
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2568: การพิสูจน์สัญญาประนีประนอมยอมความและผลทางกฎหมายเรื่องดอกเบี้ยเกินกำหนด การพิสูจน์สัญญาประนีประนอมยอมความและผลทางกฎหมายของดอกเบี้ยเกินกำหนด คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2568 นี้เป็นการพิจารณาคดีข้อตกลงประนีประนอมยอมความในเรื่องการกู้ยืมเงิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ว่าเป็นสัญญาผูกพันระหว่างคู่กรณีจริงหรือไม่ รวมทั้งประเด็นว่าดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือนเป็นอัตราที่ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ และผลทางกฎหมายว่าดอกเบี้ยนั้นตกเป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นสัญญาตามกฎหมายจริง แต่การเรียกดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมายทำให้ข้อตกลงดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ ดอกเบี้ยที่ผู้กู้ชำระเกินมากกว่าหนี้ต้นเงินกู้ถือว่าไม่มีมูล จึงไม่สามารถบังคับได้อีก
1. ข้อเท็จจริงของคดี •ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา จำเลยทั้งสี่กู้เงินจากโจทก์รวมต้นเงิน 1,930,000 บาท และชำระดอกเบี้ยไปแล้วประมาณ 2,900,000 บาท •เมื่อเกิดข้อพิพาท ศูนย์ดำรงธรรมในจังหวัดตราดและต่อมาสำนักงานอัยการจังหวัดตราดได้ไกล่เกลี่ย คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2562 •สาระสำคัญของสัญญากำหนดให้จำเลยผ่อนคืนต้นเงินไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ไม่เกิน 39 งวด โดยโจทก์ยอมไม่คิดดอกเบี้ย และทั้งสองฝ่ายไม่ดำเนินคดีต่อกันหากจำเลยไม่ผิดเงื่อนไข ศาลฎีการับฟังว่าคู่สัญญา “ต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 2. คำวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมาย 2.1 สัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาที่ทำร่วมกันที่สำนักงานอัยการถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เพราะเป็นการยุติข้อพิพาทเดิม โดยคู่ความต่างยอมผ่อนผันให้กัน 2.2 ดอกเบี้ยผิดกฎหมาย แม้สัญญาจะกำหนดสงวนดอกเบี้ยไว้ แต่พบว่าอัตราดอกเบี้ยก่อนหน้านั้นคือร้อยละ 5 ต่อเดือน ซึ่งสูงเกินกว่าที่กฎหมายห้ามไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4(1) ผลคือ ข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะทันที ดอกเบี้ยที่จำเลยจ่ายไปแล้วรวมกว่า 2,900,000 บาท “เกินจำนวนมูลหนี้ต้นเงินกู้” จึงไม่มีมูลหนี้เหลือให้บังคับอีกต่อไป 2.3 ผลทางคำพิพากษา ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ให้บังคับให้จำเลยชำระต้นเงินเพิ่มเติม 3. การขยายความวิเคราะห์เชิงลึก •คุณสมบัติสัญญาประนีประนอมยอมความ: ต้องเป็นสัญญาระหว่างฝ่ายที่มีข้อพิพาทโดยแท้ และมีเจตนายอมผ่อนผันให้กัน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง •ขีดจำกัดของดอกเบี้ยตามกฎหมาย: ร้อยละ 5 ต่อเดือน เทียบเท่าร้อยละ 60 ต่อปี ซึ่งเกินกว่าขั้นสูงสุดที่กฎหมายกำหนด (15% ต่อปี) •ผลการชำระดอกเบี้ยเกินมูลหนี้: ถือเป็นการ "หักลบต้นเงินกู้จนหมด" ชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าจนต้นเงินหมด จึงไม่เหลือหนี้ให้บังคับ •ความเกี่ยวเนื่องกับบทบัญญัติอื่น: เช่น ป.พ.พ. มาตรา 388 (หนี้สิ้นสุดลงเมื่อชำระครบ) 4. แนวปฏิบัติทางรูปคดี •ต้องจัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุคู่ความ ข้อพิพาท เนื้อหาที่ชัดเจน คณะทำสัญญาควรเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น พนักงานอัยการ •ระบุชัด อัตราดอกเบี้ย ต้องไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด •หากการไกล่เกลี่ยเกิดขึ้น ควรให้มีลายลักษณ์อักษรยืนยันเจตนาและข้อตกลงอย่างชัดเจน •ในกระบวนพิจารณาศาล ควรแนบสัญญาประนีประนอมฯ พร้อมพยานหลักฐานการชำระเงิน 5. ข้อคิดทางกฎหมาย •สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันตามกฎหมาย หากเป็นความยินยอมร่วมของทั้งสองฝ่าย •ดอกเบี้ยที่เกินอัตราตามกฎหมายไม่เพียงถูกตัดทิ้ง แต่ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน •การชำระดอกเบี้ยเกินอาจทำให้ต้นเงินกู้สิ้นสุดไปก่อนและไม่มีหนี้เหลือบังคับ สรุปภาพรวม คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2568 ยืนยันว่า สัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เป็นสัญญาที่มีผลบังคับตามกฎหมายเมื่อคู่กรณีตกลงยินยอมร่วมกันอย่างแท้จริง และหากตามสัญญาคิดดอกเบี้ยผิดกฎหมายโดยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ข้อตกลงดอกเบี้ยทั้งหมดจะตกเป็นโมฆะ ผลอันนี้ควรนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบในการทำข้อตกลงทางกฎหมาย และใช้ให้เป็นแนวปฏิบัติทางรูปคดี เพื่อไม่ให้เกิดการเรียกหรือรับชำระดอกเบี้ยที่ผิดเงื่อนไขตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2568 ป.พ.พ. มาตรา 850 บัญญัติว่า "อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน" ดังนั้น ลักษณะสำคัญของสัญญาประนีประนอมยอมความจึงต้องเป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีพิพาท เพื่อระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไปและคู่กรณีต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เมื่อพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งแล้ว เป็นสัญญาที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดตราดได้ทำการไกล่เกลี่ยเรื่องการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์ผู้ถูกร้องกับจำเลยทั้งสี่ผู้ร้อง จำเลยทั้งสี่ตกลงจะชำระหนี้ต้นเงินกู้ 1,930,000 บาท ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน โดยผ่อนชำระหนี้เป็นงวดรายเดือน ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท ไม่เกิน 39 งวด นับแต่งวดสิ้นเดือนสิงหาคม 2562 เป็นต้นไป โจทก์ยินยอมไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสี่ และคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีใดต่อกันตามสัญญากู้เงินที่มีก่อนหน้านี้ และจะผูกพันต่อกันตามสัญญานี้ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันที ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่ตกลงระงับข้อพิพาทในเรื่องการกู้ยืมเงินซึ่งมีมาก่อนวันทำสัญญาให้เสร็จสิ้นไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันแล้ว มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นฝ่ายยอมผ่อนผันเพียงฝ่ายเดียวแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งจึงมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามนัย ป.พ.พ. มาตรา 850 แล้ว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,766,452 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,580,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,766,452 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,580,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังยุติได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา จำเลยทั้งสี่ทำสัญญากู้เงินโจทก์หลายครั้งหลายฉบับ ต่อมาจำเลยทั้งสี่ไปติดต่อศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัดตราดเพื่อขอให้ทำการไกล่เกลี่ย แต่ได้รับคำแนะนำให้ไปร้องขอที่สำนักงานอัยการจังหวัดตราด ครั้นวันที่ 7 สิงหาคม 2562 โจทก์กับจำเลยทั้งสี่ทำสัญญากันที่สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดตราด โดยมีสาระสำคัญว่า นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา จำเลยทั้งสี่ทำสัญญากู้เงินโจทก์หลายฉบับ รวมหนี้เงินต้น 1,930,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยแล้วประมาณ 2,900,000 บาทเศษ ปัจจุบันจำเลยทั้งสี่มิได้ชำระดอกเบี้ย จึงเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้เงินกู้ดังกล่าว และคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญากันว่าจำเลยทั้งสี่ยอมผ่อนชำระหนี้ต้นเงินคืนแก่โจทก์เป็นงวดภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท และชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 39 งวด ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง หลังจากนั้นจำเลยทั้งสี่ชำระเงินให้แก่โจทก์รวม 7 งวด เป็นเงินรวม 350,000 บาท แล้วไม่ชำระอีก
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า สัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 บัญญัติว่า "อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน" ดังนั้น ลักษณะสำคัญของสัญญาประนีประนอมยอมความจึงต้องเป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีพิพาท เพื่อระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไปและคู่กรณีต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เมื่อพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งแล้ว เป็นสัญญาที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดตราดได้ทำการไกล่เกลี่ยเรื่องการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์ผู้ถูกร้องกับจำเลยทั้งสี่ผู้ร้อง จำเลยทั้งสี่ตกลงจะชำระหนี้ต้นเงินกู้ 1,930,000 บาท ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน โดยผ่อนชำระหนี้เป็นงวดรายเดือน ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท ไม่เกิน 39 งวด นับแต่งวดสิ้นเดือนสิงหาคม 2562 เป็นต้นไป โจทก์ยินยอมไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสี่ และคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีใดต่อกันตามสัญญากู้เงินที่มีก่อนหน้านี้ และจะผูกพันต่อกันตามสัญญานี้ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันที ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่ตกลงระงับข้อพิพาทในเรื่องการกู้ยืมเงินซึ่งมีมาก่อนวันทำสัญญาให้เสร็จสิ้นไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันแล้ว มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นฝ่ายยอมผ่อนผันเพียงฝ่ายเดียวแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง จึงมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 แล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งว่า จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งว่า มูลหนี้เดิมเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กู้เงินไปจากโจทก์หลายครั้งนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา คิดเป็นต้นเงินกู้รวม 1,930,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และจำเลยทั้งสี่ได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ไปแล้วรวม 2,900,000 บาทเศษ แต่ยังมิได้ชำระต้นเงิน อีกทั้งในชั้นสืบพยานโจทก์เบิกความรับว่า ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง จำเลยทั้งสี่ชำระผลตอบแทนการกู้เงินให้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2562 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงรับฟังได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งดังกล่าวว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้อัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และจำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 2,900,000 บาทเศษ ดังนั้น การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้อัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน จากจำเลยทั้งสี่ จึงเป็นอัตราที่เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ประกอบกับการเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราดังกล่าวย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) ข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด เมื่อข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่อาจเรียกร้องให้คืนดอกเบี้ยที่ชำระฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายได้ ส่วนโจทก์ผู้ให้กู้ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย กรณีต้องนำดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสี่ชำระให้แก่โจทก์ 2,900,000 บาทเศษ ไปหักชำระต้นเงินกู้ซึ่งไม่ตกเป็นโมฆะ เมื่อดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้วมีจำนวนมากกว่าหนี้ต้นเงินกู้ ย่อมไม่มีมูลหนี้เงินกู้ที่จะบังคับกันได้ตามกฎหมายอีกต่อไป และไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่จะให้จำเลยทั้งสี่จะต้องทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทเรื่องเงินกู้กับโจทก์แต่อย่างใด เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งไม่มีมูลหนี้ จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวให้แก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
🔍 ตัวอย่างกรณีศึกษา 1. กรณีที่สัญญาประนีประนอมยอมความถูกต้องตามกฎหมาย *นาย ก. และ นาย ข. มีข้อพิพาทเรื่องหนี้เงินกู้ 1 ล้านบาท ทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่สำนักงานอัยการ โดยกำหนดให้ผ่อนชำระเดือนละ 20,000 บาท และทั้งสองฝ่ายยินยอมไม่ฟ้องร้องกันต่อไป *สัญญานี้มีลักษณะถูกต้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เพราะมีการยอมผ่อนผันซึ่งกันและกัน และเป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ 2. กรณีที่ดอกเบี้ยในสัญญากู้เป็นโมฆะ *นาย ค. ให้กู้เงินโดยคิดดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนด (15% ต่อปี) *แม้ลูกหนี้จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับเจ้าหนี้เพื่อผ่อนชำระ แต่เนื่องจากดอกเบี้ยเดิมเกินอัตรากฎหมาย ข้อตกลงในส่วนดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ และดอกเบี้ยที่ชำระไปต้องนำไปหักต้นเงิน หากเงินที่จ่ายไปเกินต้นเงิน หนี้จะถือว่าสิ้นสุด 3. กรณีคู่ความไม่ยอมผ่อนผันกันจริง *หากสัญญาที่ทำขึ้นเป็นเพียงเอกสารที่เจ้าหนี้ “กำหนดเงื่อนไขฝ่ายเดียว” โดยลูกหนี้ไม่มีอิสระในการเจรจา อาจไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่แท้จริง เพราะขาด “การยอมผ่อนผันซึ่งกันและกัน”
📌 แนวปฏิบัติของทนายความ/นักกฎหมาย 1. ก่อนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ •ตรวจสอบมูลหนี้เดิมอย่างละเอียด *เช็กจำนวนต้นเงิน ดอกเบี้ย และการชำระที่เกิดขึ้นจริง *ตรวจสอบว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ •แนะนำลูกความเกี่ยวกับสิทธิและความเสี่ยง *หากดอกเบี้ยที่เคยตกลงกันเกินอัตรากฎหมาย ทนายควรชี้ให้เห็นว่าข้อตกลงดอกเบี้ยอาจตกเป็นโมฆะ *ประเมินว่าการทำสัญญาประนีประนอมยอมความจะช่วยยุติข้อพิพาทหรือเป็นเพียงการยืนยันหนี้เดิมที่ผิดกฎหมาย 2. ระหว่างการทำสัญญา •จัดทำสัญญาให้ครบองค์ประกอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 *ระบุคู่ความชัดเจน *บอกข้อพิพาทที่ต้องการยุติ *ระบุเงื่อนไขที่ “ทั้งสองฝ่ายยอมผ่อนผันให้กัน” ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบเพียงอย่างเดียว •กำหนดอัตราดอกเบี้ยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย *หากจะคิดดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 15% ต่อปี และระบุให้ชัดเจนว่าเป็นดอกเบี้ยในส่วนที่กฎหมายอนุญาต 3. หลังจากทำสัญญา •ติดตามการปฏิบัติตามสัญญา *ตรวจสอบการชำระเงินให้ครบถ้วนตามงวดที่ตกลง *หากผิดนัด ให้ดำเนินการตามสิทธิในสัญญา เช่น ฟ้องบังคับคดี •ใช้สัญญาเป็นหลักฐานในศาลได้ทันที *หากคู่กรณีไม่ปฏิบัติตาม ทนายสามารถยื่นฟ้องโดยอ้างสัญญาประนีประนอมฯ ได้โดยไม่ต้องพิสูจน์มูลหนี้เดิมซ้ำ 4. แนวคิดเชิงกลยุทธ์สำหรับทนาย •หากเป็นฝ่ายลูกหนี้ ควรตรวจสอบว่าดอกเบี้ยที่เคยจ่ายไปเกินอัตราหรือไม่ เพื่อใช้เป็นข้อโต้แย้งว่าหนี้ได้ถูกชำระเกินต้นเงินแล้ว •หากเป็นฝ่ายเจ้าหนี้ ควรทำสัญญาให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น และหลีกเลี่ยงการคิดดอกเบี้ยเกินอัตรา เพราะจะทำให้สิทธิบังคับหนี้เสียไป |