

การกระทำโดยพลาด
การกระทำโดยพลาด-กระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง มาตรา 60 ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดย เจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น เช่นต้องการฆ่าคนหนึ่งแต่กระสุนปืนเลยไปถูกอีกคนหนึ่ง ดังนี้ผู้กระทำความผิดมีความผิดฐานพยายามฆ่าคนแรก และพยายามฆ่าคนที่สองโดยพลาดไป คือผิดทั้งสองกระทง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8310/2549 จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงสวนมาทาง ส. กับพวก แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288, 80, 60 อันเป็นความผิดต่อผลของการกระทำโดยพลาดที่เกิดแก่นักศึกษาหญิงผู้เสียหายทุกคนและมีความผิดตามมาตรา 288, 80 อันเป็นผลของการกระทำที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิง ส. กับพวกด้วย โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 เวลากลางวัน จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้นจำนวน 1 กระบอก ไม่มีหลายเลขทะเบียนประทับไว้ และมีกระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 นัด ซึ่งใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย และจำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปที่วิทยาลัยเทคนิคตรัง ตำบลบ้านควน อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นทางสาธารณะ หมู่บ้านและเมืองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือได้รับการยกเว้นตามกฎหมายทั้งไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ นอกจากนี้จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายสิริ จำนวน 1 นัด โดยเจตนาฆ่า จำเลยกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกนายสิริ แต่พลาดไปถูกนางสุรีย์ นางสาวสุภาพร นางสาวศิริวรรณ นางสาวนุชนภา นางสาววีรนุช นางสาวอลิสา และนางสาวอัจฉราวดี ได้รับอันตรายแก่กาย โดยเฉพาะนางสาวอัจฉราวดี หากแพทย์รักษาไม่ทันท่วงที อาจถึงแก่ความตายได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 390 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายเป็นกรรมเดียว วางโทษจำคุก 1 เดือน ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทวางโทษบทหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (ที่ถูกลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี 1 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน 20 วัน ริบของกลาง โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 จำคุก 10 ปี รวมกับโทษฐานมีและพาอาวุธปืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาซึ่งโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์โต้เถียงเป็นอย่างอื่นฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยมีและพาอาวุธปืนลูกซองสั้นของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนไม่มีทะเบียนติดตัวไปที่วิทยาลัยเทคนิคตรังที่เกิดเหตุ และจำเลยใช้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวยิง 1 นัด กระสุนปืนที่จำเลยลั่นไกยิงดังกล่าวถูกนางสุรีย์ นางสาวสุภาพร นางสาวศิริวรรณ นางสาวนุชนภา นางสาววีรนุช นางสาวอลิสา และนางสาวอุจฉราวดี ได้รับอันตรายแก่กาย คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยามฆ่าตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายสิริ พยานโจทก์ซึ่งเป็นคู่วิวาทกับจำเลยเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุพยานทราบจากเพื่อนชื่อนายสินชัย ว่ามีเรื่องชกต่อยกับจำเลยเรื่องแย่งจีบผู้หญิงกัน และจำเลยพูดว่าพบเด็กช่างเชื่อมที่ไหนจะชกต่อย วันเกิดเหตุพยานกับเพื่อนประมาณ 10 คน ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนช่างเชื่อมนั่งอยู่ที่โรงอาหารของวิทยาลัยเทคนิคตรัง เห็นจำเลยกับเพื่อนเดินผ่านมา พยานจึงเดินเข้าไปถามเพื่อนของจำเลยว่าใครเป็นคนพูดว่า พบเด็กช่างเชื่อมแล้วจะชกพยานถามย้ำอยู่ 2 ครั้ง เพื่อนของจำเลยไม่ตอบ แต่จำเลยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ร้องตอบว่า “กูพูดเอง” พยานจึงชกปากจำเลย 1 ครั้ง จำเลยใช้กระเป๋าเอกสารลักษณะเป็นกระเป๋าเจมส์บอนด์ที่ถืออยู่ในมือฟาดมาที่ศีรษะพยาน 1 ครั้ง พยานถูกฟาดเซถอยหลังมาเพื่อนของพยานที่นั่งอยู่ก็กรูกันเข้าไปจะทำร้ายจำเลย