ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




วิเคราะห์การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ (ฎีกา 1951/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1951/2567, สัญญาประนีประนอมยอมความที่ดิน, บังคับคดีตามคำพิพากษา ม. 355 ป.วิ.พ., ขับไล่จำเลย ขนย้ายทรัพย์สิน, สิ่งปลูกสร้างสถานีบริการน้ำมันแก๊ส, ถังน้ำมันใต้ดิน, ถังแก๊สแอลพีจี, สิทธิบังคับคดีเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา, ระยะเวลาบังคับคดี ม. 274 ป.วิ.พ., ที่ดินพิพาทเช่าซื้อ / เช่า, พฤติการณ์ผิดสัญญายอมความ, การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษา, การตกลงไม่ระบุรื้อถอนทรัพย์สินในสัญญา, สัญญาให้ใช้พื้นที่เพิ่มเติม 13 เดือน, วิเคราะห์ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์   ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท ต่อมาทั้งสองฝ่ายทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยอยู่ใช้พื้นที่ต่ออีก 13 เดือน แต่จำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามสัญญา ศาลวินิจฉัยว่า การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา ถือเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ และโจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีโดยทันที

สรุปข้อเท็จจริง

โจทก์ฟ้องจำเลยและบริวารให้ขับไล่ออกจากที่ดินพิพาท พร้อมให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วย

จำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ได้แก่ สถานีบริการน้ำมันและแก๊ส และอาคารพักพนักงาน 2 ชั้น ฯลฯ ได้ขออนุญาตและปลูกสร้างเอง

โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2562 โดยข้อ 1 ระบุให้จำเลยใช้พื้นที่ต่ออีก 13 เดือน (ถึงวันที่ 17 มกราคม 2564 เวลา 24 นาฬิกา) และข้อ 3 ระบุว่า หากครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ออกจากพื้นที่ตามคำฟ้อง โจทก์มีสิทธิบังคับคดีทันที และจำเลยจ่ายค่าเสียหายในอัตรา เดือนละ 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี

จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามคำฟ้องภายในกำหนดเวลา แต่ ไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ได้แก่ ถังเก็บน้ำมัน ถังแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน

วันที่ 18 มกราคม 2564 โจทก์ขอศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้ขับไล่จำเลยและให้ขนย้ายทรัพย์สิน

จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายบังคับคดีและงดการบังคับคดีไว้ก่อน แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง

ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือ เพิกถอนหมายบังคับคดีของศาลชั้นต้น

โจทก์ได้อนุญาตฎีกาเพื่อยื่นฎีกาต่อ สำนักงานศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุให้รื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินโดยตรง แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์จำเลย ณ เวลาทำสัญญาและเมื่อครบกำหนดจำเลยยังมิได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไป ถือว่าเป็นการผิดสัญญายอมความ และโจทก์มีสิทธิบังคับคดีทันที

🔹 กฎหมายหลักที่ศาลใช้ในการอธิบายและวินิจฉัย

1. มาตรา 355 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

→ ให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอน ขนย้ายทรัพย์สิน หรือปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ เมื่อมีคำสั่งศาลหรือคำพิพากษาถึงที่สุด

💡 เป็นบทกฎหมายที่ศาลใช้รองรับสิทธิของโจทก์ในการบังคับคดี หลังจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดิน

2. มาตรา 274 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

→ กำหนดอายุสิทธิในการบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่คำพิพากษาถึงที่สุด

💡 ศาลยืนยันว่าโจทก์ยังอยู่ในระยะเวลาที่ชอบด้วยกฎหมายในการขอบังคับคดีตามสัญญายอมความ

3. หลักกฎหมายแพ่งเรื่อง “สัญญาประนีประนอมยอมความ” (ป.พ.พ. มาตรา 850 และ 851)

→ ถือเป็นนิติกรรมยุติข้อพิพาทและมีผลบังคับเสมือนคำพิพากษา

💡 แม้ไม่ได้ระบุในสัญญาว่าต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แต่เมื่อเจตนาและพฤติการณ์ชัด ศาลถือว่ามีหน้าที่ดังกล่าวโดยนัย

