

ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2567 • การคำนวณโทษตาม ป.อ. มาตรา 54 • ลดโทษจำคุก ประมวลกฎหมายอาญา • ศาลฎีกา การวินิจฉัยโทษ • หลักกฎหมาย มาตรา 195 วรรคสอง • การพิจารณาคดีอาญา มาตรา 225 • โทษจำคุก ฐานกระทำชำเราเด็ก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2567 สรุปย่อ: ตาม ป.อ. มาตรา 54 ศาลต้องกำหนดโทษเบื้องต้นก่อนจึงคำนวณการลดโทษ โดยโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี จากจำคุก 4 ปี ลดโทษเหลือ 2 ปี 8 เดือนต่อกระทง ฐานพาผู้เยาว์อายุ 15-18 ปีเพื่ออนาจารจาก 1 ปี เหลือ 8 เดือน ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีเพื่ออนาจารจาก 5 ปี เหลือ 3 ปี 4 เดือน ฐานพรากผู้เยาว์อายุ 15-18 ปีโดยเต็มใจไปด้วยจาก 2 ปี เหลือ 1 ปี 4 เดือน โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาต่าง ๆ ตาม ป.อ. มาตรา 91, 277, 279, 283 ทวิ, 317, 319 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 33 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แก้ลดโทษลงตาม มาตรา 78 รวมจำคุก 20 ปี 24 เดือน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าการฎีกาของจำเลยไม่โต้แย้งคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์อย่างชัดเจน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในส่วนที่จำเลยฎีกามา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการคำนวณโทษตามหลักการควรแยกคำนวณโทษแต่ละกระทงก่อนรวม ศาลพิพากษาแก้ให้ลดโทษจำเลย รวมจำคุก 15 ปี 84 เดือน ตามหลัก มาตรา 54 และ มาตรา 78 นอกเหนือจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษานี้ ประกอบด้วย: 1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 54: มาตรานี้กำหนดหลักการในการคำนวณการเพิ่มหรือลดโทษ กล่าวคือ ก่อนที่จะมีการเพิ่มหรือลดโทษที่ศาลจะลง ศาลต้องกำหนดโทษพื้นฐาน (โทษที่จะลงแก่จำเลย) ขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงคำนวณการเพิ่มหรือลดโทษเฉพาะในส่วนที่ศาลพิจารณาเป็นโทษที่จะลดหรือเพิ่ม โดยหลักการนี้เน้นให้การคำนวณเป็นไปอย่างเป็นระบบและเป็นธรรมต่อจำเลย 2.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง: มาตรานี้ให้อำนาจศาลในการพิจารณาและวินิจฉัยข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจำเลยจะมิได้ยกประเด็นนี้ขึ้นในฎีกาก็ตาม ซึ่งแสดงถึงบทบาทของศาลในการรักษาความยุติธรรมและความถูกต้องในทางกฎหมาย โดยศาลมีอำนาจที่จะนำประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยหรือเป็นไปตามความยุติธรรม 3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225: มาตรานี้เกี่ยวกับการบังคับใช้คำพิพากษาของศาล โดยกำหนดว่าเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ได้วินิจฉัยข้อกฎหมายแล้ว คำวินิจฉัยนั้นถือเป็นที่สิ้นสุดและผูกพันทุกศาล ดังนั้น ศาลล่างหรือศาลอื่น ๆ ต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยนี้อย่างเคร่งครัดเพื่อให้เป็นไปตามหลักความยุติธรรมและกฎหมายที่ถูกต้อง
การอธิบายหลักกฎหมายเหล่านี้ทำให้ผู้อ่านเข้าใจการวินิจฉัยของศาลในคดีนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยแสดงถึงวิธีการคำนวณโทษที่เป็นธรรมและบทบาทของศาลในการพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายเพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมที่สมบูรณ์. โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา รวมจำคุก 33 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้แก่จำเลยกระทงละหนึ่งในสาม รวมจำคุก 20 ปี 24 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้แก่จำเลยกระทงละหนึ่งในสาม ศาลฎีกาวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 15 ปี 84 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตามบทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง ให้ศาลตั้งกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยเสียก่อนแล้วจึงเพิ่มหรือลด ดังนั้น การลดโทษจึงต้องคำนวณเฉพาะในส่วนของโทษที่จะลดก่อน แล้วนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนดมาตั้งแต่ต้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2567 ตามบทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง ให้ศาลตั้งกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยเสียก่อนแล้วจึงเพิ่มหรือลด ดังนั้น การลดโทษจึงต้องคำนวณเฉพาะในส่วนของโทษที่จะลดก่อน แล้วนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนดมาตั้งแต่ต้น สำหรับฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุกกระทงละ 4 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามคือ 1 ปี 4 เดือน เมื่อนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนด คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 8 เดือน ฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามคือ 4 เดือน เมื่อนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนด คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 5 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามคือ 1 ปี 8 เดือน เมื่อนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนด คงจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน และฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย จำคุกกระทงละ 2 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามคือ 8 เดือน เมื่อนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนด คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279, 283 ทวิ, 317, 319 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง (เดิม), 283 ทวิ วรรคแรก, 317 วรรคสาม และ 319 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 8 ปี ฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 5 กระทง จำคุก 5 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 10 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 5 กระทง จำคุก 10 ปี รวมจำคุก 33 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้แก่จำเลยกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี รวม 2 กระทง คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน ฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร รวม 5 กระทง คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร รวม 2 กระทง คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย รวม 5 กระทง คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 20 ปี 24 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 นั้น เห็นว่า