จำเลยวิ่งหนีไประหว่างอาคาร 2 กับห้องสมุด พวกของพยานวิ่งตามไป ส่วนพยานยังยืนอยู่ที่เดิมเนื่องจากมีเลือดไหลที่หู ระหว่างนั้นพยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดจากทางที่จำเลยวิ่งหนีไป กับโจทก์มีนายคลี่ เพื่อนนักศึกษาแผนกเดียวกับจำเลยพยานอีกปากหนึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความสนับสนุนว่า ก่อนเกิดเหตุพยานเดินออกจากห้องเรียนพร้อมจำเลยกับเพื่อนอีก 3 ถึง 4 คน เพื่อเปลี่ยนห้องเรียน เมื่อเดินมาถึงที่เกิดเหตุพบนายสิริกับพวกประมาณ 30 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาแผนกช่างเชื่อม นายสิริเดินมาดึงข้อมือจำเลยพาไปที่ข้างแท็งก์น้ำหลังอาคารเรียน 2 พยานกับพวกจึงพากันเดินตามไปถึงบริเวณหลังแท็งก์น้ำ นายสิริชกต่อยจำเลยและมีเพื่อนของนายสิริประมาณ 20 คน ถือมีด เหล็กแป๊บ และไม้บรรทัดเหล็ก กรูเข้ามาเพื่อจะทำร้ายจำเลย จำเลยวิ่งหนีไปทางหน้าวิทยาลัยซึ่งเป็นสนามบาสเกตบอล เมื่อวิ่งไปประมาณ 100 เมตร พยานเห็นจำเลยชักอาวุธปืนลูกซองสั้นออกมายิงสวนมาทางนายสิริกับพวกจำนวน 1 นัด กระสุนปืนถูกนักศึกษาหญิงที่นั่งอยู่ในโรงอาหารดังนี้ เห็นว่า แม้ตามคำเบิกความของนายสิริซึ่งเป็นคู่วิวาทกับจำเลยโดยตรงจะยังไม่ได้ความชัดแจ้งว่าจำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองพกสั้นของกลางยิงในลักษณะอย่างไร เพราะพยานบ่ายเบี่ยงเลี่ยงละความจริงอ้างว่ามิได้วิ่งไล่ตามไปทำร้ายจำเลยด้วยก็ตาม แต่ตามคำเบิกความของนายคลี่ ประจักษ์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งได้เบิกความถึงลักษณะการใช้อาวุธปืนยิงของจำเลยไว้ชัดเจนว่า พยานเห็นจำเลยชักอาวุธปืนลูกซองพกสั้นของกลางออกมายิงสวนไปทางนายสิริกับพวกที่วิ่งไล่ตามทำร้ายจำเลยจำนวน 1 นัด คำเบิกความของนายคลี่จึงชอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักเชื่อถือได้อย่างสนิทใจเพราะนอกจากจะมีรายละเอียดของลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสมเหตุผลแล้ว ลักษณะการยิงตามคำเบิกความของพยานที่ระบุว่า จำเลยใช้ปืนยิงสวนมาทางนายสิริกับพวกที่วิ่งไล่ตามทำร้ายจำเลยก็สอดคล้องกับวิถีกระสุนปืนที่เมื่อพลาดไม่ถูกนายสิริกับพวก ย่อมมีโอกาสที่ลูกปรายของกระสุนปืนลูกซองจะกระจายออกไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนที่ยืนหรือนั่งอยู่ในบริเวณนั้นได้ ซึ่งนับว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักเชื่อถือได้มากกว่าข้อนำสืบแก้ตัวของจำเลยที่อ้างว่ายิงขึ้นฟ้าเป็นการขู่ ทั้งนี้เพราะหากข้อที่จำเลยนำสืบรับข้อเท็จจริงว่าได้ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นของกลางยิง 1 นัดจริง แต่เป็นการยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่พวกของนายสิริลูกปรายกระสุนที่จำเลยยิงก็ต้องกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่มีโอกาสที่จะกระจายพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนซึ่งขณะนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เป็นระนาบเดียวกับจำเลยได้เลย ข้อนำสืบของจำเลยที่ขัดแย้งต่อวิถีกระสุนอันควรจะเป็นจึงขัดต่อเหตุผล ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงเชื่อตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นของกลางยิงสวนมาทางนายสิริกับพวก แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยเพียงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 อันเป็นการปรับบทลงโทษจำเลยเฉพาะต่อผลของการกระทำโดยพลาดที่เกิดแก่นักศึกษาหญิงผู้เสียหายทุกคนเท่านั้น โดยหาได้ปรับบทลงโทษจำเลยในการกระทำที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงสวนมาทางนายสิริกับพวกซึ่งเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายสิริกับพวกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ด้วยนั้น ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า เมื่อนายสิริถามในเชิงบังคับขู่เข็ญให้ตอบว่าใครเป็นคนพูดว่าพบเด็กช่างเชื่อมแล้วจะชกจำเลยจึงตอบในเชิงตัดรำคาญว่า “กูเอง” โดยจำเลยมิได้มีเจตนาสมัครใจวิวาทกับนายสิรินั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยพาอาวุธปืนลูกซองสั้นติดตัวมาด้วยในขณะเกิดเหตุ ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้แสดงให้เห็นเจตนาในเบื้องต้นแล้วว่า จำเลยเตรียมพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท การที่นายสิริกับพวกเข้ามาถามกลุ่มพวกของจำเลยด้วยกิริยาอาการดังที่จำเลยกล่าวอ้าง บ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นการท้าทายกลุ่มพวกของพวกจำเลยอยู่ในที และเมื่อจำเลยตอบรับว่า “กูเอง” ซึ่งเสมือนเป็นการรับคำท้าทายของนายสิริโดยปริยาย เช่นนี้ พฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่าจำเลยกับนายสิริสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างการกระทำโดยป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ขึ้นเป็นข้อแก้ตัว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน สำหรับปัญหาตามฎีกาในประการสุดท้ายที่จำเลยฎีกาขอให้ปรานีลงโทษในสถานเบา ลดโทษ และรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยพกพาอาวุธปืนลูกซองสั้นเข้ามาในสถานศึกษาโดยไม่สมควร และยังสมัครใจวิวาทต่อสู้กันสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายในสถานศึกษา อีกทั้งยังใช้อาวุธปืนของกลางที่พกพามาซึ่งเป็นอาวุธปืนลูกซองสั้นยิงโดยไม่สนใจไยดีว่ากระสุนลูกปรายจะกระจายออกไปถูกนักศึกษาคนอื่นได้รับอันตราย และปรากฏว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงก็กระจายพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงผู้เสียหายหลายคนได้รับอันตรายแก่กายด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรงที่ศาลสมควรลงโทษจำเลยอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้วัยรุ่นหรือนักศึกษาคนอื่นๆ ประพฤติเยี่ยงจำเลยอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ลงโทษและลดโทษแก่จำเลยแล้ว คงจำคุก 8 ปี โดยไม่พิจารณารอการลงโทษให้แก่จำเลยมานั้น นับว่าเหมาะสมเป็นคุณแก่จำเลยมากอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เบาลงอีก ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน” พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 อีกบทหนึ่ง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษจำเลยแต่เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ดึงปืนกันจนปืนลั่นถูกผู้ตายจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย หาใช่เป็นการกระทำโดยประมาทไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 724/2563 จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยให้แก่ราษฎรในหมู่บ้าน นอกจากอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวขนาด 12 ที่ใช้ยิงผู้ตาย ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ทางราชการมอบให้ไว้ใช้ตรวจรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านแล้ว จำเลยยังมีอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (NTS) แบบสไลด์ แอ็คชั่น (SLIDE ACTION) บรรจุ 4 นัด ขนาด 12 ที่ใช้ยิงขึ้นฟ้าในวันเกิดเหตุอีก 1 กระบอก จำเลยย่อมมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืนและทราบดีอยู่แล้วว่าอาวุธปืนเป็นอาวุธที่ร้ายแรงสามารถทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่าย แต่จำเลยยังใช้อาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวขนาด 12 ของกลางที่มีกระสุนบรรจุอยู่ในการข่มขู่ผู้ตาย ในขณะผู้ตายนั่งอยู่บนแคร่ จำเลยเดินถืออาวุธปืนเข้าไปหาผู้ตายเพื่อข่มขู่ โดยปากกระบอกปืนชี้ไปหาผู้ตายในระยะใกล้จนผู้ตายสามารถจับปากกระบอกปืนได้ จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาวุธปืนของกลางอาจลั่นถูกผู้ตายถึงแก่ชีวิตได้ แต่จำเลยยังคงกระทำการดังกล่าว เมื่อเกิดการดึงปืนกันจนปืนลั่นถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย หาใช่เป็นการกระทำโดยประมาทไม่ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 288, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 72 ริบอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (NTS) แบบสไลด์ แอ็คชั่น (SLIDE ACTION) บรรจุ 4 นัด ขนาด 12 และปลอกกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 2 ปลอก ของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และข้อหายิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนที่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ปรับ 