🔸 5 ข้อความสำคัญ (Key Legal Concepts) พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ

1. “การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ”

👉 สัญญายอมความที่ศาลรับรองมีผลเท่าคำพิพากษา หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติอีกฝ่ายสามารถบังคับคดีได้ทันที

เป็นหัวใจของคดีนี้ที่ศาลวางหลักการให้ชัดเจน

2. “การตีความเจตนาคู่สัญญา”

👉 แม้สัญญาไม่ได้ระบุคำว่า “รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” แต่เจตนาและคำฟ้องแสดงชัดว่าต้องขนย้ายทรัพย์สินออกทั้งหมด

ศาลยึดพฤติการณ์และเจตนาเหนือข้อความในสัญญา

3. “สิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา”

👉 เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับคดีได้ โดยไม่ต้องแก้ไขหมายบังคับคดีใหม่

สะท้อนหลักตามมาตรา 355 ป.วิ.พ.

4. “การผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ”

👉 แม้จำเลยออกจากที่ดินแล้ว แต่ไม่ขนย้ายทรัพย์สิน ถือว่าผิดสัญญา เพราะการออกจากพื้นที่หมายรวมถึงการรื้อถอนทรัพย์สินของตนด้วย

เป็นจุดชี้ขาดของคดีที่ทำให้โจทก์บังคับคดีได้

5. “พฤติการณ์แห่งคดีสำคัญต่อการตีความสัญญา”

👉 ศาลย้ำว่าการตีความต้องดูพฤติการณ์ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะถ้อยคำในสัญญา — เมื่อเห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายมีเจตนาให้ขนย้ายทรัพย์สินออก ศาลจึงถือว่ามีหน้าที่ต้องรื้อถอน

หลักนี้ขยายแนวทางการตีความสัญญายอมความให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในข้อเท็จจริง

สรุปสั้นที่สุด:

แก่นของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2567 คือ “สิทธิของโจทก์ในการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้สัญญาไม่ระบุรายละเอียดการรื้อถอน แต่พฤติการณ์และเจตนาของคู่สัญญาชัดเจนว่าจำเลยต้องขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดิน”

IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion)

1 Issue (ประเด็นปัญหา)

จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เมื่อออกจากที่ดินตามสัญญาแต่ ไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามที่โจทก์ขอในคำฟ้องและตามเจตนาของสัญญา?

โจทก์มีสิทธิที่จะ ขอออกหมายบังคับคดี เพื่อบังคับให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือไม่ โดยอาศัยบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 355 และมาตรา 274?

2 Rule (บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

มาตรา 355 ป.วิ.พ. – ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีสามารถดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลที่ถึงที่สุดได้ รวมทั้งการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือขนย้ายทรัพย์สินตามคำสั่งของศาล

มาตรา 274 ป.วิ.พ. – ระบุว่าการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลสิ้นสุดเด็ดขาดได้เมื่อพ้นระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด (ในกรณีทั่วไป) 

หลักการทั่วไป: เมื่อคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้ผู้ถูกฟ้องปฏิบัติตามข้อ สัญญา หากไม่ปฏิบัติ ถือเป็นการผิดสัญญาเชิงหนี้ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ผู้ฟ้องมีสิทธิบังคับคดีทันทีเมื่อฝ่ายตรงข้ามผิดสัญญายอมความตามกรรมสิทธิ์หรือสิทธิอื่นๆ

3 Application (การประยุกต์ใช้ในคดีนี้)

ในกรณีนี้ ทั้งโจทก์และจำเลยตกลงสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยใช้พื้นที่อีก 13 เดือน ต่อจากนั้นให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไป ทั้งนี้ สัญญาไม่ได้ระบุชัดเจนถึง “การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” หรือ “ถังแก๊สใต้ดิน/ถังน้ำมันใต้ดิน” แต่พฤติการณ์แวดล้อมชี้ว่า จำเลยต้องการย้ายทรัพย์สินของตนออกไป และโจทก์ต้องการให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วย

