ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2568: การพิสูจน์สัญญาประนีประนอมยอมความและผลทางกฎหมายเรื่องดอกเบี้ยเกินกำหนด

 ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

การพิสูจน์สัญญาประนีประนอมยอมความและผลทางกฎหมายของดอกเบี้ยเกินกำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1160/2568 นี้เป็นการพิจารณาคดีข้อตกลงประนีประนอมยอมความในเรื่องการกู้ยืมเงิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา  850 ว่าเป็นสัญญาผูกพันระหว่างคู่กรณีจริงหรือไม่ รวมทั้งประเด็นว่าดอกเบี้ยอัตราร้อยละ  5 ต่อเดือนเป็นอัตราที่ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ และผลทางกฎหมายว่าดอกเบี้ยนั้นตกเป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นสัญญาตามกฎหมายจริง แต่การเรียกดอกเบี้ยที่ผิดกฎหมายทำให้ข้อตกลงดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ ดอกเบี้ยที่ผู้กู้ชำระเกินมากกว่าหนี้ต้นเงินกู้ถือว่าไม่มีมูล จึงไม่สามารถบังคับได้อีก


1. ข้อเท็จจริงของคดี

•ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา จำเลยทั้งสี่กู้เงินจากโจทก์รวมต้นเงิน 1,930,000 บาท และชำระดอกเบี้ยไปแล้วประมาณ 2,900,000 บาท

•เมื่อเกิดข้อพิพาท ศูนย์ดำรงธรรมในจังหวัดตราดและต่อมาสำนักงานอัยการจังหวัดตราดได้ไกล่เกลี่ย คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2562

•สาระสำคัญของสัญญากำหนดให้จำเลยผ่อนคืนต้นเงินไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ไม่เกิน 39 งวด โดยโจทก์ยอมไม่คิดดอกเบี้ย และทั้งสองฝ่ายไม่ดำเนินคดีต่อกันหากจำเลยไม่ผิดเงื่อนไข ศาลฎีการับฟังว่าคู่สัญญา “ต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน” ตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 

2. คำวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมาย

2.1 สัญญาประนีประนอมยอมความ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาที่ทำร่วมกันที่สำนักงานอัยการถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เพราะเป็นการยุติข้อพิพาทเดิม โดยคู่ความต่างยอมผ่อนผันให้กัน 

2.2 ดอกเบี้ยผิดกฎหมาย

แม้สัญญาจะกำหนดสงวนดอกเบี้ยไว้ แต่พบว่าอัตราดอกเบี้ยก่อนหน้านั้นคือร้อยละ  5 ต่อเดือน ซึ่งสูงเกินกว่าที่กฎหมายห้ามไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา  654 และ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา  4(1)

ผลคือ ข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะทันที ดอกเบี้ยที่จำเลยจ่ายไปแล้วรวมกว่า 2,900,000 บาท “เกินจำนวนมูลหนี้ต้นเงินกู้” จึงไม่มีมูลหนี้เหลือให้บังคับอีกต่อไป

2.3 ผลทางคำพิพากษา

ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ให้บังคับให้จำเลยชำระต้นเงินเพิ่มเติม

3. การขยายความวิเคราะห์เชิงลึก

•คุณสมบัติสัญญาประนีประนอมยอมความ: ต้องเป็นสัญญาระหว่างฝ่ายที่มีข้อพิพาทโดยแท้ และมีเจตนายอมผ่อนผันให้กัน ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

•ขีดจำกัดของดอกเบี้ยตามกฎหมาย: ร้อยละ  5 ต่อเดือน เทียบเท่าร้อยละ 60 ต่อปี ซึ่งเกินกว่าขั้นสูงสุดที่กฎหมายกำหนด (15% ต่อปี)

•ผลการชำระดอกเบี้ยเกินมูลหนี้: ถือเป็นการ "หักลบต้นเงินกู้จนหมด" ชำระดอกเบี้ยล่วงหน้าจนต้นเงินหมด จึงไม่เหลือหนี้ให้บังคับ

•ความเกี่ยวเนื่องกับบทบัญญัติอื่น: เช่น ป.พ.พ. มาตรา  388 (หนี้สิ้นสุดลงเมื่อชำระครบ) 

4. แนวปฏิบัติทางรูปคดี

•ต้องจัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุคู่ความ ข้อพิพาท เนื้อหาที่ชัดเจน คณะทำสัญญาควรเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น พนักงานอัยการ

•ระบุชัด อัตราดอกเบี้ย ต้องไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด

•หากการไกล่เกลี่ยเกิดขึ้น ควรให้มีลายลักษณ์อักษรยืนยันเจตนาและข้อตกลงอย่างชัดเจน

•ในกระบวนพิจารณาศาล ควรแนบสัญญาประนีประนอมฯ พร้อมพยานหลักฐานการชำระเงิน

5. ข้อคิดทางกฎหมาย

•สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันตามกฎหมาย หากเป็นความยินยอมร่วมของทั้งสองฝ่าย

•ดอกเบี้ยที่เกินอัตราตามกฎหมายไม่เพียงถูกตัดทิ้ง แต่ยังไม่มีสิทธิเรียกร้องคืน

•การชำระดอกเบี้ยเกินอาจทำให้ต้นเงินกู้สิ้นสุดไปก่อนและไม่มีหนี้เหลือบังคับ

สรุปภาพรวม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2568 ยืนยันว่า สัญญาประนีประนอมยอมความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา  850 เป็นสัญญาที่มีผลบังคับตามกฎหมายเมื่อคู่กรณีตกลงยินยอมร่วมกันอย่างแท้จริง และหากตามสัญญาคิดดอกเบี้ยผิดกฎหมายโดยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ข้อตกลงดอกเบี้ยทั้งหมดจะตกเป็นโมฆะ ผลอันนี้ควรนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบในการทำข้อตกลงทางกฎหมาย และใช้ให้เป็นแนวปฏิบัติทางรูปคดี เพื่อไม่ให้เกิดการเรียกหรือรับชำระดอกเบี้ยที่ผิดเงื่อนไขตามกฎหมาย


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2568

ป.พ.พ. มาตรา 850 บัญญัติว่า "อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน" ดังนั้น ลักษณะสำคัญของสัญญาประนีประนอมยอมความจึงต้องเป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีพิพาท เพื่อระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไปและคู่กรณีต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เมื่อพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งแล้ว เป็นสัญญาที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดตราดได้ทำการไกล่เกลี่ยเรื่องการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์ผู้ถูกร้องกับจำเลยทั้งสี่ผู้ร้อง จำเลยทั้งสี่ตกลงจะชำระหนี้ต้นเงินกู้ 1,930,000 บาท ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน โดยผ่อนชำระหนี้เป็นงวดรายเดือน ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท ไม่เกิน 39 งวด นับแต่งวดสิ้นเดือนสิงหาคม 2562 เป็นต้นไป โจทก์ยินยอมไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสี่ และคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีใดต่อกันตามสัญญากู้เงินที่มีก่อนหน้านี้ และจะผูกพันต่อกันตามสัญญานี้ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันที ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่ตกลงระงับข้อพิพาทในเรื่องการกู้ยืมเงินซึ่งมีมาก่อนวันทำสัญญาให้เสร็จสิ้นไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันแล้ว มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นฝ่ายยอมผ่อนผันเพียงฝ่ายเดียวแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งจึงมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามนัย ป.พ.พ. มาตรา 850 แล้ว


โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,766,452 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,580,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง


ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 1,766,452 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,580,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังยุติได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา จำเลยทั้งสี่ทำสัญญากู้เงินโจทก์หลายครั้งหลายฉบับ ต่อมาจำเลยทั้งสี่ไปติดต่อศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัดตราดเพื่อขอให้ทำการไกล่เกลี่ย แต่ได้รับคำแนะนำให้ไปร้องขอที่สำนักงานอัยการจังหวัดตราด ครั้นวันที่ 7 สิงหาคม 2562 โจทก์กับจำเลยทั้งสี่ทำสัญญากันที่สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดตราด โดยมีสาระสำคัญว่า นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา จำเลยทั้งสี่ทำสัญญากู้เงินโจทก์หลายฉบับ รวมหนี้เงินต้น 1,930,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน จำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยแล้วประมาณ 2,900,000 บาทเศษ ปัจจุบันจำเลยทั้งสี่มิได้ชำระดอกเบี้ย จึงเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับหนี้เงินกู้ดังกล่าว และคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญากันว่าจำเลยทั้งสี่ยอมผ่อนชำระหนี้ต้นเงินคืนแก่โจทก์เป็นงวดภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท และชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 39 งวด ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง หลังจากนั้นจำเลยทั้งสี่ชำระเงินให้แก่โจทก์รวม 7 งวด เป็นเงินรวม 350,000 บาท แล้วไม่ชำระอีก


คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า สัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 บัญญัติว่า "อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน" ดังนั้น ลักษณะสำคัญของสัญญาประนีประนอมยอมความจึงต้องเป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีพิพาท เพื่อระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไปและคู่กรณีต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เมื่อพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งแล้ว เป็นสัญญาที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดตราดได้ทำการไกล่เกลี่ยเรื่องการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์ผู้ถูกร้องกับจำเลยทั้งสี่ผู้ร้อง จำเลยทั้งสี่ตกลงจะชำระหนี้ต้นเงินกู้ 1,930,000 บาท ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน โดยผ่อนชำระหนี้เป็นงวดรายเดือน ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 50,000 บาท ไม่เกิน 39 งวด นับแต่งวดสิ้นเดือนสิงหาคม 2562 เป็นต้นไป โจทก์ยินยอมไม่คิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสี่ และคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีใดต่อกันตามสัญญากู้เงินที่มีก่อนหน้านี้ และจะผูกพันต่อกันตามสัญญานี้ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันที ดังนี้ เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่ตกลงระงับข้อพิพาทในเรื่องการกู้ยืมเงินซึ่งมีมาก่อนวันทำสัญญาให้เสร็จสิ้นไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันแล้ว มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นฝ่ายยอมผ่อนผันเพียงฝ่ายเดียวแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง จึงมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 แล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น


มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์อีกข้อหนึ่งว่า จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งว่า มูลหนี้เดิมเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่กู้เงินไปจากโจทก์หลายครั้งนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา คิดเป็นต้นเงินกู้รวม 1,930,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และจำเลยทั้งสี่ได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ไปแล้วรวม 2,900,000 บาทเศษ แต่ยังมิได้ชำระต้นเงิน อีกทั้งในชั้นสืบพยานโจทก์เบิกความรับว่า ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่ง จำเลยทั้งสี่ชำระผลตอบแทนการกู้เงินให้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2562 โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงรับฟังได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งดังกล่าวว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้อัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน และจำเลยทั้งสี่ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 2,900,000 บาทเศษ ดังนั้น การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยเงินกู้อัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน จากจำเลยทั้งสี่ จึงเป็นอัตราที่เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ประกอบกับการเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราดังกล่าวย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) ข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด เมื่อข้อตกลงในเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะแล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่อาจเรียกร้องให้คืนดอกเบี้ยที่ชำระฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายได้ ส่วนโจทก์ผู้ให้กู้ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย กรณีต้องนำดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสี่ชำระให้แก่โจทก์ 2,900,000 บาทเศษ ไปหักชำระต้นเงินกู้ซึ่งไม่ตกเป็นโมฆะ เมื่อดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้วมีจำนวนมากกว่าหนี้ต้นเงินกู้ ย่อมไม่มีมูลหนี้เงินกู้ที่จะบังคับกันได้ตามกฎหมายอีกต่อไป และไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่จะให้จำเลยทั้งสี่จะต้องทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทเรื่องเงินกู้กับโจทก์แต่อย่างใด เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความข้อพิพาททางแพ่งไม่มีมูลหนี้ จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวให้แก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ


🔍 ตัวอย่างกรณีศึกษา

1. กรณีที่สัญญาประนีประนอมยอมความถูกต้องตามกฎหมาย

*นาย ก. และ นาย ข. มีข้อพิพาทเรื่องหนี้เงินกู้ 1 ล้านบาท ทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่สำนักงานอัยการ โดยกำหนดให้ผ่อนชำระเดือนละ 20,000 บาท และทั้งสองฝ่ายยินยอมไม่ฟ้องร้องกันต่อไป

*สัญญานี้มีลักษณะถูกต้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เพราะมีการยอมผ่อนผันซึ่งกันและกัน และเป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่

2. กรณีที่ดอกเบี้ยในสัญญากู้เป็นโมฆะ

*นาย ค. ให้กู้เงินโดยคิดดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนด (15% ต่อปี)

*แม้ลูกหนี้จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับเจ้าหนี้เพื่อผ่อนชำระ แต่เนื่องจากดอกเบี้ยเดิมเกินอัตรากฎหมาย ข้อตกลงในส่วนดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ และดอกเบี้ยที่ชำระไปต้องนำไปหักต้นเงิน หากเงินที่จ่ายไปเกินต้นเงิน หนี้จะถือว่าสิ้นสุด

3. กรณีคู่ความไม่ยอมผ่อนผันกันจริง

*หากสัญญาที่ทำขึ้นเป็นเพียงเอกสารที่เจ้าหนี้ “กำหนดเงื่อนไขฝ่ายเดียว” โดยลูกหนี้ไม่มีอิสระในการเจรจา อาจไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่แท้จริง เพราะขาด “การยอมผ่อนผันซึ่งกันและกัน”


📌 แนวปฏิบัติของทนายความ/นักกฎหมาย

1. ก่อนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ

•ตรวจสอบมูลหนี้เดิมอย่างละเอียด

*เช็กจำนวนต้นเงิน ดอกเบี้ย และการชำระที่เกิดขึ้นจริง

*ตรวจสอบว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

•แนะนำลูกความเกี่ยวกับสิทธิและความเสี่ยง

*หากดอกเบี้ยที่เคยตกลงกันเกินอัตรากฎหมาย ทนายควรชี้ให้เห็นว่าข้อตกลงดอกเบี้ยอาจตกเป็นโมฆะ

*ประเมินว่าการทำสัญญาประนีประนอมยอมความจะช่วยยุติข้อพิพาทหรือเป็นเพียงการยืนยันหนี้เดิมที่ผิดกฎหมาย

2. ระหว่างการทำสัญญา

•จัดทำสัญญาให้ครบองค์ประกอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 850

*ระบุคู่ความชัดเจน

*บอกข้อพิพาทที่ต้องการยุติ

*ระบุเงื่อนไขที่ “ทั้งสองฝ่ายยอมผ่อนผันให้กัน” ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบเพียงอย่างเดียว

•กำหนดอัตราดอกเบี้ยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

*หากจะคิดดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 15% ต่อปี และระบุให้ชัดเจนว่าเป็นดอกเบี้ยในส่วนที่กฎหมายอนุญาต

3. หลังจากทำสัญญา

•ติดตามการปฏิบัติตามสัญญา

*ตรวจสอบการชำระเงินให้ครบถ้วนตามงวดที่ตกลง

*หากผิดนัด ให้ดำเนินการตามสิทธิในสัญญา เช่น ฟ้องบังคับคดี

•ใช้สัญญาเป็นหลักฐานในศาลได้ทันที

*หากคู่กรณีไม่ปฏิบัติตาม ทนายสามารถยื่นฟ้องโดยอ้างสัญญาประนีประนอมฯ ได้โดยไม่ต้องพิสูจน์มูลหนี้เดิมซ้ำ

4. แนวคิดเชิงกลยุทธ์สำหรับทนาย

•หากเป็นฝ่ายลูกหนี้ ควรตรวจสอบว่าดอกเบี้ยที่เคยจ่ายไปเกินอัตราหรือไม่ เพื่อใช้เป็นข้อโต้แย้งว่าหนี้ได้ถูกชำระเกินต้นเงินแล้ว

•หากเป็นฝ่ายเจ้าหนี้ ควรทำสัญญาให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น และหลีกเลี่ยงการคิดดอกเบี้ยเกินอัตรา เพราะจะทำให้สิทธิบังคับหนี้เสียไป




ประนีประนอมยอมความ

(ฎีกาที่ 3237/2567) : สัญญาประนีประนอมยอมความและผลของการถอนฟ้อง ป.พ.พ. มาตรา 850, อำนาจฟ้อง,
(ฎ.4008/2567)หนี้เงินกู้เพื่อการศึกษาบุตร หนี้ร่วมระหว่างคู่สมรส และผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ
การออกใบแทนโฉนดที่ดินโดยมิชอบ, การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดิน, หน้าที่และอำนาจของผู้จัดการมรดก
บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
หากบุตรพักอาศัยอยู่กับใครคนนั้นเป็นผู้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร
ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าคำพิพากษาตามยอมไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อกฎหมาย
หนี้สินอันเกิดจากมูลละเมิดระงับสิ้นไป
สัญญามีข้อสงสัยต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ฝ่ายซึ่งจะต้องเป็นผู้เสียหายในมูลหนี้
ขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าค่าศึกษาเล่าเรียน
สิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของผู้เยาว์
ขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้
พิพากษาตามสัญญายอมความอาจเกินคำขอได้
ตกลงยอมความกันในขอบเขตแห่งประเด็นในคดี