขององค์ประกอบ • เมื่อจำเลยรับสารภาพ แสดงว่ารู้ข้อหาแล้ว ไม่ต้องบรรยายเพิ่ม • การฟ้องไม่เคลือบคลุม เพราะเข้าใจข้อหาได้ตามหลักมาตรา 158 • บทลงโทษเลือกใช้มาตรา 209 ประกอบมาตรา 213 ซึ่งเป็นบทโทษหนักที่สุดตาม ม.90 • ศาลอุทธรณ์พิพากษาถูกต้อง พิพากษายืน การวิเคราะห์กฎหมาย • มาตรา 209, 213 ประมวลกฎหมายอาญา: ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ • พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4 ทวิ, 12(2): ชักชวนให้เล่นพนัน ต้องได้รับอนุญาต • ป.วิ.อาญา มาตรา 158 (5): คำฟ้องต้องบรรยายชัดเจนเพียงพอให้จำเลยทราบข้อหา • มาตรา 78 ป.อาญา: รับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง • มาตรา 90 ป.อาญา: ลงโทษบทที่หนักที่สุดเมื่อความผิดหลายบท ศาลถือหลักว่า หากคำฟ้องชี้พฤติการณ์ชัด และจำเลยเข้าใจข้อหา การไม่ลงรายละเอียดบางส่วนไม่ทำให้ฟ้องเสียรูป วิเคราะห์เชิงลึก • แนวโน้มคดีการพนันออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคดิจิทัล • ศาลให้ความสำคัญต่อการบรรยายฟ้องที่ทำให้จำเลยเข้าใจสิทธิการต่อสู้ • การประชุมออนไลน์เพื่อก่อตั้งหรือกระทำความผิด สามารถเข้าข่าย “อั้งยี่” ได้ • เป็นแนวทางชัดเจนต่อผู้บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์ IRAC Analysis Issue / ประเด็นปัญหา คำฟ้องโจทก์ในการกล่าวหาจำเลยทั้งยี่สิบฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่และชักชวนให้เล่นพนันออนไลน์ ถือว่าครบองค์ประกอบและไม่คลุมเครือหรือไม่ Rule / กฎหมายที่ใช้ • มาตรา 209, 213 ป.อาญา (อั้งยี่) • พ.ร.บ.การพนัน มาตรา 4 ทวิ, 12(2) • ป.วิ.อาญา มาตรา 158(5) — ต้องบรรยายชัดเจนพอให้จำเลยเข้าใจ • มาตรา 78 และ 90 ป.อาญา — บรรเทาโทษและบทโทษสูงสุด Application / การใช้กฎหมาย คำฟ้องระบุวันเวลา พฤติการณ์ เว็บไซต์ ประเภทการพนัน และเจตนาชัดเจน จำเลยรับสารภาพ ยืนยันว่าเข้าใจข้อหา การไม่บรรยายรายละเอียดวิธีสมัครสมาชิกไม่กระทบองค์ประกอบความผิด Conclusion / ข้อสรุป คำฟ้องสมบูรณ์ ไม่คลุมเครือ ศาลอุทธรณ์ลงโทษถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษายืน ข้อคิดทางกฎหมาย • คำฟ้องต้อง “ชัดเจนพอให้จำเลยเข้าใจข้อหา” ไม่จำเป็นต้องบรรยายทุกขั้นตอนละเอียด • กรณีอาชญากรรมออนไลน์ ศาลให้คำนึงถึงพฤติการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ • การรับสารภาพมีผลลดโทษ แต่ไม่ทำให้ข้อหาเบาลงในคดีความมั่นคงสาธารณะ สรุป คดีนี้ยืนยันหลักสำคัญของกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณา: หากคำฟ้องบรรยายพฤติการณ์ชัด จำเลยเข้าใจข้อหา แม้ไม่ละเอียดทุกขั้นตอน ก็ถือว่าครบองค์ประกอบ แนวคำพิพากษานี้จึงเป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับคดีอั้งยี่-ออนไลน์ และคดีการพนันยุคดิจิทัล แนวคำถาม - ธงคำตอบ ✅ ประเด็นคำถามที่ 1 หากพนักงานอัยการฟ้องจำเลยจำนวนยี่สิบคนว่าร่วมกันเป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์ โดยร่วมกันประชุม กำหนดรูปแบบกิจกรรม และช่วยกันโฆษณาชักชวนผ่านเว็บไซต์ให้บุคคลทั่วไปเข้ามาเล่นพนันบอลออนไลน์ บาคาร่าออนไลน์ และสล็อตออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์บรรยายคำฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดและคลุมเครือ เนื่องจากไม่ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสมัคร วิธีการรับผลประโยชน์ หรือโครงสร้างการแบ่งหน้าที่ภายในกลุ่มโดยละเอียด โจทก์จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดในระดับดังกล่าวหรือไม่ และคำฟ้องลักษณะนี้ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ เพราะเหตุใดจึงวินิจฉัยเช่นนั้น ✅ คำตอบ การพิจารณาว่าคำฟ้องครบองค์ประกอบและไม่เคลือบคลุม ต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ซึ่งกำหนดว่าโจทก์ต้องบรรยายการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิดพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสังเขปเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้อย่างชัดเจนพอที่จะต่อสู้คดีได้ ในคดีนี้ พนักงานอัยการได้บรรยายว่าเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 