เมื่อครบ 13 เดือน จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามคำฟ้อง แต่ ยังคงทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างไว้ ซึ่งตามเจตนาและสัญญา รวมถึงคำฟ้อง คือ ต้อง “ขนย้ายทรัพย์สินออก” และที่จริงโจทก์ได้ขอเป็นพิเศษในคำร้องให้หมายบังคับคดีว่า “ให้จำเลยรื้อถอนถังแก๊สใต้ดิน ถังน้ำมันใต้ดิน สิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดิน”

ศาลฎีกามองว่า ถึงแม้สัญญาไม่ระบุคำว่า “รื้อถอน” แต่เมื่อพิจารณารวมกับเจตนาของคู่สัญญาและคำฟ้อง รวมถึงข้อ 3 ที่กล่าวว่า หากพ้นกำหนดจำเลยไม่ออกไป โจทก์มีสิทธิบังคับคดีทันที จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย

การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ในสัญญา ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ และโจทก์จึงสามารถออกหมายบังคับคดีตามมาตรา 355 ป.วิ.พ. ได้โดยทันที

ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้เพิกถอนหมายบังคับคดี แต่ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย และกลับคำพิพากษาอุทธรณ์ให้ยกคำร้องของจำเลย

2.4 Conclusion (บทสรุป)

ศาลฎีกาตัดสินว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เนื่องจากแม้จะออกจากที่ดินตามคำฟ้องแก่กำหนดเวลาแล้ว แต่ ไม่ขนย้ายทรัพย์สินหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้เป็นไปตามเจตนาและสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลได้ทันที โดยศาลฎีกายกคำร้องของจำเลยและให้โจทก์ดำเนินการบังคับคดีต่อได้

ขยายความประเด็นทางกฎหมาย

1 สัญญาประนีประนอมยอมความกับหน้าที่ในการปฏิบัติ

สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นนิติกรรมที่คู่ความตกลงยุติข้อพิพาทต่อกัน โดยอาจมีลักษณะให้ฝ่ายหนึ่งใช้พื้นที่ต่ออีกช่วงเวลา และให้ปฏิบัติหน้าที่บางประการ (เช่น ขนย้ายทรัพย์สิน) เมื่อครบกำหนดฝ่ายนั้นไม่ปฏิบัติตาม ถือว่าเป็นละเมิดสัญญา → ฝ่ายที่ได้รับยินยอมมีสิทธิบังคับตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

2 บังคับคดีตามคำพิพากษา/คำสั่งของศาล

ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 355 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจบังคับให้ฝ่ายที่ถูกคำพิพากษาหรือคำสั่งปฏิบัติตามข้อ คำพิพากษา/คำสั่ง อาทิ ขับไล่ ขนย้ายทรัพย์สิน รื้อถอนอาคาร เป็นต้น

มาตรา 274 กำหนดว่า สิทธิในการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลสิ้นสุดเมื่อพ้นเวลา 10 ปีนับตั้งแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุด (ยกเว้นบทบัญญัติอื่น) 

3 เจตนาของคู่สัญญาและพฤติการณ์ในสัญญา

แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความของคดีนี้ จะไม่ระบุชัดว่า “รื้อถอนอาคาร” หรือ “ขนย้ายถังแก๊ส / ถังน้ำมัน” แต่เมื่อพิจารณารวมกับคำฟ้องที่ขอให้ขับไล่และขนย้ายทรัพย์สินออก และพฤติการณ์ที่จำเลยทราบเจตนาจะย้ายทรัพย์สิน จึงถือว่า “ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” เป็น “หน้าที่โดยนัย” ตามสัญญา

ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าความไม่ขนย้ายทรัพย์สินและไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ถือเป็นการละเมิดสัญญา และโจทก์มีสิทธิบังคับคดีทันที

4 ผลทางปฏิบัติของการไม่ระบุในสัญญาแต่พฤติการณ์ยืนยันหน้าที่

คดีนี้สั่งสอนว่า แม้สัญญาจะไม่ระบุคำว่า “รื้อถอน” แต่หากพฤติการณ์และคำฟ้องบ่งชัดเจนว่า ฝ่ายหนึ่งต้องย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำฟ้องของอีกฝ่าย หรือเจตนาเห็นได้ชัด ก็ถือว่ามีหน้าที่นั้น ทำให้เมื่อฝ่ายที่ถูกสัญญาไม่ทำ จึงนับว่าเป็นการผิดสัญญา

