ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




กระทำโดยประมาทไม่อาจอ้างเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

กระทำโดยประมาทไม่อาจอ้างเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

การที่ผู้ตายวิ่งเข้ามาหาจำเลยโดยผู้ตายถือไม้ติดมือมาด้วยจำเลยพูดกับผู้ตายว่า อย่าเข้ามา ถ้าเข้ามากูยิง ผู้ตายก็พูดว่า ถ้ายิงก็ยิงเลย จากนั้นจำเลยได้ใช้อาวุธปืนที่ถืออยู่ในมือด้านขวายิงขู่ไปทางด้านซ้ายมือของบ้านที่เกิดเหตุจำนวน 1 นัด โดยกระสุนปืนไม่ถูกใครแต่ผู้ตายยังคงวิ่งเข้าไปหาจำเลยและกอดปล้ำกัน จากนั้น ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ซึ่งถ้าหากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยก็คงยิงผู้ตายตั้งแต่นัดแรกแล้ว จำเลยให้การไว้ว่าไม่ได้ตั้งใจปืนมันลั่น และในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความว่าปืนลั่นไม่มีผู้ใดให้การว่าเห็นจำเลยเล็งอาวุธปืนไปทางผู้ตายเชื่อได้ว่าจำเลยทำปืนลั่นขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้ตายกอดปล้ำกันโดยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า การกระทำซึ่งจะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาท การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1597/2562

การกระทำซึ่งจะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68 ต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา จำเลยเอาอาวุธปืนออกมาขู่ผู้ตายและทำปืนลั่นโดยประมาทถูกผู้ตายถึงแก่ความตายไม่ใช่การกระทำโดยเจตนา การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่การป้องกัน

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 8 ทวิ, 72 ทวิ ริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แต่ให้การปฏิเสธข้อหาฆ่าผู้อื่น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 (ที่ถูก มาตรา 291, 371) พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง (ที่ถูก 8 ทวิ วรรคหนึ่ง), 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี ฐานพาอาวุธปืนมีเครื่องหมายทะเบียนของตนเองและเครื่องกระสุนปืนไปในเมืองฯ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต (ที่ถูก ฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต) เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 3 เดือน ริบของกลาง

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 6 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุกฐานพาอาวุธปืนฯ แล้ว รวมจำคุก 4 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนพก ขนาด .38 เครื่องหมายทะเบียน กท 3406387 ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยพาอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวติดตัวไปบริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านของนายหลงรัก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 มีนายสุพจน์ ผู้ตาย ซึ่งมีบ้านพักอยู่ด้านหลังของบ้านที่เกิดเหตุวิ่งเข้ามาหา แล้วจำเลยกับผู้ตายมีปากเสียงกัน และจำเลยชักอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวออกมา ต่อมามีเสียงปืนจากอาวุธปืนที่จำเลยถืออยู่ในมือดังขึ้น 2 นัด ติดต่อกัน กระสุนปืนทั้งสองนัดถูกบริเวณหน้าอกราวนมขวาและหน้าท้องเหนือสะดือขวาของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ภายหลังเกิดเหตุไม่นานนัก จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนพร้อมกับนำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมามอบให้พนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลาง และพนักงานสอบสวนยังได้ยึดหัวกระสุนปืน ขนาด .38 จำนวน 1 หัว จากการผ่าศพผู้ตายและยึดเศษหัวกระสุนปืน 2 ชิ้น จากที่เกิดเหตุเป็นของกลาง ต่อมาพนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาตกับข้อหาฆ่าผู้อื่น จำเลยให้การปฏิเสธ สำหรับข้อหาพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โจทก์และจำเลยไม่อุทธรณ์เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า