จำเลยทั้งยี่สิบร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการ มีเจตนาร่วมกันจัดให้มีการพนันออนไลน์หลายประเภท ได้แก่ พนันบอลออนไลน์ บาคาราออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ โดยร่วมกันโฆษณาชักชวนทางเว็บไซต์ มีข้อความโปรโมชันเพื่อเชิญผู้เล่น และจำเลยร่วมเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังระบุวัน เวลา การกระทำ และเจตนาผิดกฎหมายชัดเจน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวเพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อกล่าวหาอย่างชัด ไม่จำเป็นต้องบรรยายวิธีสมัครสมาชิก ขั้นตอนเปิดบัญชี หรือรายละเอียดเชิงลึกทางเทคนิค เพราะรายละเอียดดังกล่าวเป็นเรื่องพยานหลักฐานในชั้นสืบพยาน มิใช่องค์ประกอบความผิด และที่สำคัญคือจำเลยยอมรับสารภาพ ย่อมแสดงว่าสามารถเข้าใจคำฟ้องได้แล้ว ดังนั้น จึงไม่ถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม และคำฟ้องถือว่าครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 และพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 โดยศาลยืนยันว่าคำฟ้องของอัยการชัดเจนเพียงพอและชอบด้วยกฎหมาย ✅ ประเด็นคำถามที่ 2 ในกรณีที่จำเลยยี่สิบรายถูกฟ้องว่าร่วมกันเป็นอั้งยี่และร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันออนไลน์โดยผิดกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ลงโทษตามบทกฎหมายที่กำหนดโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และจำเลยฎีกาต่อสู้ว่าสาระสำคัญของคดีนี้เกี่ยวกับความผิดหลายบทกฎหมายซึ่งไม่ได้เป็นประเภทเดียวกัน จึงไม่สามารถนำบทลงโทษหนักที่สุดมาใช้ลงโทษได้ การวินิจฉัยของศาลฎีกาเป็นประการใด และเหตุใดการลงโทษดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย ✅ คำตอบ หลักการลงโทษความผิดหลายบทกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 กำหนดว่า หากการกระทำเดียวเป็นความผิดหลายบท ต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด แต่ต้องเป็นความผิดในลักษณะเกี่ยวข้องกันตามข้อเท็จจริง ในคดีนี้ จำเลยร่วมกันเป็นสมาชิกขององค์กรลับ (อั้งยี่) และกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของกลุ่มคือจัดให้มีการพนันออนไลน์โดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 209 และมาตรา 213 ประมวลกฎหมายอาญา รวมถึงมาตรา 4 ทวิ และมาตรา 12(2) แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและความผิดตามพระราชบัญญัติการพนันจะอยู่คนละบทกฎหมาย แต่พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการกระทำเดียวกัน มุ่งหมายเดียวกัน และเป็นการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมอันผิดกฎหมายภายในเครือข่ายที่จัดตั้งไว้ จึงเป็นความผิดที่เกิดจากพฤติการณ์ชุดเดียวแบบ "กรรมเดียวผิดหลายบท" สามารถนำบทลงโทษที่มีโทษหนักที่สุดมาลงโทษได้ ศาลเห็นว่าบทลงโทษตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญามีโทษหนักสุดจึงใช้บทดังกล่าวลงโทษ พร้อมให้ลดโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 3 ถือว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว ✨ สรุป • คำฟ้องไม่ต้องลงรายละเอียดถึงขั้นวิธีสมัครเว็บพนัน เพียงบรรยายพฤติการณ์ให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ก็พอ • การจัดตั้งเครือข่ายออนไลน์เพื่อการพนันเข้าข่ายอั้งยี่ และเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท ลงโทษบทหนักสุดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2567 สำหรับความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 เวลากลางวัน จำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายร่วมกันประชุมในที่ประชุมอั้งยี่และกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่ โดยร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซต์ http://www.biz99 โดยชักชวนผู้ที่ต้องการเล่นพนันบอลออนไลน์ บาการาออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ให้สมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ดังกล่าวด้วยข้อความประกาศที่หน้าเว็บไซต์ที่ว่า "เว็บไซต์ออนไลน์ แทงบอล บาการา สล็อต ฝาก ถอน ออโต 1 วิ มีโปรโมชั่น กิจกรรม เครดิตฟรี มากที่สุด" โดยบาการาออนไลน์ เป็นการพนันที่ระบุในบัญชี ก. หมายเลข 27 สล็อตออนไลน์เป็นการพนันที่ระบุในบัญชี ข. หมายเลข 28 และบอลออนไลน์ เป็นการพนันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 จำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันรับเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายและอยู่ด้วยในที่ประชุมขณะกระทำความผิด ไม่ได้คัดค้านในการกระทำความผิดนั้น ตามฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยทั้งยี่สิบรู้อยู่แล้วว่าคณะบุคคลที่ตนเป็นสมาชิกมีความมุ่งหมายเพื่อร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซต์สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นพนันบอลออนไลน์ บาการาออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ให้สมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ดังกล่าวโดยจำเลยทั้งยี่สิบต่างร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และทราบข้อกฎหมายซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปว่า บาการาออนไลน์ สล็อตออนไลน์ และบอลออนไลน์ ล้วนแต่เป็นการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานอันเป็นการกระทำที่มีความมุ่งหมายโดยเจตนาให้ผิดต่อกฎหมายอยู่ในตัวแล้ว โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายคำฟ้องว่าจำเลยทั้งยี่สิบรู้อยู่ก่อนแล้วโดยเจตนาว่าเป็นการเล่นพนันที่มิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายตามคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งยี่สิบได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยทั้งยี่สิบเข้าใจข้อหาได้ดี ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ. ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 แล้ว ส่วนการที่จำเลยทั้งยี่สิบยื่นใบสมัครต่อบุคคลใด ตั้งแต่เมื่อใด มิใช่องค์ประกอบความผิด และเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา แต่เมื่อจำเลยทั้งยี่สิบให้การรับสารภาพ ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งยี่สิบเข้าใจข้อหาตามคำฟ้องแล้วโจทก์หาจำต้องบรรยายมาในคำฟ้องไม่ คำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่แล้ว สำหรับการปกปิดวิธีการดำเนินการตามคำฟ้องก็เป็นเรื่องวิธีการหรือขั้นตอนในการกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอังยี่ส่วนการร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซต์ผู้ที่ต้องการเล่นการพนันออนไลน์ก็เป็นวิธีการหรือขั้นตอนอย่างหนี่งในการกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ด้วยเหมือนกัน หาได้ขัดแย้งและเป็นฟ้องเคลือบคลุมแต่อย่างใดไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 4 ทวิ, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 83, 209, 211, 213 ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 10 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้ จำเลยทั้งยี่สิบให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 10 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งยี่สิบมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก, 211 ประกอบมาตรา 213, 83 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 ทวิ, 12 (2) การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก ประกอบมาตรา 213 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 83 ด้วย) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งยี่สิบให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 6 เดือน ให้นำโทษจำคุก 1 เดือน ของจำเลยที่ 10 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1431/2564 ของศาลแขวงพระนครเหนือ มาบวกกับโทษจำคุกของจำเลยที่ 10 ในคดีนี้ เป็นจำคุก 7 เดือน ริบของกลาง เนื่องจากศาลไม่ได้ลงโทษปรับ จึงไม่อาจให้จ่ายสินบนนำจับได้ ยกคำขอในส่วนนี้ จำเลยทั้งยี่สิบอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งยี่สิบคนละ 6 เดือน ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งยี่สิบคนละ 3 เดือน ให้นำโทษจำคุก 1 เดือน ของจำเลยที่ 10 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1431/2564 ของศาลแขวงพระนครเหนือ มาบวกกับโทษจำคุกของจำเลยที่ 10 ในคดีนี้ เป็นจำคุก 4 เดือน ไม่ริบของกลาง ให้คืนของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งยี่สิบฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งยี่สิบข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ และเป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 เวลากลางวัน จำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายร่วมกันประชุมในที่ประชุมอั้งยี่และกระทำความผิดตามความมุ่งหมายของอั้งยี่ โดยร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนทางเว็บไซต์ โดยชักชวนผู้ที่ต้องการเล่นพนันบอลออนไลน์ บาการาออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ให้สมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ดังกล่าวด้วยข้อความประกาศที่หน้าเว็บไซต์ที่ว่า "เว็บไซต์ออนไลน์ แทงบอล บาการ่า สล็อต ฝาก ถอน ออโต 1 วิ มีโปรโมชั่น กิจกรรม เครดิตฟรี มากที่สุด" โดยบาการาออนไลน์ เป็นการพนันที่ระบุในบัญชี ก. หมายเลข 27 สล็อตออนไลน์ เป็นการพนันที่ระบุในบัญชี ข. หมายเลข 28 และบอลออนไลน์ เป็นการพนันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 จำเลยทั้งยี่สิบร่วมกันรับเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และอยู่ด้วยในที่ประชุมขณะกระทำความผิดไม่ได้คัดค้านในการกระทำความผิดนั้น ตามฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยทั้งยี่สิบรู้อยู่แล้วว่าคณะบุคคลที่ตนเป็นสมาชิกมีความมุ่งหมายเพื่อร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซต์สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นพนันบอลออนไลน์ บาการาออนไลน์ และสล็อตออนไลน์ให้สมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ดังกล่าวโดยจำเลยทั้งยี่สิบต่างร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และทราบข้อกฎหมายซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปว่าบาการาออนไลน์ สล็อตออนไลน์ และบอลออนไลน์ ล้วนแต่เป็นการพนันที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานอันเป็นการกระทำที่มีความมุ่งหมายโดยเจตนาให้ผิดต่อกฎหมายอยู่ในตัวแล้ว โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายคำฟ้องว่าจำเลยทั้งยี่สิบรู้อยู่ก่อนแล้วโดยเจตนาว่าเป็นการเล่นพนันที่มิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ตามคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยทั้งยี่สิบได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยทั้งยี่สิบเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 แล้ว ส่วนการที่จำเลยทั้งยี่สิบยื่นใบสมัครต่อบุคคลใด ตั้งแต่เมื่อใดมิใช่องค์ประกอบความผิด และเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา แต่เมื่อจำเลยทั้งยี่สิบให้การรับสารภาพ ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งยี่สิบเข้าใจข้อหาตามคำฟ้องแล้วโจทก์หาจำต้องบรรยายมาในคำฟ้องไม่ คำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่แล้ว สำหรับการปกปิดวิธีดำเนินการตามคำฟ้องก็เป็นเรื่องวิธีการหรือขั้นตอนในการกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ส่วนการร่วมกันจัดให้มีการเล่นช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนทางเว็บไซด์ผู้ที่ต้องการเล่นการพนันออนไลน์ก็เป็นวิธีการหรือขั้นตอนอย่างหนึ่งในการกระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ด้วยเหมือนกันหาได้ขัดแย้งและเป็นฟ้องเคลือบคลุมดังที่จำเลยทั้งยี่สิบกล่าวอ้างมาในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งยี่สิบข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งยี่สิบข้อสุดท้ายมีว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ และฐานร่วมกันจัดให้มีการเล่น ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 วรรคแรก, 211 ประกอบมาตรา 213, 83 พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4 ทวิ, 12 (2) การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ประกอบมาตรา 213, 83 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นั้น การกระทำที่จะเป็นความผิดเกี่ยวกับบทกฎหมายเฉพาะและบทกฎหมายทั่วไปได้นั้น ต้องเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องประเภทเดียวกันและเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน แต่ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งยี่สิบในคดีนี้ไม่เป็นความผิดที่เกี่ยวข้องประเภทเดียวกันและไม่เป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบตามคำฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยทั้งยี่สิบกล่าวอ้างในฎีกานั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งยี่สิบข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน พิพากษายืน 1. หลักกฎหมาย มาตรา 209 มาตรา 209 กำหนดความผิดฐาน “เป็นอั้งยี่” โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้ • ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่ง ปกปิดวิธีดำเนินการ และมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย • วรรคหนึ่ง: คนทั่วไปเป็นสมาชิก → โทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท • วรรคสอง: ถ้าเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในคณะบุคคลนั้น → โทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท • “ปกปิดวิธีดำเนินการ” หมายถึงกลุ่มนั้นมีวิธีการภายในที่ไม่เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก เช่น มีสัญลักษณ์ลับ มีการประชุมลับ หรือมีระบบสมาชิกโดยเฉพาะ • “มีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย” หมายถึง กลุ่มนั้นตั้งขึ้นเพื่อกระทำการที่ผิดกฎหมาย หรือเพื่อการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นอาชญากรรมรุนแรงเท่านั้น • การเป็นสมาชิกของคณะบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปก็อาจเข้าข่าย “คณะบุคคล” ตามมาตรา 209 ได้ • กฎหมายนี้มุ่งหวังปกป้องความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยกำหนดโทษเมื่อบุคคลเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดการกระทำขั้นต่อไป (เช่น การลงมือ) ก็อาจถูกลงโทษได้แล้วหากองค์ประกอบครบ 2. ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างที่ 1: ฎีกาที่ 784/2557 ในคำพิพากษา ฎีกาที่ 784/2557 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานเป็นอั้งยี่ตาม มาตรา 209 เป็นความผิด ทันที เมื่อผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดการดำเนินการตามกลุ่มนั้นแล้วจึงถือว่ามีความผิด ศาลเห็นว่า แม้จะมีความผิดหลายบทกฎหมาย แต่ฐาน “อั้งยี่” และ “ซ่องโจร” (มาตรา 210) มีลักษณะต่างกรรมต่างวาระกัน จึงไม่ถือเป็นความผิดเดียวกันในแง่บทลงโทษบทหนักสุด ตัวอย่างที่ 2: กรณีแจกใบปลิว/สมาชิกกลุ่มเครือข่าย (คดีตามข่าว) ในกรณีที่ปรากฏข่าวว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลย 4 คน กระทำผิดฐานเป็นอั้งยี่ตาม มาตรา 209 จำคุกคนละ 3 ปี โดยจำเลยบางคนรับสารภาพลดโทษ เหลือ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา สรุปว่า ศาลจัดว่า การเข้าร่วมกลุ่มที่มีเจตนามุ่งทำผิด โดยแจกใบปลิว/สนับสนุนองค์กรลับ ก็เป็นการเป็นสมาชิก “คณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย” ตามมาตรา 209 3. ความสำคัญและการประยุกต์ใช้ • มาตรา 209 ถือเป็นกฎหมายป้องปรามกลุ่มอั้งยี่/องค์กรลับที่ตั้งขึ้นเพื่อกระทำความผิด โดยโทษไม่รอให้เกิดการลงมือกระทำผิดจริง ก็สามารถเริ่มลงโทษได้เมื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิก • โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล/ออนไลน์ หากมีการรวมกลุ่มลับผ่านช่องทางออนไลน์ โฆษณา หรือชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิก ก็อาจเข้าข่ายมาตรา 209 (ซึ่งคล้ายกรณีคดี 980/2567 ที่คุณให้มา) • การยกตัวอย่างคำพิพากษาแสดงให้เห็นว่า ศาลวินิจฉัยในแนวว่า “การเป็นสมาชิก” และ “ความมุ่งหมาย” เป็นหัวใจ ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดการกระทำตามกลุ่ม • สำหรับผู้ศึกษากฎหมาย สำคัญที่ต้องแยกให้ได้ว่าเป็น “อั้งยี่” (มาตรา 209) หรือ “ซ่องโจร” (มาตรา 210) เพราะบทลงโทษและองค์ประกอบต่างกัน
|







.png)