จำเลยฎีกาโดยคัดลอกข้อความมาจากอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิ้นตั้งแต่หน้า 14 จนถึงหน้าสุดท้าย ลักษณะคำต่อคำมาใส่ไว้ในฎีกาตั้งแต่หน้า 8 และแก้ไขชื่อศาลที่โต้แย้งจากเดิมซึ่งเป็นศาลชั้นต้น เป็นศาลอุทธรณ์ภาค 8 และศาลที่ขอให้วินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นศาลฎีกา เพื่อให้ตรงตามชั้นศาลเท่านั้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้วินิจฉัยปัญหาเดียวกันโดยละเอียดแล้ว แม้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาที่พนักงานสอบสวนไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ระหว่างผู้เสียหายที่ 2 กับจำเลย เพื่อทำลายน้ำหนักความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานโจทก์ปากผู้เสียหายที่ 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยไว้ แต่ฎีกาของจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ว่า มีอุทธรณ์ข้อใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยังไม่ได้วินิจฉัย ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร ที่ถูกแล้วควรวินิจฉัยอย่างไรและด้วยเหตุผลใด ทั้งปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีหรือไม่ ที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกา ได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องความผิดฐานดังกล่าว แต่จำเลยยังคงฎีกาความผิดฐานนี้อีกเหมือนกับที่อุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยที่มิได้ยกเหตุผลขึ้นคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เช่นนี้ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 216 วรรคหนึ่ง และมาตรา 225 แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้ อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 รวมโทษทุกกระทงในแต่ละฐานความผิดเข้าด้วยกันแล้วจึงลดโทษ ย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่าลดโทษแต่ละกระทงเสียก่อนแล้วจึงรวมเข้าด้วยกัน เพราะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าระยะเวลาที่คำนวณนั้นกำหนดเป็นเดือน ให้นับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน ถ้ากำหนดเป็นปี ให้คำนวณตามปีปฏิทินในราชการ เมื่อเป็นเช่นนี้การกำหนดโทษจำคุก 12 เดือน ย่อมมีกำหนดเท่ากับ 360 วัน ซึ่งน้อยกว่าจำนวนวันตามปีปฏิทินที่อาจมีถึง 366 วัน หรือ 365 วัน สุดแท้แต่จะเป็นปีอธิกสุรทินหรือจันทรคติ ส่วนปัญหาเรื่องการคำนวณการลดโทษนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง ให้ศาลตั้งกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยเสียก่อนแล้วจึงเพิ่มหรือลด ดังนั้น การลดโทษจึงต้องคำนวณเฉพาะในส่วนของโทษที่จะลดก่อน แล้วนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนดมาตั้งแต่ต้นตามบทบัญญัติข้างต้น สำหรับฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุกกระทงละ 4 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามคือ 1 ปี 4 เดือน เมื่อนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนด คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 8 เดือน ฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการจนาจาร จำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามคือ 4 เดือน เมื่อนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนด คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 5 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามคือ 1 ปี 8 เดือน เมื่อนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนด คงจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน และฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย จำคุกกระทงละ 2 ปี ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามคือ 8 เดือน เมื่อนำไปหักจากโทษที่ศาลกำหนด คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้แก่จำเลยกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลงโทษความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุกกระทงละ 2 ปี 8 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 4 ปี 16 เดือน ฐานพาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 40 เดือน ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน และฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย จำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 5 ปี 20 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 15 ปี 84 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
ร่างคำฟ้อง โจทก์: พนักงานอัยการ จำเลย: นาย A (ชื่อสมมุติ) ข้อหาและบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: 1.มาตรา 91 (โทษสำหรับการกระทำความผิดหลายกรรม) 2.มาตรา 277 (การกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี) 3.มาตรา 279 (การพาผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร) 4.มาตรา 283 ทวิ (การกระทำอนาจารโดยการขู่เข็ญ) 5.มาตรา 317 (การพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปจากผู้ปกครอง) 6.มาตรา 319 (การพรากผู้เยาว์อายุเกิน 15 ปีแต่ไม่เกิน 18 ปีไปเพื่อการอนาจาร) คำฟ้อง: ด้วยจำเลยได้กระทำความผิดตามที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวคือ เมื่อวันที่ ……… (ระบุวันที่) ณ บ้านเลขที่ ……… (ระบุสถานที่) จำเลยได้กระทำการชำเราเด็กหญิง B ซึ่งมีอายุไม่เกิน 15 ปี โดยปราศจากความยินยอมของเด็ก ตามมาตรา 277 จำเลยยังได้พาเด็กหญิง B ไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา 279 และได้พรากเด็กจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง ตามมาตรา 317 นอกจากนี้ จำเลยยังได้กระทำการอนาจารเด็กโดยใช้การขู่เข็ญตามมาตรา 283 ทวิ และได้พรากผู้เยาว์ซึ่งมีอายุมากกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปีไปเพื่อการอนาจารโดยความเต็มใจของผู้เยาว์ตามมาตรา 319 คำขอท้ายคำฟ้อง: ขอศาลได้โปรดพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 91 ในการรวมโทษของความผิดหลายกรรมให้เหมาะสม โดยให้ลงโทษตามมาตรา 277, 279, 283 ทวิ, 317 และ 319 ที่เกี่ยวข้อง และให้ศาลพิจารณาลดหรือเพิ่มโทษตามความเหมาะสมตามมาตรา 54 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และขอให้ศาลออกหมายคุมขังจำเลยเพื่อบังคับตามคำพิพากษา จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ลงชื่อ: ……………………………. (ชื่อพนักงานอัยการ) ตำแหน่ง: พนักงานอัยการ วันที่: ……………….
คำฟ้องนี้เป็นแนวทางสำหรับการศึกษากฎหมายและการเตรียมคดี เพื่อให้ผู้ศึกษากฎหมายและทนายความเข้าใจรูปแบบการร่างคำฟ้องคดีอาญาในกฎหมายไทย
|