เหตุที่กระสุนปืนจากอาวุธปืนที่จำเลยถืออยู่ในมือลั่นขึ้น 2 นัด ไปถูกบริเวณหน้าอกและหน้าท้องของผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เกิดจากจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุหรือเป็นเรื่องกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้น โจทก์มีนายหลงรัก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุเป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 15 นาฬิกา ขณะที่พยานกำลังล้างรถยนต์อยู่บริเวณข้างบ้านที่เกิดเหตุ จำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้ามาจอดหน้าบ้านและได้ยินเสียงดังคล้ายคนกำลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน จากนั้นพยานเห็นผู้ตายถือท่อนไม้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.2 นิ้ว ยาวประมาณ 1 เมตร วิ่งเข้ามาหาจำเลย โดยมีนายนำโชค วิ่งตามหลังผู้ตายเข้ามาในที่เกิดเหตุ ขณะนั้นจำเลยถืออาวุธปืนพกสั้นอยู่ในมือขวาพูดกับผู้ตายว่า อย่าวิ่งเข้ามานะ ถ้าเข้ามากูจะยิง ผู้ตายตอบกลับไปว่า ถ้าจะยิงก็ยิงเลยและยังคงวิ่งเข้าไปยังตำแหน่งที่จำเลยยืนอยู่ พยานเห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่ผู้ตาย 1 นัด แต่ผู้ตายยังคงวิ่งเข้าไปหาจำเลยเกิดการต่อสู้ในลักษณะกอดปล้ำกันเพื่อยื้อแย่งอาวุธปืนจากมือของจำเลย ระหว่างนั้นพยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ผู้ตายล้มลงที่พื้นแต่ยังไม่ถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุ จากนั้นภริยาผู้ตายเข้ามาในที่เกิดเหตุนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล นายนำโชค หลานผู้ตายเป็นพยานเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุพยานถูกบุตรชายของจำเลยชื่อนายเจมส์ด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายที่ร้านขายของชำซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน โดยพยานไม่ทราบสาเหตุและไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน เมื่อพยานกลับถึงบ้านของผู้ตาย ขณะกำลังนั่งอยู่กับผู้ตายที่บริเวณหน้าบ้านเห็นจำเลยและนายเจมส์บุตรชายจำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้ามาจอดหน้าบ้านที่เกิดเหตุ ผู้ตายวิ่งออกจากบ้านเข้าไปหาจำเลย เกิดการชกต่อยกันระหว่างผู้ตายกับจำเลย จากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 2 นัด เล็งยิงไปทางนายหลงรักและพยานอีกคนละ 2 นัด แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด หลังเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุ นางสาวโสรยา ภริยาผู้ตายเป็นพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 15 ถึง 16 นาฬิกา ขณะที่พยานนั่งอยู่กับผู้ตายที่บริเวณหน้าบ้าน นายนำโชคซึ่งกลับมาจากซื้อของที่ร้านขายของชำเล่าเรื่องที่ถูกนายเจมส์บุตรชายจำเลยด่าว่าและถ่มน้ำลายใส่ที่ร้านขายของชำให้ผู้ตายทราบ สักครู่พยานเห็นนายเจมส์ขับรถจักรยานยนต์ผ่านเข้ามาแล้วขับออกไป จากนั้นประมาณ 5 นาที เห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุและได้ยินจำเลยพูดกับนายหลงรักซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านว่าให้เรียกผู้ตายออกมาพูดคุยว่ามีปัญหาใดกับนายเจมส์บุตรชายจำเลย พยานจึงบอกผู้ตายให้ออกไปคุยกับจำเลย ผู้ตายเดินออกจากบ้านไปหาจำเลยโดยไม่ได้ถืออาวุธใด ๆ โดยมีนายนำโชคและญาติประมาณ 3 ถึง 4 คน เดินตามผู้ตายออกไป ขณะนั้นพยานเห็นจำเลยชักอาวุธปืนออกมายิงผู้ตาย 3 นัด โดยไม่มีการพูดคุยกันแต่อย่างใด ผู้ตายล้มลงพยานเข้าไปกอดผู้ตายไว้แล้วถามจำเลยว่า ยิงผู้ตายทำไม จำเลยพูดกับพยานว่า อย่าเข้ามา ถ้าเข้ามากูจะยิงมึงด้วย แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนจ่อมายังลำตัวของพยานแล้วเหนี่ยวไกแต่กระสุนปืนไม่ลั่นจากนั้นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ โจทก์ยังมีพันตำรวจโทปนินทร พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชุมพรเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้สอบปากคำพยานทั้งสามปากไว้ แต่เมื่อพิจารณาคำให้การของพยานทั้งสามปากในชั้นสอบสวนกับที่พยานเบิกความในชั้นพิจารณาแล้ว มีข้อเท็จจริงที่แตกต่างและขัดแย้งกัน ซึ่งบันทึกคำให้การของนายหลงรัก นายนำโชคและนางสาวโสรยาในชั้นสอบสวนที่พยานให้การไว้เมื่อวันที่ 19 และ 20 สิงหาคม 2559 ได้ความตรงกันว่า ขณะที่ผู้ตายเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์มาจอดบริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุ ผู้ตายหยิบท่อนไม้ซึ่งวางอยู่บริเวณหน้าบ้านของผู้ตายแล้ววิ่งเข้าไปหาจำเลย เมื่อใกล้ถึงตำแหน่งที่จำเลยยืนอยู่ จำเลยพูดกับผู้ตายว่า อย่าเข้ามา ถ้าเข้ามากูยิงจริง ๆ แต่ผู้ตายก็ยังคงวิ่งเข้าไปหาจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไปทางอื่น 1 นัด กระสุนปืนไม่ถูกบุคคลใดเพื่อขู่ผู้ตายให้หยุด จากนั้นผู้ตายยังคงวิ่งเข้าหาจำเลยแล้วยื้อแย่งอาวุธปืนจากมือของจำเลยในลักษณะกอดปล้ำจนจำเลยและผู้ตายล้มลงที่พื้น นายนำโชคและนายหลงรักพยายามห้ามปรามจำเลยและผู้ตายไม่ให้ทะเลาะต่อสู้กัน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ผู้ตายหยุดต่อสู้กับจำเลย จากนั้นจำเลยลุกขึ้นยืนแต่ยังคงถืออาวุธปืนในมือ นางสาวโสรยาวิ่งมาในที่เกิดเหตุเข้ากอดร่างของผู้ตายแล้วถามจำเลยว่า ทำไมต้องยิงผู้ตาย จำเลยตอบว่า ไม่ได้ตั้งใจปืนมันลั่น ซึ่งคำให้การของนายหลงรัก นายนำโชค และนางสาวโสรยานั้นได้กระทำหลังเกิดเหตุแทบจะทันทีทันใด โดยพยานทั้งสามไม่มีโอกาสคิดเสริมแต่งเรื่องที่เกิดขึ้น และพยานโจทก์ปากนายนำโชคและนางสาวโสรยาต่างเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ก่อนจะลงลายมือชื่อในเอกสารนั้น พยานได้ตรวจดูข้อความในเอกสารแล้วว่าถูกต้อง ส่วนนายหลงรักก็เบิกความตอบโจทก์ถามติงยืนยันว่า ข้อเท็จจริงในวันเกิดเหตุเป็นไปตามบันทึกคำให้การ เนื่องจากพยานให้การเป็นช่วงหลังเกิดเหตุในวันรุ่งขึ้นย่อมจำข้อเท็จจริงได้ดีกว่า ส่วนพันตำรวจโทปนินทรก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าก่อนที่พยานจะให้นายหลงรัก นายนำโชคและนางสาวโสรยา ลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การนั้น พยานได้อ่านข้อความในเอกสารดังกล่าวให้บุคคลดังกล่าวฟังแล้วและบุคคลทั้งสามก็ได้อ่านข้อความในเอกสารดังกล่าวก่อนด้วย จึงเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสามให้การไปตามความจริง อีกทั้งคำให้การของพยานทั้งสามปากยังสอดคล้องกับที่จำเลยให้การไว้ ซึ่งจำเลยให้การไว้ในวันเกิดเหตุนั่นเอง ดังนั้นการที่ผู้ตายวิ่งเข้ามาหาจำเลยโดยผู้ตายถือไม้ติดมือมาด้วย ระหว่างนั้นจำเลยพูดกับผู้ตายว่า อย่าเข้ามา ถ้าเข้ามากูยิง ผู้ตายก็พูดว่า ถ้ายิงก็ยิงเลย จากนั้นจำเลยได้ใช้อาวุธปืนที่ถืออยู่ในมือด้านขวายิงขู่ไปทางด้านซ้ายมือของบ้านที่เกิดเหตุจำนวน 1 นัด โดยกระสุนปืนไม่ถูกใครแต่ผู้ตายก็ยังไม่หยุดยังคงวิ่งเข้าไปหาจำเลยและกอดปล้ำกัน จากนั้น ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ซึ่งถ้าหากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยก็คงยิงผู้ตายตั้งแต่นัดแรกแล้ว แต่จำเลยก็ยิงไปในทิศทางอื่นเสมือนเป็นการที่จำเลยเอาอาวุธปืนออกมายิงขู่ผู้ตายเท่านั้น ส่วนการที่ขณะที่จำเลยกับผู้ตายกอดปล้ำกันอยู่มีเสียงปืนดังขึ้นอีก 2 นัดนั้น พยานโจทก์ต่างให้การว่าผู้ตายหยุดกอดปล้ำกับจำเลย ส่วนจำเลยลุกขึ้นยืนในมือยังคงมีอาวุธปืนถืออยู่ เมื่อนางสาวโสรยาวิ่งมาแล้วเข้าไปกอดผู้ตาย พร้อมกับถามจำเลยว่า ทำไมต้องยิงกันด้วย จำเลยพูดขึ้นว่า ไม่ได้ตั้งใจปืนมันลั่นซึ่งก็ตรงกับที่จำเลยให้การไว้ในบันทึกคำให้การผู้ต้องหา และในชั้นพิจารณาจำเลยก็เบิกความว่าปืนลั่น พยานโจทก์ในชั้นสอบสวนไม่มีผู้ใดให้การว่าเห็นจำเลยเล็งอาวุธปืนไปทางผู้ตายแล้วยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย รูปคดีมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าจำเลยทำปืนลั่นขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้ตายกอดปล้ำกันโดยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญ และทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า