2,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีอาวุธปืนที่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานมีอาวุธปืนที่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 6 เดือน ฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน คงปรับ 1,000 บาท รวมจำคุก 15 ปี 6 เดือน และปรับ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง คืนอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยวของกลางแก่เจ้าของ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลดโทษให้แล้ว เป็นจำคุก 10 ปี 6 เดือน และปรับ 1,000 บาท ริบอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (NTS) แบบสไลด์ แอ็คชั่น (SLIDE ACTION) ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยกับนางสาวเสาวนีย์ ผู้ตาย ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยทะเลาะกัน ผู้ตายใช้ไม้จับยุงไฟฟ้าตีจำเลยได้รับบาดเจ็บกระดูกนิ้วนางมือขวาแตก จำเลยโมโหจึงนำอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (NTS) แบบสไลด์ แอ็คชั่น (SLIDE ACTION) บรรจุ 4 นัด ขนาด 12 ของกลาง ออกไปยิงขึ้นฟ้าบริเวณข้างบ้าน 1 นัด และนำอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (STEVENS) ขนาด 12 ของกลาง มาถือขู่ผู้ตาย แล้วกระสุนปืนลั่นถูกผู้ตายที่ศีรษะด้านขวา เป็นบาดแผลฉีกขาดที่หนังศีรษะจนกะโหลกศีรษะแตกและเยื่อหุ้มสมองฉีกขาดเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ในวันเกิดเหตุ ร้อยตำรวจเอกประสิทธิ์ พนักงานสอบสวนไปตรวจที่เกิดเหตุ พบศพผู้ตายบริเวณแคร่ไม้หน้าห้องนอนชั้นล่าง พบอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (STEVENS) ขนาด 12 มีปลอกกระสุนปืนในลำกล้อง 1 ปลอก และกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 1 นัด ในบ้านที่เกิดเหตุ และพบปลอกกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 1 ปลอก ข้างบ้านที่เกิดเหตุ จึงยึดไว้เป็นของกลาง วันรุ่งขึ้นจำเลยมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและนำไปตรวจยึดอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (NTS) แบบสไลด์ แอ็คชั่น (SLIDE ACTION) บรรจุ 4 นัด ขนาด 12 และกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 3 นัด เป็นของกลาง คดียุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน เนื่องจากไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ในความผิดดังกล่าวและยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเนื่องจากไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาในความผิดดังกล่าว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (STEVENS) ขนาด 12 ยิงผู้ตายด้วยเจตนาฆ่า ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ในขณะผู้ตายถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิง คำเบิกความของนายสุนทร นายเลิศสินและนางสมบุญก็เป็นพยานแวดล้อมใกล้ชิดเหตุการณ์หลังเกิดเหตุที่ยืนยันได้เพียงว่าจำเลยมีส่วนทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเท่านั้น แม้โจทก์มีคำให้การของนายพิษณุ พยานแวดล้อมในขณะเกิดเหตุมาสนับสนุนคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าว โดยนายพิษณุเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทำให้ไม่อาจมาเบิกความเป็นพยาน อันเป็นเหตุจำเป็นให้ศาลรับฟังคำให้การของนายพิษณุซึ่งเป็นพยานบอกเล่าได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) แต่นายพิษณุให้การเพียงว่า บ้านของนายพิษณุอยู่ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 30 เมตร วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 23 นาฬิกา นายพิษณุได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จากทางบ้านที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นได้ยินเสียงผู้ตายบ่นว่า อะไรกันนักหนาจะยิงอะไรกันนักหนา สักพักนายพิษณุได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 1 นัด จากนั้นนายพิษณุเห็นจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเดินกระวนกระวายอยู่บนถนน พูดบ่นว่า "ทำไมชีวิตกูต้องมาเจอแบบนี้" ต่อมานายสุนทรขับรถจักรยานยนต์มาถึง จำเลยพูดกับนายสุนทรว่า "โทรแจ้งหมวดยูรให้หน่อย ผมฆ่าเมียตาย" เมื่อนายพิษณุไปบ้านที่เกิดเหตุเห็นผู้ตายถูกกระสุนปืนที่ศีรษะเสียชีวิต โดยนายพิษณุเคยเห็นจำเลยกับผู้ตายมีปากเสียงทะเลาะกันบ่อย แต่ไม่ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย คำให้การของนายพิษณุจึงไม่สามารถยืนยันเหตุการณ์ขณะจำเลยยิงผู้ตายได้เช่นเดียวกัน โจทก์คงมีพยานสำคัญ คือ คำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเท่านั้นที่สามารถยืนยันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ โดยจำเลยให้การในรายละเอียดว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายทะเลาะกัน ผู้ตายใช้ไม้จับยุงไฟฟ้าตีจำเลยได้รับบาดเจ็บกระดูกนิ้วนางมือขวาแตก จำเลยโมโหจึงนำอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (NTS) แบบสไลด์ แอ็คชั่น (SLIDE ACTION) บรรจุ 4 นัด ขนาด 12 ของกลาง ออกไปยิงขึ้นฟ้าบริเวณข้างบ้าน 1 นัด ผู้ตายบ่นจำเลยว่ายิงขึ้นฟ้าทำไมยิงกูเลย จำเลยพูดประชดไปว่า "อยากให้เป็นเช่นนั้นใช่ไหม หากกูยิงมึง มึงก็ตาย กูก็ติดคุก ลูกจะอยู่กับใคร" แต่ผู้ตายก็ยังไม่ยอมหยุดบ่น ด้วยความรำคาญ จำเลยจึงนำอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (STEVENS) ขนาด 12 ของกลาง มาถือขู่ผู้ตายให้หยุดบ่น แต่ผู้ตายไม่ยอมหยุดและพูดท้าทายว่ายิงกูเลยยิงที่หัว แล้วผู้ตายดึงปากกระบอกปืนไปจ่อที่ศีรษะของผู้ตาย จำเลยดึงปืนออกจากศีรษะ แต่กระสุนปืนลั่นถูกผู้ตายที่ศีรษะด้านขวา คำให้การดังกล่าวนอกจากจะสอดคล้องกับสภาพบ้านที่เกิดเหตุซึ่งพบร่องรอยการต่อสู้และไม้จับยุงไฟฟ้าที่แตกหักวางอยู่ในห้องนอนแล้ว ผู้ชำนาญการยังตรวจพบธาตุ Antimony และ Barium ที่มือของผู้ตายในปริมาณที่เชื่อว่าผู้ตายเกี่ยวข้องกับการยิงปืนด้วย จึงเชื่อได้ว่าจำเลยนำอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (STEVENS) ขนาด 12 ของกลาง มาถือขู่ผู้ตาย แล้วผู้ตายดึงปากกระบอกปืนไปจ่อที่ศีรษะของตนเอง จำเลยดึงปืนออกเป็นเหตุให้กระสุนปืนลั่นถูกผู้ตายที่ศีรษะด้านขวาจนถึงแก่ความตาย ดังที่จำเลยให้การจริง ส่วนเหตุที่จำเลยกับผู้ตายทะเลาะกันถึงขั้นผู้ตายใช้ไม้จับยุงไฟฟ้าตีจำเลยได้รับบาดเจ็บกระดูกนิ้วนางมือขวาแตกนั้น จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภริยากันมาเป็นเวลากว่า 30 ปี มีเหตุทะเลาะกันบ่อยครั้ง เหตุที่เกิดขึ้นไม่น่าจะรุนแรงถึงขนาดที่จำเลยคิดจะฆ่าผู้ตาย โดยหลังเกิดเหตุจำเลยอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจจนไม่สามารถควบคุมสติได้ ทั้งเป็นผู้เดินไปแจ้งต่อบุคคลอื่นว่าทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย หากจำเลยประสงค์จะให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจริง จำเลยคงไม่แสดงกริยาเช่นนั้น อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยให้แก่ราษฎรในหมู่บ้าน นอกจากอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (STEVENS) ขนาด 12 ที่ใช้ยิงผู้ตาย ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ทางอำเภอชัยบาดาลมอบให้ไว้ใช้ตรวจรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านแล้ว จำเลยยังมีอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (NTS) แบบสไลด์ แอ็คชั่น (SLIDE ACTION) บรรจุ 4 นัด ขนาด 12 ที่ใช้ยิงขึ้นฟ้าในวันเกิดเหตุอีก 1 กระบอก จำเลยย่อมมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืนและทราบดีอยู่แล้วว่าอาวุธปืนเป็นอาวุธที่ร้ายแรงสามารถทำอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่าย แต่จำเลยยังใช้อาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว (STEVENS) ขนาด 12 ของกลางในการข่มขู่ผู้ตาย เมื่อพิจารณาสภาพศพของผู้ตายที่นอนอยู่บริเวณแคร่ไม้หน้าห้องนอนชั้นล่าง แสดงให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุผู้ตายคงจะนั่งอยู่บนแคร่ จำเลยเดินถืออาวุธปืนเข้าไปหาผู้ตายเพื่อข่มขู่ โดยปากกระบอกปืนคงชี้ไปหาผู้ตายในระยะใกล้ มิฉะนั้นผู้ตายคงไม่สามารถจับปากกระบอกปืนของจำเลยได้ จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาวุธปืนของกลางอาจลั่นถูกผู้ตายถึงแก่ชีวิตได้ แต่จำเลยยังคงกระทำการดังกล่าว เมื่อเกิดการดึงปืนกันจนปืนลั่นถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย หาใช่เป็นการกระทำโดยประมาทดังที่จำเลยฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน |