
| วิเคราะห์การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ (ฎีกา 1951/2567)
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท ต่อมาทั้งสองฝ่ายทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยอยู่ใช้พื้นที่ต่ออีก 13 เดือน แต่จำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามสัญญา ศาลวินิจฉัยว่า การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา ถือเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ และโจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีโดยทันที สรุปข้อเท็จจริง • โจทก์ฟ้องจำเลยและบริวารให้ขับไล่ออกจากที่ดินพิพาท พร้อมให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วย • จำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ได้แก่ สถานีบริการน้ำมันและแก๊ส และอาคารพักพนักงาน 2 ชั้น ฯลฯ ได้ขออนุญาตและปลูกสร้างเอง • โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2562 โดยข้อ 1 ระบุให้จำเลยใช้พื้นที่ต่ออีก 13 เดือน (ถึงวันที่ 17 มกราคม 2564 เวลา 24 นาฬิกา) และข้อ 3 ระบุว่า หากครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ออกจากพื้นที่ตามคำฟ้อง โจทก์มีสิทธิบังคับคดีทันที และจำเลยจ่ายค่าเสียหายในอัตรา เดือนละ 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี • จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามคำฟ้องภายในกำหนดเวลา แต่ ไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ได้แก่ ถังเก็บน้ำมัน ถังแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน • วันที่ 18 มกราคม 2564 โจทก์ขอศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ขับไล่จำเลยและให้ขนย้ายทรัพย์สิน • จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายบังคับคดีและงดการบังคับคดีไว้ก่อน แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง • ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือ เพิกถอนหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้น • โจทก์ได้อนุญาตฎีกาเพื่อยื่นฎีกาต่อ สำนักงานศาลฎีกา • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุให้รื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินโดยตรง แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์จำเลย ณ เวลาทำสัญญาและเมื่อครบกำหนดจำเลยยังมิได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไป ถือว่าเป็นการผิดสัญญายอมความ และโจทก์มีสิทธิบังคับคดีทันที 🔹 กฎหมายหลักที่ศาลใช้ในการอธิบายและวินิจฉัย 1. มาตรา 355 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง → ให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอน ขนย้ายทรัพย์สิน หรือปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ เมื่อมีคำสั่งศาลหรือคำพิพากษาถึงที่สุด 💡 เป็นบทกฎหมายที่ศาลใช้รองรับสิทธิของโจทก์ในการบังคับคดี หลังจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดิน 2. มาตรา 274 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง → กำหนดอายุสิทธิในการบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่คำพิพากษาถึงที่สุด 💡 ศาลยืนยันว่าโจทก์ยังอยู่ในระยะเวลาที่ชอบด้วยกฎหมายในการขอบังคับคดีตามสัญญายอมความ 3. หลักกฎหมายแพ่งเรื่อง “สัญญาประนีประนอมยอมความ” (ป.พ.พ. มาตรา 850 และ 851) → ถือเป็นนิติกรรมยุติข้อพิพาทและมีผลบังคับเสมือนคำพิพากษา 💡 แม้ไม่ได้ระบุในสัญญาว่าต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แต่เมื่อเจตนาและพฤติการณ์ชัด ศาลถือว่ามีหน้าที่ดังกล่าวโดยนัย 🔸 5 ข้อความสำคัญ (Key Legal Concepts) พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ 1. “การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ” 👉 สัญญายอมความที่ศาลรับรองมีผลเท่าคำพิพากษา หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติอีกฝ่ายสามารถบังคับคดีได้ทันที เป็นหัวใจของคดีนี้ที่ศาลวางหลักการให้ชัดเจน 2. “การตีความเจตนาคู่สัญญา” 👉 แม้สัญญาไม่ได้ระบุคำว่า “รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” แต่เจตนาและคำฟ้องแสดงชัดว่าต้องขนย้ายทรัพย์สินออกทั้งหมด ศาลยึดพฤติการณ์และเจตนาเหนือข้อความในสัญญา 3. “สิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา” 👉 เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับคดีได้ โดยไม่ต้องแก้ไขหมายบังคับคดีใหม่ สะท้อนหลักตามมาตรา 355 ป.