การกระทำซึ่งจะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเอาอาวุธปืนออกมายิงขู่ผู้ตายในนัดแรก และเมื่อกอดปล้ำกัน กระสุนปืนถูกผู้ตาย 2 นัด เป็นการทำปืนลั่นโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายไม่ใช่กระทำโดยเจตนา การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอทางลงโทษนั้น เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยพาอาวุธปืนไปยังบ้านที่เกิดเหตุโดยไม่มีเหตุสมควร จนเป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นกระสุนปืนถูกผู้ตายที่อวัยวะสำคัญ ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และได้ความจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยว่าหลังเกิดเหตุ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนของจำเลยจนได้รับบาดเจ็บแล้ว จำเลยก็ไม่ได้สนใจที่จะนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล จำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกจากที่เกิดเหตุไปเลย นับว่าจำเลยไม่มีมนุษยธรรมและไม่มีความสำนึกในการกระทำจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษแก่จำเลยนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น




เกี่ยวกับคดีอาญา

ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบากว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ลักทรัพย์โดยสุจริต, ความผิดลักทรัพย์ vs การเข้าใจผิด, คดีลักทรัพย์ในเครือญาติ,
การกระทำของจำเลยเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน, ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมาตรา 289 (4), โทษประหารชีวิตในคดีอาญา
ป.อ. มาตรา 54 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลง
ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่, การพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย, การฟ้องอั้งยี่และซ่องโจร
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร, อำนาจปกครองบิดามารดา
กระทำชำเราผู้เยาว์ในบ้านไม่ถือว่าแยกเด็กจากอำนาจปกครองดูแล
จำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี
ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปดูโทรทัศน์ที่บ้านของจำเลยเท่านั้น
การกระทำโดยพลาด
รอการลงโทษ,ให้การรับสารภาพ
ขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ-มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
รถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะซุกซ่อนและขนส่งบุหรี่ซิกาแรตในการกระทำความผิด
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้นสภาพความเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้เกิดขึ้นทันที
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ปฏิบัติหรือละเว้นตามมาตรา 157
การกระทำความผิดระหว่างผู้บุพการีต่อผู้สืบสันดานหรือผู้สืบสันดานต่อผู้บุพการี
พาไปเพื่อการอนาจาร -บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี
ความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์ขณะที่ผู้เสียหายป่วยทางจิต
รอการกำหนดโทษ | รอการลงโทษ | พรบ.ล้างมลทิน
เบิกความอันเป็นเท็จในศาล
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาใดไม่แน่ชัด
ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ-ป้องกันเกินกว่าเหตุ
บันดาลโทสะเพราะเหตุยั่วยุให้โมโห
หมิ่นประมาท | เข้าใจโดยสุจริต
ความผิดฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้
เป็นอันตรายแก่จิตใจ - ใช้ยาสลบใส่กาแฟ
บันดาลโทสะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง
หมิ่นประมาท | หนังสือพิมพ์ลงพิมพ์โฆษณา
วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนต้องห้ามฎีกา
ผู้เสียหายด่าจำเลย(บิดา)หยาบคายกรณีจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
เจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร
การริบทรัพย์สิน | ใช้ในการกระทำความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คำว่า-วิชาชีพ-ในคดีอาญา