นอกจากนี้ ฝ่ายผู้ร้องสามารถบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ทันทีตามมาตรา 355 ม. 274 โดยไม่จำต้องรอจนครบ 10 ปี หากการบังคับคดีเป็นไปตามเงื่อนไข

3.5 ระยะเวลาในการบังคับคดี

ในคดีนี้ การบังคับคดีเกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสมควร (หลังครบ 13 เดือน) จึงไม่ถึงปัญหาว่าหมดอายุสิทธิที่จะบังคับแล้วตามมาตรา 274

ทั้งนี้ ผู้ที่จะบังคับคดีควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นถึงที่สุดแล้วและอยู่ในระยะเวลาบังคับคดีไม่เกิน 10 ปี (ในกรณีทั่วไป)

6 ความสำคัญต่อแนวปฏิบัติทางคดี

สัญญาประนีประนอมยอมความแม้จะ “ยืดเวลา” ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้พื้นที่ต่อ แต่เมื่อครบกำหนดแล้วยังไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่เจตนาไว้ เช่น ขนย้ายทรัพย์สิน รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ฝ่ายที่ได้รับยินยอมมีสิทธิเรียกร้องให้บังคับคดีทันที

ฝ่ายที่ถูกคำพิพากษาหรือคำสั่งต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วน และหากไม่ปฏิบัติ ฝ่ายโจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามบทบัญญัติของวิธีพิจารณาความแพ่ง

แม้สัญญาไม่ได้ระบุคำว่า “รื้อถอน” อย่างชัดเจน แต่พฤติการณ์และเจตนาของคู่สัญญาเป็นหลักสำคัญในการตีความว่ามีหน้าที่ดังกล่าวหรือไม่

เจ้าหนี้ควรตรวจสอบว่าเป็นการ “บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง” และไม่ขาดอายุสิทธิ — โดยเฉพาะระยะเวลา 10 ปีตามมาตรา 274

สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

เมื่อคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเจตนาสัญญา แม้สัญญาอาจไม่ระบุทุกกระบวนการ เช่น การรื้อถอน แต่หากพฤติการณ์ชัดเจนว่าเจตนาให้ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ฝ่ายที่ตกลงเช่นนั้นต้องปฏิบัติ

เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลมีสิทธิบังคับคดีทันที เมื่อผู้ถูกคำพิพากษาหรือคำสั่งผิดสัญญาหรือผิดข้อคำพิพากษา โดยอาศัยบทบัญญัติของมาตรา 355 ป.วิ.พ.

ระยะเวลาในการบังคับคดีเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย — เจ้าหนี้ควรดำเนินการภายในระยะเวลา 10 ปีตามมาตรา 274 (ในกรณีทั่วไป) เพื่อป้องกันข้อจำกัดสิทธิ

แนววินิจฉัยของศาลฎีกาสะท้อนว่า “เจตนาของคู่สัญญา” และ “พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นจริง” มีความสำคัญเทียบเท่ากับข้อความในสัญญา — หากพฤติการณ์บ่งชี้ว่ามีหน้าที่ขนย้ายหรือรื้อถอน ผู้ถูกสัญญาก็ต้องปฏิบัติตาม

🟩 คำถามที่ 1

โจทก์จะมีสิทธิบังคับคดีได้หรือไม่ หากจำเลยออกจากที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แต่ยังคงทิ้งทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง เช่น ถังน้ำมันใต้ดินและถังแก๊สแอลพีจีไว้โดยไม่ได้ขนย้ายออก ทั้งที่สัญญาไม่ได้ระบุไว้โดยชัดเจนว่าต้องรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินดังกล่าวออกจากที่ดิน?

คำตอบ:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่ความทำไว้จะไม่ได้ระบุถ้อยคำโดยตรงว่า “จำเลยต้องรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินของตนออกจากที่ดินพิพาท” แต่เมื่อพิจารณาจาก พฤติการณ์แห่งคดีและเจตนาของคู่สัญญา จะเห็นได้ว่า ขณะทำสัญญานั้น จำเลยย่อมมีความประสงค์จะย้ายทรัพย์สินของตนออกจากที่ดินพิพาทหลังครบกำหนดเวลา และโจทก์เองก็ประสงค์ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพร้อมทรัพย์สินของตนด้วย

เมื่อครบกำหนด 13 เดือน จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามคำฟ้อง แต่ยังทิ้งถังน้ำมันใต้ดิน ถังแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างไว้ โดยไม่ได้ขนย้ายออก การกระทำเช่นนี้จึงถือว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยครบถ้วน เพราะการ “ออกจากพื้นที่ตามคำฟ้อง” ย่อมหมายรวมถึงการ “ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่” ด้วยตามเจตนาและพฤติการณ์แห่งสัญญา

ดังนั้น โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายอมความจึงมีสิทธิบังคับคดีได้ตาม มาตรา 355 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินได้โดยให้จำเลยเป็นผู้รับผิดในค่าใช้จ่าย และไม่จำเป็นต้องแก้ไขหรือออกหมายบังคับคดีใหม่อีก

สรุป: แม้ไม่มีข้อความชัดในสัญญา แต่เมื่อเจตนาและพฤติการณ์สื่อให้เห็นว่า ต้องขนย้ายทรัพย์สินออก ศาลถือว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องกระทำ และการไม่ปฏิบัติถือเป็นการผิดสัญญายอมความ โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีได้โดยชอบ

🟩 คำถามที่ 2

เมื่อจำเลยออกจากที่ดินตามสัญญายอมความแล้ว แต่ยังไม่ขนย้ายทรัพย์สินออก โจทก์สามารถขอบังคับคดีได้ภายในระยะเวลาเท่าใด และต้องอาศัยบทกฎหมายใดเป็นหลักในการดำเนินการ?

คำตอบ:

ในกรณีนี้ โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล โดยศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยอยู่ใช้พื้นที่ต่ออีก 13 เดือน และระบุในข้อ 3 ของสัญญาว่า “หากครบกำหนด 13 เดือนแล้ว จำเลยไม่ออกไปจากพื้นที่ตามคำฟ้อง โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ทันที” เมื่อครบกำหนดเวลา จำเลยและบริวารออกจากที่ดินแต่ยังทิ้งทรัพย์สินไว้ โจทก์จึงยื่นขอบังคับคดี

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิบังคับคดีของโจทก์เป็นสิทธิที่เกิดจากคำพิพากษาตามยอม ซึ่งมีผลเท่ากับคำพิพากษาถึงที่สุด การดำเนินการบังคับคดีดังกล่าวต้องเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 ที่กำหนดให้คู่ความหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด

ในกรณีนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอบังคับคดีภายในไม่กี่วันหลังครบกำหนด 13 เดือน จึงอยู่ภายในระยะเวลา 10 ปีที่กฎหมายกำหนดอย่างแน่นอน การยื่นคำร้องดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการหมดอายุสิทธิบังคับคดี

สรุป: สิทธิบังคับคดีของโจทก์ในคดีนี้อยู่ภายใต้กรอบของ มาตรา 274 ป.วิ.พ. ซึ่งกำหนดระยะเวลา 10 ปีในการร้องขอบังคับคดี และเมื่อโจทก์ดำเนินการภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้ตามกฎหมาย

🔸 สรุปภาพรวมทั้งสองประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2567 จึงวางหลักสำคัญไว้ 2 ประการคือ

1. แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่ได้ระบุถ้อยคำให้รื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สิน แต่หากพฤติการณ์และเจตนาคู่สัญญาชัดเจน ศาลถือว่ามีหน้าที่โดยนัย และหากไม่ปฏิบัติถือว่าผิดสัญญา

2. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิบังคับคดีได้ภายในระยะเวลา 10 ปี ตามมาตรา 274 ป.วิ.พ. และสามารถใช้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินได้ตามมาตรา 355 ป.วิ.พ.


1) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 355 “ในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติ หรือขนย้ายทรัพย์สิน ออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจดำเนินการรื้อถอน และขนย้ายทรัพย์สินออกจากทรัพย์นั้นได้โดยให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินนั้น และให้ถือว่าเป็นหนี้ตามคำพิพากษาที่จะบังคับคดีกันต่อไป กรณีตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สิน ไว้ ณ บริเวณนั้นไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่พฤติการณ์ในการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินนั้น ในการจัดการกับวัสดุที่ถูกรื้อถอนและทรัพย์สินที่ถูกขนย้ายออกจากอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครองนั้น ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๓๕๒ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม”  2) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 “ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้ชำระหนี้ (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นตามบทบัญญัติแห่งภาคนี้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง และถ้าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องใดไว้ หรือได้ดำเนินการบังคับคดีโดยวิธีอื่นไว้บางส่วนแล้วภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นนั้นต่อไปจนแล้วเสร็จได้ ถ้าคำพิพากษาหรือคำสั่งกำหนดให้ชำระหนี้เป็นงวด เป็นรายเดือน หรือเป็นรายปี หรือกำหนดให้ชำระหนี้อย่างใดในอนาคต ให้นับระยะเวลาสิบปีตามวรรคหนึ่งตั้งแต่วันที่หนี้ตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นอาจบังคับให้ชำระได้ ถ้าสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นการให้ชำระเงิน ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง บุคคลซึ่งได้รับโอนหรือรับช่วงสิทธิตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นมีอำนาจบังคับคดี… โดยการร้องขอต่อศาลเพื่อเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต่อไป”  3) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 (ลักษณะ 17 ประนีประนอมยอมความ) “อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน”  4) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 851 “อันสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2567

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง อ้างว่าสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน คือสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและแก๊ส รวมทั้งอาคารพักพนักงานจำนวน 2 ชั้น ฯลฯ จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยเป็นผู้ขออนุญาตและปลูกสร้างเอง การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยอยู่ในที่ดินอีก 13 เดือน แม้ไม่ได้ระบุถึงกรณีให้รื้อถอนหรือขนย้ายถังแก๊สใต้ดิน ถังน้ำมันใต้ดิน และอื่น ๆ ไว้ด้วยก็ตาม แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้ตกลงให้ทรัพย์สินของจำเลยบนที่ดินพิพาทตกเป็นของโจทก์ ไม่มีเหตุที่โจทก์จะเก็บถังน้ำมัน ถังเก็บแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้ ตามพฤติการณ์แห่งคดี เห็นได้ว่า ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยต้องการย้ายทรัพย์สินของตนออกจากที่ดินพิพาท และโจทก์ต้องการให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากที่ดินเช่นกัน เมื่อจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทจึงเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์บังคับคดีได้

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร พร้อมให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม โดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 3 ระบุว่า หากพ้นกำหนด 13 เดือนแล้ว จำเลยไม่ออกไปจากพื้นที่ตามคำฟ้องของโจทก์ ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที หลังจากนั้นจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้องภายในกำหนดเวลาตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมโดยไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วย วันที่ 18 มกราคม 2564 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท

จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี หมายบังคับคดี และงดการบังคับคดีไว้ก่อน

โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่ส่วนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ออกหมายบังคับคดีให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติฟังได้ว่า เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร พร้อมให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2562 โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม โดยสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 1 ระบุว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยใช้พื้นที่ตามคำฟ้องของโจทก์ต่อไป 13 เดือน ครบกำหนดในวันที่ 17 มกราคม 2564 เวลา 24 นาฬิกา... และสัญญาข้อ 3 ระบุว่า หากพ้นกำหนด 13 เดือนแล้ว จำเลยไม่ออกไปจากพื้นที่ตามคำฟ้องของโจทก์ ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์ เมื่อครบกำหนดตามสัญญา วันที่ 17 มกราคม 2564 จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามฟ้องที่พิพาทโดยไม่ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วย วันที่ 18 มกราคม 2564 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตามขอ วันที่ 22 มกราคม 2564 โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมหมายบังคับคดีเนื่องจากจำเลยไม่ได้รื้อถอนถังเก็บน้ำมันและถังเก็บแก๊สแอลพีจี ขอให้แก้ไขจากเดิม "ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท" เป็น "ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยรื้อถอนถังน้ำมัน ถังเก็บแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท หากจำเลยไม่รื้อถอน ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวได้ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลย และให้โจทก์ยึดทรัพย์สินของจำเลยมาชดใช้ค่ารื้อถอน และค่าจัดเก็บทรัพย์สินดังกล่าวด้วย" ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า "คดีนี้เป็นการบังคับคดีในกรณีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องขนย้ายทรัพย์สิน หรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถดำเนินการบังคับคดีโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งมีอำนาจอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 355 กรณีไม่จำต้องแก้ไขเพิ่มเติมหมายบังคับคดี ยกคำร้อง" วันที่ 21 มกราคม 2564 จำเลยยื่นคำแถลงว่าจำเลยพร้อมบริวารได้ออกจากที่ดินพิพาทแล้วตั้งแต่คืนวันที่ 17 มกราคม 2564 และส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่า เดิมจำเลยเช่าที่ดินพิพาทจากนายสมใจรัก ต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากที่ประชุมเจ้าหนี้ของนายสมใจรัก ในคดีล้มละลาย ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกไปด้วยแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และอ้างตามคำให้การข้อ 5 ว่า สิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน คือสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและแก๊ส รวมทั้งอาคารพักพนักงานจำนวน 2 ชั้น ฯลฯ จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยเป็นผู้ขออนุญาตและปลูกสร้างเอง ต่อมาโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยอยู่ในที่ดินอีก 13 เดือน คิดค่าเช่าเดือนละ 85,000 บาท เพียง 12 เดือน ไม่ปรากฏว่าโจทก์ประสงค์จะประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันต่อจากจำเลย แม้โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้ระบุถึงกรณีให้รื้อถอนหรือขนย้ายถังแก๊สใต้ดิน ถังน้ำมันใต้ดิน และอื่น ๆ ไว้ด้วยก็ตาม แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็มิได้ตกลงให้ทรัพย์สินของจำเลยบนที่ดินพิพาทตกเป็นของโจทก์ ทั้งไม่มีเหตุที่โจทก์จะเก็บถังน้ำมัน ถังเก็บแก๊สแอลพีจี และสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้ ทั้งจำเลยอ้างในคำให้การว่าทรัพย์สินบนที่ดินเป็นของจำเลย ตามพฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่า ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยต้องการย้ายทรัพย์สินของตนออกจากที่ดินพิพาท และโจทก์ต้องการให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากที่ดินเช่นกัน การที่จำเลยต้องออกไปจากพื้นที่ตามคำฟ้องโจทก์เมื่อครบกำหนดเวลา 13 เดือน ย่อมหมายความว่าจำเลยและบริวารต้องออกจากที่ดินพิพาท พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไปด้วย เมื่อจำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทจึงเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์บังคับคดีได้ทันที ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

คดีที่ 1: คำพิพากษาศาลฎีกา 7330/2540

สาระย่อ:

จำเลยก่อสร้างอาคารบนที่ดินของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้แก้ไขหรือปรับปรุงให้ถูกต้องตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น จนต้องมีคำสั่งให้ระงับและรื้อถอน อาคารดังกล่าวจึงถูกบังคับให้รื้อถอนโดยเจ้าพนักงานและศาลวินิจฉัยว่าการรื้อถอนนั้นเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนและถูกต้องตามกฎหมายแล้ว. 

จุดเปรียบเทียบกับคดี 1951/2567:

– มีประเด็น “รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” เช่นเดียวกับคดี 1951/2567 ซึ่งจำเลยไม่ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง (ถังน้ำมัน ถังแก๊ส)

– แต่ต่างคือ คดี 7330/2540 มิได้อยู่ในกรอบสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือมีข้อตกลงให้ใช้พื้นที่ต่อแล้วครบกำหนด 13 เดือน จึงไม่มีประเด็น “สัญญายอมความ” เหมือนคดี 1951/2567

– แต่สามารถใช้เปรียบเทียบ “อำนาจของเจ้าพนักงาน/ศาลในการสั่งรื้อถอน” กับคดี 1951/2567 ที่ใช้มาตรา 355 ป.วิ.พ. เป็นฐาน

คดีที่ 2: คำพิพากษาศาลฎีกา 1131/2544

สาระย่อ:

คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์ โดยคำพิพากษาระบุว่า “คำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาให้รื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตเป็นการให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ปรากฏอยู่ขณะยื่นฟ้อง … สิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ขณะฟ้องหรือเกิดขึ้นในอนาคตในระหว่างคดีจากการกระทำของจำเลยหรือที่จำเลยยินยอมให้กระทำขึ้น ย่อมต้องถูกบังคับให้รื้อถอนและขนย้ายด้วยเช่นกัน” 

จุดเปรียบเทียบกับคดี 1951/2567:

– ทั้งสองคดีมีประเด็น “ขอให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำ/ค้างอยู่บนที่ดินของโจทก์”

– โดยในคดี 1131/2544 แม้จะไม่ใช่สัญญายอมความ แต่มีการวินิจฉัยเรื่อง “แม้เกิดสิ่งปลูกสร้างในระหว่างคดี” ก็สามารถบังคับให้รื้อถอนได้ ซึ่งเฉพาะเจาะจงช่วยให้เข้าใจว่าคดี 1951/2567 ที่จำเลยไม่ขนย้ายทรัพย์สินหลังครบกำหนดก็เข้าลักษณะเดียวกัน

– ต่างคือ คดี 1951/2567 มี “สัญญาประนีประนอมยอมความ” และ “ระยะเวลา 13 เดือน” ส่วนคดี 1131/2544 ไม่มีเงื่อนไขดังกล่าว

คดีที่ 3: คำพิพากษาศาลฎีกา 5569/2555

สาระย่อ:

จำเลยทั้งสิบก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต และรุกล้ำที่สาธารณะ ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยทั้งสิบต้องรับผิดร่วมกันในฐานะตัวการร่วม รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ผิดไปจากแบบแปลนหรือที่สาธารณะ. 

จุดเปรียบเทียบกับคดี 1951/2567:

– ทั้งสองคดีมีประเด็น “สิ่งปลูกสร้างผิดไปจากสิทธิ/เงื่อนไขที่ได้รับ” (ในคดี 1951/2567 จำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ปลูกเอง แต่ไม่ขนย้ายทรัพย์สินหลังครบกำหนด)

– ในคดี 5569/2555 ไม่มีสัญญายอมความหรือข้อตกลงให้ใช้พื้นที่ต่อแบบ 13 เดือน ดังนั้นไม่ตรงกับองค์ประกอบ “ยอมความ” ของคดี 1951/2567

– แต่เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบในแง่ “เมื่อสิ่งปลูกสร้างผิดเงื่อนไข/ข้อตกลง → จำเลยต้องรื้อถอน” 




ประนีประนอมยอมความ

(ฎีกา 928/2568)สัญญาประนีประนอมยอมความ & สิทธิรื้อถอน
(ฎีกาที่ 1280/2568) สัญญาประนีประนอมยอมความ & การผิดสัญญา
(ฎีกาที่ 3237/2567) : สัญญาประนีประนอมยอมความและผลของการถอนฟ้อง ป.พ.พ. มาตรา 850, อำนาจฟ้อง,
(ฎ.4008/2567)หนี้เงินกู้เพื่อการศึกษาบุตร หนี้ร่วมระหว่างคู่สมรส และผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2568: การพิสูจน์สัญญาประนีประนอมยอมความและผลทางกฎหมายเรื่องดอกเบี้ยเกินกำหนด
การออกใบแทนโฉนดที่ดินโดยมิชอบ, การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดิน, หน้าที่และอำนาจของผู้จัดการมรดก
บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
หากบุตรพักอาศัยอยู่กับใครคนนั้นเป็นผู้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าคำพิพากษาตามยอมไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อกฎหมาย
หนี้สินอันเกิดจากมูลละเมิดระงับสิ้นไป
สัญญามีข้อสงสัยต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ฝ่ายซึ่งจะต้องเป็นผู้เสียหายในมูลหนี้
ขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าค่าศึกษาเล่าเรียน
สิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของผู้เยาว์
ขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้
พิพากษาตามสัญญายอมความอาจเกินคำขอได้
ตกลงยอมความกันในขอบเขตแห่งประเด็นในคดี