วิ.พ. 4. “การผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ” 👉 แม้จำเลยออกจากที่ดินแล้ว แต่ไม่ขนย้ายทรัพย์สิน ถือว่าผิดสัญญา เพราะการออกจากพื้นที่หมายรวมถึงการรื้อถอนทรัพย์สินของตนด้วย เป็นจุดชี้ขาดของคดีที่ทำให้โจทก์บังคับคดีได้ 5. “พฤติการณ์แห่งคดีสำคัญต่อการตีความสัญญา” 👉 ศาลย้ำว่าการตีความต้องดูพฤติการณ์ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะถ้อยคำในสัญญา — เมื่อเห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายมีเจตนาให้ขนย้ายทรัพย์สินออก ศาลจึงถือว่ามีหน้าที่ต้องรื้อถอน หลักนี้ขยายแนวทางการตีความสัญญายอมความให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในข้อเท็จจริง สรุปสั้นที่สุด: แก่นของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2567 คือ “สิทธิของโจทก์ในการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้สัญญาไม่ระบุรายละเอียดการรื้อถอน แต่พฤติการณ์และเจตนาของคู่สัญญาชัดเจนว่าจำเลยต้องขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดิน” IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) 1 Issue (ประเด็นปัญหา) • จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เมื่อออกจากที่ดินตามสัญญาแต่ ไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามที่โจทก์ขอในคำฟ้องและตามเจตนาของสัญญา? • โจทก์มีสิทธิที่จะ ขอออกหมายบังคับคดี เพื่อบังคับให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ โดยอาศัยบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 355 และมาตรา 274? 2 Rule (บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง) • มาตรา 355 ป.วิ.พ. – ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีสามารถดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลที่ถึงที่สุดได้ รวมทั้งการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือขนย้ายทรัพย์สินตามคำสั่งของศาล • มาตรา 274 ป.วิ.พ. – ระบุว่าการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลสิ้นสุดเด็ดขาดได้เมื่อพ้นระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด (ในกรณีทั่วไป) • หลักการทั่วไป: เมื่อคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้ผู้ถูกฟ้องปฏิบัติตามข้อ สัญญา หากไม่ปฏิบัติ ถือเป็นการผิดสัญญาเชิงหนี้ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ • ผู้ฟ้องมีสิทธิบังคับคดีทันทีเมื่อฝ่ายตรงข้ามผิดสัญญายอมความตามกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นๆ 3 Application (การประยุกต์ใช้ในคดีนี้) • ในกรณีนี้ ทั้งโจทก์และจำเลยตกลงสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยใช้พื้นที่อีก 13 เดือน ต่อจากนั้นให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไป ทั้งนี้ สัญญาไม่ได้ระบุชัดเจนถึง “การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” หรือ “ถังแก๊สใต้ดิน/ถังน้ำมันใต้ดิน” แต่พฤติการณ์แวดล้อมชี้ว่า จำเลยต้องการย้ายทรัพย์สินของตนออกไป และโจทก์ต้องการให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วย • เมื่อครบ 13 เดือน จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามคำฟ้อง แต่ ยังคงทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างไว้ ซึ่งตามเจตนาและสัญญา รวมถึงคำฟ้อง คือ ต้อง “ขนย้ายทรัพย์สินออก” และที่จริงโจทก์ได้ขอเป็นพิเศษในคำร้องให้หมายบังคับคดีว่า “ให้จำเลยรื้อถอนถังแก๊สใต้ดิน ถังน้ำมันใต้ดิน สิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดิน” • ศาลฎีกามองว่า ถึงแม้สัญญาไม่ระบุคำว่า “รื้อถอน” แต่เมื่อพิจารณารวมกับเจตนาของคู่สัญญาและคำฟ้อง รวมถึงข้อ 3 ที่กล่าวว่า หากพ้นกำหนดจำเลยไม่ออกไป โจทก์มีสิทธิบังคับคดีทันที จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย • การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ในสัญญา ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ และโจทก์จึงสามารถออกหมายบังคับคดีตามมาตรา 355 ป.วิ.พ. ได้โดยทันที • ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้เพิกถอนหมายบังคับคดี แต่ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย และกลับคำพิพากษาอุทธรณ์ให้ยกคำร้องของจำเลย 2.4 Conclusion (บทสรุป) ศาลฎีกาตัดสินว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เนื่องจากแม้จะออกจากที่ดินตามคำฟ้องแก่กำหนดเวลาแล้ว แต่ ไม่ขนย้ายทรัพย์สินหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้เป็นไปตามเจตนาและสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลได้ทันที โดยศาลฎีกายกคำร้องของจำเลยและให้โจทก์ดำเนินการบังคับคดีต่อได้ ขยายความประเด็นทางกฎหมาย 1 สัญญาประนีประนอมยอมความกับหน้าที่ในการปฏิบัติ สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นนิติกรรมที่คู่ความตกลงยุติข้อพิพาทต่อกัน โดยอาจมีลักษณะให้ฝ่ายหนึ่งใช้พื้นที่ต่ออีกช่วงเวลา และให้ปฏิบัติหน้าที่บางประการ (เช่น ขนย้ายทรัพย์สิน) เมื่อครบกำหนดฝ่ายนั้นไม่ปฏิบัติตาม ถือว่าเป็นละเมิดสัญญา → ฝ่ายที่ได้รับยินยอมมีสิทธิบังคับตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2 บังคับคดีตามคำพิพากษา/คำสั่งของศาล ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 355 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจบังคับให้ฝ่ายที่ถูกคำพิพากษาหรือคำสั่งปฏิบัติตามข้อ คำพิพากษา/คำสั่ง อาทิ ขับไล่ ขนย้ายทรัพย์สิน รื้อถอนอาคาร เป็นต้น มาตรา 274 กำหนดว่า สิทธิในการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลสิ้นสุดเมื่อพ้นเวลา 10 ปีนับตั้งแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด (ยกเว้นบทบัญญัติอื่น) 3 เจตนาของคู่สัญญาและพฤติการณ์ในสัญญา แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความของคดีนี้ จะไม่ระบุชัดว่า “รื้อถอนอาคาร” หรือ “ขนย้ายถังแก๊ส / ถังน้ำมัน” แต่เมื่อพิจารณารวมกับคำฟ้องที่ขอให้ขับไล่และขนย้ายทรัพย์สินออก และพฤติการณ์ที่จำเลยทราบเจตนาจะย้ายทรัพย์สิน จึงถือว่า “ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” เป็น “หน้าที่โดยนัย” ตามสัญญา ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าความไม่ขนย้ายทรัพย์สินและไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ถือเป็นการละเมิดสัญญา และโจทก์มีสิทธิบังคับคดีทันที 4 ผลทางปฏิบัติของการไม่ระบุในสัญญาแต่พฤติการณ์ยืนยันหน้าที่ คดีนี้สั่งสอนว่า แม้สัญญาจะไม่ระบุคำว่า “รื้อถอน” แต่หากพฤติการณ์และคำฟ้องบ่งชัดเจนว่า ฝ่ายหนึ่งต้องย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำฟ้องของอีกฝ่าย หรือเจตนาเห็นได้ชัด ก็ถือว่ามีหน้าที่นั้น ทำให้เมื่อฝ่ายที่ถูกสัญญาไม่ทำ จึงนับว่าเป็นการผิดสัญญา นอกจากนี้ ฝ่ายผู้ร้องสามารถบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ทันทีตามมาตรา 355 ม. 274 โดยไม่จำต้องรอจนครบ 10 ปี หากการบังคับคดีเป็นไปตามเงื่อนไข 3.5 ระยะเวลาในการบังคับคดี ในคดีนี้ การบังคับคดีเกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสมควร (หลังครบ 13 เดือน) จึงไม่ถึงปัญหาว่าหมดอายุสิทธิที่จะบังคับแล้วตามมาตรา 274 ทั้งนี้ ผู้ที่จะบังคับคดีควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุดแล้วและอยู่ในระยะเวลาบังคับคดีไม่เกิน 10 ปี (ในกรณีทั่วไป) 6 ความสำคัญต่อแนวปฏิบัติทางคดี • สัญญาประนีประนอมยอมความแม้จะ “ยืดเวลา” ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้พื้นที่ต่อ แต่เมื่อครบกำหนดแล้วยังไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่เจตนาไว้ เช่น ขนย้ายทรัพย์สิน รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ฝ่ายที่ได้รับยินยอมมีสิทธิเรียกร้องให้บังคับคดีทันที • ฝ่ายที่ถูกคำพิพากษาหรือคำสั่งต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน และหากไม่ปฏิบัติ ฝ่ายโจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามบทบัญญัติของวิธีพิจารณาความแพ่ง • แม้สัญญาไม่ได้ระบุคำว่า “รื้อถอน” อย่างชัดเจน แต่พฤติการณ์และเจตนาของคู่สัญญาเป็นหลักสำคัญในการตีความว่ามีหน้าที่ดังกล่าวหรือไม่ • เจ้าหนี้ควรตรวจสอบว่าเป็นการ “บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง” และไม่ขาดอายุสิทธิ — โดยเฉพาะระยะเวลา 10 ปีตามมาตรา 274 สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • เมื่อคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเจตนาสัญญา แม้สัญญาอาจไม่ระบุทุกกระบวนการ เช่น การรื้อถอน แต่หากพฤติการณ์ชัดเจนว่าเจตนาให้ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ฝ่ายที่ตกลงเช่นนั้นต้องปฏิบัติ • เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลมีสิทธิบังคับคดีทันที เมื่อผู้ถูกคำพิพากษาหรือคำสั่งผิดสัญญาหรือผิดข้อคำพิพากษา โดยอาศัยบทบัญญัติของมาตรา 355 ป.วิ.พ. • ระยะเวลาในการบังคับคดีเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย — เจ้าหนี้ควรดำเนินการภายในระยะเวลา 10 ปีตามมาตรา 274 (ในกรณีทั่วไป) เพื่อป้องกันข้อจำกัดสิทธิ • แนววินิจฉัยของศาลฎีกาสะท้อนว่า “เจตนาของคู่สัญญา” และ “พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นจริง” มีความสำคัญเทียบเท่ากับข้อความในสัญญา — หากพฤติการณ์บ่งชี้ว่ามีหน้าที่ขนย้ายหรือรื้อถอน ผู้ถูกสัญญาก็ต้องปฏิบัติตาม 🟩 คำถามที่ 1 โจทก์จะมีสิทธิบังคับคดีได้หรือไม่ หากจำเลยออกจากที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แต่ยังคงทิ้งทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง เช่น ถังน้ำมันใต้ดินและถังแก๊สแอลพีจีไว้โดยไม่ได้ขนย้ายออก ทั้งที่สัญญาไม่ได้ระบุไว้โดยชัดเจนว่าต้องรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินดังกล่าวออกจากที่ดิน? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่ความทำไว้จะไม่ได้ระบุถ้อยคำโดยตรงว่า “จำเลยต้องรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินของตนออกจากที่ดินพิพาท” แต่เมื่อพิจารณาจาก พฤติการณ์แห่งคดีและเจตนาของคู่สัญญา จะเห็นได้ว่า ขณะทำสัญญานั้น จำเลยย่อมมีความประสงค์จะย้ายทรัพย์สินของตนออกจากที่ดินพิพาทหลังครบกำหนดเวลา และโจทก์เองก็ประสงค์ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมทรัพย์สินของตนด้วย เมื่อครบกำหนด 13 เดือน จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามคำฟ้อง แต่ยังทิ้งถังน้ำมันใต้ดิน ถังแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างไว้ โดยไม่ได้ขนย้ายออก การกระทำเช่นนี้จึงถือว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยครบถ้วน เพราะการ “ออกจากพื้นที่ตามคำฟ้อง” ย่อมหมายรวมถึงการ “ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่” ด้วยตามเจตนาและพฤติการณ์แห่งสัญญา ดังนั้น โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายอมความจึงมีสิทธิบังคับคดีได้ตาม มาตรา 355 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินได้โดยให้จำเลยเป็นผู้รับผิดในค่าใช้จ่าย และไม่จำเป็นต้องแก้ไขหรือออกหมายบังคับคดีใหม่อีก สรุป: แม้ไม่มีข้อความชัดในสัญญา แต่เมื่อเจตนาและพฤติการณ์สื่อให้เห็นว่า ต้องขนย้ายทรัพย์สินออก ศาลถือว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องกระทำ และการไม่ปฏิบัติถือเป็นการผิดสัญญายอมความ โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีได้โดยชอบ 🟩 คำถามที่ 2 เมื่อจำเลยออกจากที่ดินตามสัญญายอมความแล้ว แต่ยังไม่ขนย้ายทรัพย์สินออก โจทก์สามารถขอบังคับคดีได้ภายในระยะเวลาเท่าใด และต้องอาศัยบทกฎหมายใดเป็นหลักในการดำเนินการ? คำตอบ: ในกรณีนี้ โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล โดยศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยอยู่ใช้พื้นที่ต่ออีก 13 เดือน และระบุในข้อ 3 ของสัญญาว่า “หากครบกำหนด 13 เดือนแล้ว จำเลยไม่ออกไปจากพื้นที่ตามคำฟ้อง โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ทันที” เมื่อครบกำหนดเวลา จำเลยและบริวารออกจากที่ดินแต่ยังทิ้งทรัพย์สินไว้ โจทก์จึงยื่นขอบังคับคดี ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิบังคับคดีของโจทก์เป็นสิทธิที่เกิดจากคำพิพากษาตามยอม ซึ่งมีผลเท่ากับคำพิพากษาถึงที่สุด การดำเนินการบังคับคดีดังกล่าวต้องเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 ที่กำหนดให้คู่ความหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด ในกรณีนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอบังคับคดีภายในไม่กี่วันหลังครบกำหนด 13 เดือน จึงอยู่ภายในระยะเวลา 10 ปีที่กฎหมายกำหนดอย่างแน่นอน การยื่นคำร้องดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการหมดอายุสิทธิบังคับคดี สรุป: สิทธิบังคับคดีของโจทก์ในคดีนี้อยู่ภายใต้กรอบของ มาตรา 274 ป.วิ.พ. ซึ่งกำหนดระยะเวลา 10 ปีในการร้องขอบังคับคดี และเมื่อโจทก์ดำเนินการภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ตามกฎหมาย 🔸 สรุปภาพรวมทั้งสองประเด็น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2567 จึงวางหลักสำคัญไว้ 2 ประการคือ 1. แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่ได้ระบุถ้อยคำให้รื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สิน แต่หากพฤติการณ์และเจตนาคู่สัญญาชัดเจน ศาลถือว่ามีหน้าที่โดยนัย และหากไม่ปฏิบัติถือว่าผิดสัญญา 2. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับคดีได้ภายในระยะเวลา 10 ปี ตามมาตรา 274 ป.วิ.พ. และสามารถใช้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินได้ตามมาตรา 355 ป.วิ.พ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2567 โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง อ้างว่าสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน คือสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและแก๊ส รวมทั้งอาคารพักพนักงานจำนวน 2 ชั้น ฯลฯ จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยเป็นผู้ขออนุญาตและปลูกสร้างเอง การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยอยู่ในที่ดินอีก 13 เดือน แม้ไม่ได้ระบุถึงกรณีให้รื้อถอนหรือขนย้ายถังแก๊สใต้ดิน ถังน้ำมันใต้ดิน และอื่น ๆ ไว้ด้วยก็ตาม แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้ตกลงให้ทรัพย์สินของจำเลยบนที่ดินพิพาทตกเป็นของโจทก์ ไม่มีเหตุที่โจทก์จะเก็บถังน้ำมัน ถังเก็บแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้ ตามพฤติการณ์แห่งคดี เห็นได้ว่า ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยต้องการย้ายทรัพย์สินของตนออกจากที่ดินพิพาท และโจทก์ต้องการให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากที่ดินเช่นกัน เมื่อจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทจึงเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์บังคับคดีได้ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร พร้อมให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม โดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 ระบุว่า หากพ้นกำหนด 13 เดือนแล้ว จำเลยไม่ออกไปจากพื้นที่ตามคำฟ้องของโจทก์ ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที หลังจากนั้นจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้องภายในกำหนดเวลาตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมโดยไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วย วันที่ 18 มกราคม 2564 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี หมายบังคับคดี และงดการบังคับคดีไว้ก่อน โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นไต่ส่วนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ออกหมายบังคับคดีให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติฟังได้ว่า เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร พร้อมให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2562 โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม โดยสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 ระบุว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยใช้พื้นที่ตามคำฟ้องของโจทก์ต่อไป 13 เดือน ครบกำหนดในวันที่ 17 มกราคม 2564 เวลา 24 นาฬิกา... และสัญญาข้อ 3 ระบุว่า หากพ้นกำหนด 13 เดือนแล้ว จำเลยไม่ออกไปจากพื้นที่ตามคำฟ้องของโจทก์ ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์ เมื่อครบกำหนดตามสัญญา วันที่ 17 มกราคม 2564 จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้องที่พิพาทโดยไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วย วันที่ 18 มกราคม 2564 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามขอ วันที่ 22 มกราคม 2564 โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมหมายบังคับคดีเนื่องจากจำเลยไม่ได้รื้อถอนถังเก็บน้ำมันและถังเก็บแก๊สแอลพีจี ขอให้แก้ไขจากเดิม "ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท" เป็น "ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยรื้อถอนถังน้ำมัน ถังเก็บแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท หากจำเลยไม่รื้อถอน ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย และให้โจทก์ยึดทรัพย์สินของจำเลยมาชดใช้ค่ารื้อถอน และค่าจัดเก็บทรัพย์สินดังกล่าวด้วย" ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า "คดีนี้เป็นการบังคับคดีในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องขนย้ายทรัพย์สิน หรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถดำเนินการบังคับคดีโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งมีอำนาจอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 355 กรณีไม่จำต้องแก้ไขเพิ่มเติมหมายบังคับคดี ยกคำร้อง" วันที่ 21 มกราคม 2564 จำเลยยื่นคำแถลงว่าจำเลยพร้อมบริวารได้ออกจากที่ดินพิพาทแล้วตั้งแต่คืนวันที่ 17 มกราคม 2564 และส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่า เดิมจำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากนายสมใจรัก ต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากที่ประชุมเจ้าหนี้ของนายสมใจรัก ในคดีล้มละลาย ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วยแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และอ้างตามคำให้การข้อ 5 ว่า สิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน คือสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและแก๊ส รวมทั้งอาคารพักพนักงานจำนวน 2 ชั้น ฯลฯ จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยเป็นผู้ขออนุญาตและปลูกสร้างเอง ต่อมาโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยอยู่ในที่ดินอีก 13 เดือน คิดค่าเช่าเดือนละ 85,000 บาท เพียง 12 เดือน ไม่ปรากฏว่าโจทก์ประสงค์จะประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันต่อจากจำเลย แม้โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้ระบุถึงกรณีให้รื้อถอนหรือขนย้ายถังแก๊สใต้ดิน ถังน้ำมันใต้ดิน และอื่น ๆ ไว้ด้วยก็ตาม แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้ตกลงให้ทรัพย์สินของจำเลยบนที่ดินพิพาทตกเป็นของโจทก์ ทั้งไม่มีเหตุที่โจทก์จะเก็บถังน้ำมัน ถังเก็บแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้ ทั้งจำเลยอ้างในคำให้การว่าทรัพย์สินบนที่ดินเป็นของจำเลย ตามพฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่า ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยต้องการย้ายทรัพย์สินของตนออกจากที่ดินพิพาท และโจทก์ต้องการให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากที่ดินเช่นกัน การที่จำเลยต้องออกไปจากพื้นที่ตามคำฟ้องโจทก์เมื่อครบกำหนดเวลา 13 เดือน ย่อมหมายความว่าจำเลยและบริวารต้องออกจากที่ดินพิพาท พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไปด้วย เมื่อจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทจึงเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์บังคับคดีได้ทันที ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง คดีที่ 1: คำพิพากษาศาลฎีกา 7330/2540 สาระย่อ: จำเลยก่อสร้างอาคารบนที่ดินของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้แก้ไขหรือปรับปรุงให้ถูกต้องตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น จนต้องมีคำสั่งให้ระงับและรื้อถอน อาคารดังกล่าวจึงถูกบังคับให้รื้อถอนโดยเจ้าพนักงานและศาลวินิจฉัยว่าการรื้อถอนนั้นเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว. จุดเปรียบเทียบกับคดี 1951/2567: – มีประเด็น “รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” เช่นเดียวกับคดี 1951/2567 ซึ่งจำเลยไม่ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง (ถังน้ำมัน ถังแก๊ส) – แต่ต่างคือ คดี 7330/2540 มิได้อยู่ในกรอบสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือมีข้อตกลงให้ใช้พื้นที่ต่อแล้วครบกำหนด 13 เดือน จึงไม่มีประเด็น “สัญญายอมความ” เหมือนคดี 1951/2567 – แต่สามารถใช้เปรียบเทียบ “อำนาจของเจ้าพนักงาน/ศาลในการสั่งรื้อถอน” กับคดี 1951/2567 ที่ใช้มาตรา 355 ป.วิ.พ. เป็นฐาน คดีที่ 2: คำพิพากษาศาลฎีกา 1131/2544 สาระย่อ: คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์ โดยคำพิพากษาระบุว่า “คำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาให้รื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตเป็นการให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ปรากฏอยู่ขณะยื่นฟ้อง … สิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ขณะฟ้องหรือเกิดขึ้นในอนาคตในระหว่างคดีจากการกระทำของจำเลยหรือที่จำเลยยินยอมให้กระทำขึ้น ย่อมต้องถูกบังคับให้รื้อถอนและขนย้ายด้วยเช่นกัน” จุดเปรียบเทียบกับคดี 1951/2567: – ทั้งสองคดีมีประเด็น “ขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำ/ค้างอยู่บนที่ดินของโจทก์” – โดยในคดี 1131/2544 แม้จะไม่ใช่สัญญายอมความ แต่มีการวินิจฉัยเรื่อง “แม้เกิดสิ่งปลูกสร้างในระหว่างคดี” ก็สามารถบังคับให้รื้อถอนได้ ซึ่งเฉพาะเจาะจงช่วยให้เข้าใจว่าคดี 1951/2567 ที่จำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินหลังครบกำหนดก็เข้าลักษณะเดียวกัน – ต่างคือ คดี 1951/2567 มี “สัญญาประนีประนอมยอมความ” และ “ระยะเวลา 13 เดือน” ส่วนคดี 1131/2544 ไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว คดีที่ 3: คำพิพากษาศาลฎีกา 5569/2555 สาระย่อ: จำเลยทั้งสิบก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต และรุกล้ำที่สาธารณะ ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยทั้งสิบต้องรับผิดร่วมกันในฐานะตัวการร่วม รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ผิดไปจากแบบแปลนหรือที่สาธารณะ. จุดเปรียบเทียบกับคดี 1951/2567: – ทั้งสองคดีมีประเด็น “สิ่งปลูกสร้างผิดไปจากสิทธิ/เงื่อนไขที่ได้รับ” (ในคดี 1951/2567 จำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ปลูกเอง แต่ไม่ขนย้ายทรัพย์สินหลังครบกำหนด) – ในคดี 5569/2555 ไม่มีสัญญายอมความหรือข้อตกลงให้ใช้พื้นที่ต่อแบบ 13 เดือน ดังนั้นไม่ตรงกับองค์ประกอบ “ยอมความ” ของคดี 1951/2567 – แต่เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบในแง่ “เมื่อสิ่งปลูกสร้างผิดเงื่อนไข/ข้อตกลง → จำเลยต้องรื้อถอน” |





.jpg)