หลบหนีไปจากความควบคุมตามอำนาจของพนักงานสอบสวน
สเปรย์พริกไทยไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร | รับส่งเด็กนักเรียน
ลักทรัพย์ในสถานที่บูชาสาธารณะ
กระทำอนาจารต่อศิษย์นอกเวลาเรียน
ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ยังคงเป็นป่าตาม พ.ร.บ. ป่าไม้
เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต
ลงลายมือชื่อรับรองคนต่างด้าว 7 คน
ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อาญา มาตรา 188
ผู้สนับสนุนให้จำเลยกระทำความผิด
ทวงหนี้ลักษณะข่มขู่ว่าไม่จ่ายจะเดือดร้อนจำคุก 3 ปี
การทำนากุ้งไม่ใช่การประกอบอาชีพกสิกรรม
ลักทรัพย์นายจ้าง, ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
การจับกุมมิชอบกับการฟ้องคดีอาญา
คำขอในส่วนแพ่งเนื่องความผิดอาญา
แม้ผู้ตายยิงจำเลยก่อนอ้างเหตุป้องกันตัวไม่ได้
ทำร้ายร่างกายกับการป้องกันตัว
พรากเด็กต่ำ15 ปี ไปเพื่อการอนาจารจำคุก 5 ปี
ซื้อเสียงเลือกตั้งไม่รอลงอาญา
ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบ
การเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
กระทำชำเราต่างวันต่างเวลาและต่างสถานที่ผิดหลายกรรม
เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล
การพรากเด็กไม่ว่าเด็กจะออกจากบ้านเองก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมและฐานฉ้อโกง
พิพากษาจำคุกจำเลยศาลฎีกายกฟ้องเพราะคำฟ้องไม่ได้ลงชื่อ
หมิ่นประมาทกับดูหมิ่นซึ่งหน้า-ความผิดอาญามีโทษหนักเบาแตกต่างกัน
พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต
บันดาลโทสะหรือพยายามฆ่า
ความผิดอันยอมความได้ | คดีหมิ่นประมาท | ร้องทุกข์ภายในสามเดือน
พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
การสมรสในต่างประเทศระหว่างหญิงไทยกับหญิงไทย
การกระทำชำเราที่ไม่ต้องรับโทษ
การสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายอิสลามจำเลยไม่ต้องรับโทษ
ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยไม่มีอำนาจสอบสวนไม่มีอำนาจฟ้อง
ให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราถูกจำคุก 48 เดือน
ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ก่อนคดีถึงที่สุดคดีอาญาระงับ
บุตรติดมารดาไม่อยู่ในความปกครองของบิดาเลี้ยง
การชวนเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีเข้าไปในห้องนอนไม่ผิดพรากผู้เยาว์
กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีจำคุก 50 ปี
การนับอายุความคดีความผิดอันยอมความได้
ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากในฟ้อง
ปลัดกระทรวงไม่มีอำนาจสั่งย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งป่าไม้จังหวัด
จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่
การสนทนาผ่านเมสเซนเจอร์ไม่เป็นการกล่าวไขข่าวให้แพร่หลาย
ภยันตรายจากการประทุษร้ายที่จะใช้อ้างเพื่อการป้องกันสิทธิ
ฟ้องข้อหาค้ามนุษย์ บังคับใช้แรงงาน
กระทำชำเราเด็กและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปีจำคุก 48 ปี
"อนาจาร" มีความหมายว่า การกระทำที่ไม่สมควรทางเพศ
พาเด็กหญิงจากที่เปิดเผยเข้าไปในจุดลับตาผู้คน
จำเลยเป็นบุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขายทองเงินผ่อนอำพรางการให้กู้ยืมเงินดอกเบี้ย318%ต่อปี
ศาลฎีกาพิพากษาให้รอการกำหนดโทษจำเลยรอการชำระเงิน
มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแต่จำเลยหลบหนีขาดอายุความอย่างไร
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร,เต็มใจไปด้วย
ขู่เข็ญให้จ่ายเงิน มิฉะนั้นเปิดเผยความลับวีดีโอ-ความสัมพันธ์ทางเพศ รีดเอาทรัพย์
ความผิดตามมาตรา 149 บทเฉพาะและมาตรา 157 บททั่วไป
ลักทรัพย์นายจ้าง ปลอมเอกสารสิทธิ การกระทำกรรมเดียว
ศาลยุติธรรมย่อมไม่มีอำนาจเหนือศาลทหาร
พนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ล่วงละเมิดอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครอง
งดเว้นไม่ให้ความช่วยเหลือเล็งเห็นผลว่าอาจถึงแก่ความตายเป็นพยายามฆ่า
ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา