

ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ตายเป็นอดีตภริยาของจำเลย วันเกิดเหตุจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายซึ่งตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ พบว่าผู้ตายมีบาดแผลทั้งหมด 35 แผล ส่อแสดงว่าจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายด้วยความอาฆาตแค้นเป็นอย่างมาก ขณะผู้ตายถูกจำเลยใช้อาวุธมีดแทงจนล้มลงนอนกับพื้นแล้ว จำเลยยังใช้อาวุธมีดแทงซ้ำผู้ตายอีก ผิดปกติวิสัยที่จำเลยอ้างว่า ยังมีความรักแก่ผู้ตายซึ่งเป็นอดีตภริยา แต่บ่งชี้ให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของจำเลย อีกทั้งหลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีและถูกจับกุมตามหมายจับโดยจำเลยไม่ได้สำนึกผิดในการกระทำความผิด คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นการจำนนต่อหลักฐานที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษประหารชีวิต แต่ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต นั้น นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้วไม่มีเหตุอันสมควรที่จะลงโทษจำเลยให้เบากว่านี้อีก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2567 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) อันเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง มิได้วินิจฉัยเพราะจำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ จึงเป็นอันถึงที่สุดตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาว่าไม่ได้มีการไตร่ตรองหรือตระเตรียมการเพื่อเจตนาฆ่าผู้ตายได้อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 92, 288, 289, 371 ริบของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพ ระหว่างพิจารณา นางจำหนิ มารดาของนางสาวจตุพร ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ 100,000 บาท และค่าขาดไร้อุปการะ 400,000 บาท รวมเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่ง ขอให้ยกคำร้อง ต่อมาในคดีส่วนแพ่ง ผู้ร้องและจำเลยตกลงกันได้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2565 โดยจำเลยตกลงชำระเงินให้แก่ผู้ร้อง 400,000 บาท ชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 หากผิดนัดยอมให้ผู้ร้องบังคับคดีได้จากยอดหนี้ที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 400,000 บาท นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระครบถ้วน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษประหารชีวิต ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 900 บาท เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้วจึงไม่อาจเพิ่มโทษได้ ส่วนฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร เมื่อศาลลงโทษปรับเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจเพิ่มโทษได้เช่นกัน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1)) ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงจำคุกตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร คงปรับ 600 บาท รวมจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 600 บาท (ที่ถูก หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30) ริบอาวุธมีดทรงโค้งวงเดือนปลายแหลม 1 เล่ม อาวุธมีดปลายแหลม 1 เล่ม สิ่งเทียมอาวุธปืน 1 กระบอก เหล็กสปริงสิ่งเทียมอาวุธปืน 1 อัน ของกลาง ในคดีส่วนแพ่ง พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2565 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) อันเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้น ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ย่อมเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง มิได้วินิจฉัยเพราะจำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ จึงเป็นอันถึงที่สุดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาว่าจำเลยไม่ได้มีการไตร่ตรองหรือตระเตรียมการเพื่อเจตนาฆ่าผู้ตายได้อีก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้มานั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ แต่อย่างไรก็ตามเฉพาะประเด็นสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบาหรือไม่ ยังไม่ถึงที่สุดเพราะเป็นประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ และจำเลยมีสิทธิฎีกาในประเด็นนี้ได้ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยในสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า ผู้ตายเป็นอดีตภริยาของจำเลย วันเกิดเหตุจำเลยพาอาวุธมีดปลายแหลม อาวุธมีดทรงโค้งวงเดือนปลายแหลม และสิ่งเทียมอาวุธปืนติดตัวไปพบผู้ตายที่ร้านที่เกิดเหตุ แล้วจำเลยใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย โดยปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพว่า ผู้ตายมีบาดแผลขอบเรียบทั้งหมด 35 แผล ได้แก่ ใต้ราวนมด้านซ้ายและช่องท้องซ้ายลึกถึงกระดูกซี่โครง 7 แผล ใต้สะดือ 1 แผล ลึก 3 เซนติเมตร ใต้ราวนมและอกด้านขวา 2 แผล ลึกถึงปอด และแผลที่ช่องท้องขวา 2 แผล ลึกถึงอวัยวะภายในช่องท้องที่บริเวณตับและลำไส้ ต้นคอทางด้านหลัง 1 แผล และแผลที่หลังกับสีข้างด้านขวา 22 แผล บาดแผลส่วนใหญ่กว้าง 3 เซนติเมตร ส่อแสดงว่า จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายด้วยความอาฆาตแค้นเป็นอย่างมากจึงเกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึง 35 แผล อีกทั้งตามภาพถ่ายขณะผู้ตายถูกจำเลยใช้อาวุธมีดแทงจนล้มลงนอนกับพื้นแล้ว จำเลยยังใช้อาวุธมีดแทงซ้ำผู้ตายอีก ผิดปกติวิสัยที่จำเลยอ้างว่า ยังมีความรักแก่ผู้ตายซึ่งเป็นอดีตภริยา ตรงกันข้ามกลับบ่งชี้ให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของจำเลย กอปรกับหลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีและถูกจับกุมตามหมายจับที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยจำเลยหาได้สำนึกในการกระทำความผิดของตนและเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจไม่ ยิ่งกว่านั้นโจทก์มีพยานหลักฐานที่มั่นคงหนักแน่นและสามารถพิสูจน์ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดในคดีนี้ได้อยู่แล้ว คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นลักษณะจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ดังนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษประหารชีวิตจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และยังลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกจำเลยตลอดชีวิต นั้น นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย กรณีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะลงโทษจำเลยให้เบากว่านี้อีก ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน • ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) • ฎีกาคดีฆาตกรรม • สิทธิการฎีกาในคดีอาญา • ลดโทษจำคุกตลอดชีวิต • ความผิดฐานฆ่าโดยเจตนา • ขั้นตอนศาลอุทธรณ์และฎีกา • การไตร่ตรองก่อนฆ่า ความหมาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2567 (ย่อ) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน (ป.อ. มาตรา 289 (4)) ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และพาอาวุธไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร (ปรับ 600 บาท) พร้อมริบของกลาง ในส่วนคดีแพ่ง จำเลยตกลงชำระเงินให้ผู้ร้อง 400,000 บาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดให้คิดดอกเบี้ย 5% ต่อปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ลดโทษ โดยไม่โต้แย้งข้อเท็จจริงว่ากระทำผิด ประเด็นสำคัญ 1.ข้อเท็จจริงที่จำเลยกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ข้อเท็จจริงนี้ถึงที่สุดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาประเด็นนี้อีก 2.ความเหมาะสมในการลงโทษจำเลย จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย 35 ครั้ง บาดแผลลึกถึงอวัยวะภายใน แสดงถึงความอาฆาตแค้นอย่างรุนแรง และหลบหนีหลังเกิดเหตุ ไม่แสดงความสำนึกผิด การรับสารภาพเป็นเพราะจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า การลดโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยศาลล่างทั้งสองถือเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุสมควรลดโทษอีก พิพากษายืน การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) มาตรา 289 กำหนดโทษสำหรับการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาในลักษณะที่มีความร้ายแรงเป็นพิเศษ ซึ่งมาตรา 289 (4) ระบุถึงกรณีที่ผู้กระทำผิด ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้: •การไตร่ตรองไว้ก่อน หมายถึง การวางแผน ตระเตรียม และมีเวลาพอสมควรที่จะคิดทบทวนก่อนลงมือกระทำ โดยไม่ใช่การกระทำเพราะอารมณ์ชั่ววูบ •การฆ่าในลักษณะนี้แสดงถึงความอำมหิตและเจตนาแน่วแน่ในการก่อเหตุ โทษสำหรับการกระทำผิดตามมาตรานี้คือ ประหารชีวิต แต่หากมีเหตุบรรเทาโทษ เช่น การรับสารภาพหรือให้ความร่วมมือในคดี ศาลอาจลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตตามดุลพินิจ ตัวอย่างในคดีนี้ จำเลยพกอาวุธไปยังที่เกิดเหตุ และใช้อาวุธแทงผู้ตาย 35 ครั้ง ซึ่งแสดงถึงการวางแผนล่วงหน้าและเจตนาแน่วแน่ในการฆ่า จึงเข้าข่าย "การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน" ตามมาตรา 289 (4) 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง มาตรา 245 วรรคสอง กำหนดว่าหากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเกี่ยวกับข้อเท็จจริง และคำพิพากษานั้นมิได้เกิดจากการอุทธรณ์ของจำเลยโดยตรง ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นที่สิ้นสุด จำเลยไม่สามารถฎีกาเพื่อโต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าวได้อีก ยกเว้นในกรณีที่กฎหมายให้สิทธิ ตัวอย่างในคดีนี้ จำเลยอุทธรณ์เพื่อขอลดโทษ แต่ไม่ได้โต้แย้งข้อเท็จจริงว่าไม่ได้ไตร่ตรองฆ่าผู้ตาย ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงถึงที่สุด จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาในประเด็นนี้อีก การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาในประเด็นนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว ประเด็นที่เชื่อมโยงกับคดี การพิจารณาคดีนี้แสดงให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายทั้งในแง่ของโทษตามมาตรา 289 (4) และข้อจำกัดสิทธิการฎีกาตามมาตรา 245 วรรคสอง เพื่อป้องกันการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่สิ้นสุดแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้ยังสะท้อนถึงหลักความยุติธรรมที่คำนึงถึงพฤติการณ์ความร้ายแรงของคดีและสิทธิที่เหมาะสมของคู่ความในกระบวนการพิจารณาคดี การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนคืออะไร? การกระทำความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นความผิดทางอาญาที่มีลักษณะร้ายแรง เนื่องจากแสดงถึงการวางแผนและเจตนาแน่วแน่ล่วงหน้าที่จะทำลายชีวิตผู้อื่น การไตร่ตรองไว้ก่อนคือการกระทำที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบ แต่มีการคิด ตระเตรียม และตัดสินใจอย่างรอบคอบที่จะกระทำความผิด ซึ่งแสดงถึงความอำมหิตและเจตนาอันแรงกล้าของผู้กระทำผิด บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) "ผู้ใดฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ต้องระวางโทษประหารชีวิต" การตีความหลักกฎหมาย: •ฆ่าผู้อื่น หมายถึง การทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา •ไตร่ตรองไว้ก่อน หมายถึง การกระทำที่มีการคิด วางแผน ตระเตรียม และมีเวลาทบทวนเหตุผลในการกระทำความผิด •โทษสูงสุดที่กำหนดคือ ประหารชีวิต ซึ่งแสดงถึงความร้ายแรงของความผิดในลักษณะนี้ 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง "คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่มิได้เกิดจากการอุทธรณ์ของคู่ความถือว่าถึงที่สุด" การตีความหลักกฎหมาย: •หากศาลอุทธรณ์พิจารณาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้มาจากการอุทธรณ์ของจำเลยและพิพากษายืน ข้อเท็จจริงนั้นถือว่าถึงที่สุด จำเลยไม่สามารถฎีกาในประเด็นดังกล่าวได้ •กฎหมายนี้ช่วยลดการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการโต้แย้งข้อเท็จจริงซ้ำซ้อน ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2567 •จำเลยฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธมีดแทงถึง 35 ครั้ง ศาลเห็นว่าการกระทำดังกล่าวแสดงถึงความอาฆาตแค้นและการไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิตเนื่องจากมีเหตุบรรเทาโทษ 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5103/2555 •ผู้กระทำผิดฆ่าผู้อื่นโดยมีการวางแผนร่วมกับบุคคลอื่นล่วงหน้า ถือเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน แม้ผู้กระทำผิดจะอ้างว่าเป็นการป้องกันตัว แต่พฤติการณ์และพยานหลักฐานไม่สอดคล้อง ศาลพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1944/2547 •จำเลยฆ่าผู้ตายเนื่องจากมีความขัดแย้งกันมาก่อน และมีการวางแผนใช้อาวุธยิงผู้ตายในสถานที่เปลี่ยว ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7003/2550 •จำเลยวางแผนล่วงหน้าในการลวงผู้ตายไปยังที่เกิดเหตุและใช้อาวุธยิงโดยไม่มีการยั่วยุ การกระทำดังกล่าวเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลลงโทษประหารชีวิต 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 789/2530 •จำเลยวางแผนฆ่าผู้ตายเพื่อหวังผลประโยชน์ทางทรัพย์สิน โดยลวงให้ผู้ตายไปยังสถานที่เปลี่ยวก่อนลงมือฆ่า ศาลลงโทษประหารชีวิต การศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ จากคำพิพากษาข้างต้น พบว่าหลักเกณฑ์ที่ศาลพิจารณาว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ได้แก่: 1.การวางแผนล่วงหน้า เช่น การตระเตรียมอาวุธและการกำหนดสถานที่ 2.เจตนาชัดเจน การลงมือฆ่าด้วยวิธีการที่แสดงถึงความแน่วแน่ 3.ความร้ายแรงของพฤติการณ์ เช่น จำนวนครั้งที่ทำร้ายหรือผลกระทบต่อผู้เสียหาย บทสรุป การฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นความผิดที่กฎหมายไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการกระทำที่แสดงถึงเจตนาร้ายแรงและการวางแผนล่วงหน้า โทษสูงสุดคือประหารชีวิต ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และการพิจารณาของศาลในแต่ละคดีจะขึ้นอยู่กับพฤติการณ์และพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์เป็นสำคัญ |