

สัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อกฎหมาย สัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อกฎหมาย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นนัดพร้อมเพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อกฎหมาย และจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ขอสละสิทธิเรียกร้องที่ระบุในสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินตามเอกสารสิทธิในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4 – 01)ซึ่งไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ และให้ข้อตกลงในส่วนอื่น ๆ ที่เหลือของสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับต่อคู่สัญญาโดยสมบูรณ์ต่อไป ศาลสอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้วข้อสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่ความอาจจะไม่สามารถปฏิบัติตามได้คือข้อตกลงที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เนื่องจากในสัญญาประนีประนอมยอมความระบุทำนองว่าให้มีการโอนสิทธิครอบครองที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้แก่กันซึ่งอาจเป็นข้อตกลงที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงขอสละโดยให้นำข้อตกลงที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมออกไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 1 ไม่ติดใจบังคับคดีหรือบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่ในข้อสัญญาส่วนอื่นให้คงไว้ตามสัญญาเดิม ศาลเห็นว่าเมื่อคู่ความตกลงกันในการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้างต้น จึงให้คู่ความทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในสำนวนตามเดิม ยกเว้นแต่ในเรื่องหรือข้อที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามความประสงค์ของคู่ความทั้งสองฝ่าย เช่นนี้ แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันใหม่เพียงว่าให้นำเรื่องที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในสัญญาประนีประนอมยอมความออกไปเท่านั้น แต่ในข้อตกลงสัญญาประนีประนอมยอมความอื่นให้คงไว้ตามเดิม ดังนี้จึงมิใช่เป็นการตกลงระงับข้อพิพาทและมีการตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความกันใหม่ทั้งหมดตามที่โจทก์ฎีกา จำเลยที่ 1 ย่อมร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีโจทก์ตามที่ตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้ออื่นได้โดยชอบ กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนหมายบังคับคดีโจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3319/2565 เมื่อโจทก์ยื่นคําร้องลงวันที่ 9 ตุลาคม 2562 ขอให้ศาลชั้นต้นนัดพร้อมเพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อกฎหมาย จําเลยที่ 1 ได้ยื่นคําร้องลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ว่า จําเลยที่ 1 ขอสละสิทธิเรียกร้องที่มีในสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนของที่ดินตามเอกสารสิทธิในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4-01) ที่ระบุในข้อ 3.2 และให้ข้อตกลงในส่วนอื่น ๆ ที่เหลือของสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับต่อคู่สัญญาโดยสมบูรณ์ต่อไป และในวันนัดพร้อมศาลชั้นต้นได้บันทึกรายงานกระบวนพิจารณาว่า ศาลสอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้วข้อสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่ความอาจจะไม่สามารถปฏิบัติตามได้ คือ ข้อตกลงที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เนื่องจากในสัญญาประนีประนอมยอมความระบุทํานองว่าให้มีการโอนสิทธิครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้แก่กัน ซึ่งอาจเป็นข้อตกลงที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายแล้ว จําเลยที่ 1 จึงขอสละโดยให้นําข้อตกลงที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมออกไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความ จําเลยที่ 1 ไม่ติดใจบังคับคดีหรือบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่ในข้อสัญญาส่วนอื่นให้คงไว้ตามสัญญาเดิม โจทก์และทนายโจทก์ไม่คัดค้านและยินยอมให้นําข้อตกลงที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในสัญญาประนีประนอมยอมความทั้งหมดออกไป คงปฏิบัติตามสัญญาข้ออื่น ๆ ตามเดิม ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เมื่อคู่ความตกลงกันในการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้างต้นจึงให้คู่ความทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในสํานวนตามเดิม ยกเว้นแต่ในเรื่องหรือข้อที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามความประสงค์ของคู่ความทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ แสดงว่าโจทก์และจําเลยที่ 1 ตกลงกันใหม่เพียงว่าให้นําเรื่องที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในสัญญาประนีประนอมยอมความออกไปเท่านั้น แต่ในข้อตกลงสัญญาประนีประนอมยอมความอื่นให้คงไว้ตามเดิม มิใช่เป็นการตกลงระงับข้อพิพาทและมีการตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความกันใหม่ทั้งหมด ดังนั้น โจทก์และจําเลยที่ 1 ยังคงมีหน้าที่ความผูกพันต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนอื่นตามเดิม เว้นแต่ในเรื่องที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมซึ่งมีการตกลงกันใหม่เท่านั้น ทั้งในวันที่จําเลยที่ 1 ชําระเงินงวดแรกให้แก่โจทก์ โจทก์ยังสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 โดยส่งมอบสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับที่ดิน เช่น สำเนาโฉนดที่ดิน สัญญาซื้อขาย หรือเอกสารอื่นใดที่แยกกันต่างหากไม่เกี่ยวกับเอกสารสิทธิการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้แก่จําเลยที่ 1 ในวันที่ 2 กันยายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่จําเลยที่ 1 ชําระเงินงวดแรกให้แก่โจทก์ได้อยู่แล้ว และในวันดังกล่าวโจทก์ก็ไม่ได้อ้างเหตุขัดข้องต่อจําเลยที่ 1 ว่าจะต้องรอให้มีการตกลงเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความกันเสียใหม่ก่อน เมื่อได้ความว่าโจทก์ส่งมอบสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวให้แก่จําเลยที่ 1 ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งล่วงเลยไปจากระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ถึง 2 เดือนเศษ จึงถือได้ว่าโจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จําเลยที่ 1 ย่อมร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีโจทก์ตามที่ตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 6 ได้โดยชอบ กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนหมายบังคับคดีโจทก์ คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2562 ซึ่งมีข้อตกลง ดังนี้ ข้อ 1 โจทก์และจำเลยที่ 1 ยินยอมหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 จะไปดำเนินการจดทะเบียนหย่า ณ สำนักทะเบียนอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใน 7 วัน นับแต่วันทำสัญญา หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ดำเนินการให้ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนา ข้อ 2 โจทก์ยินยอมถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ทันที โดยจำเลยที่ 2 จะไปดำเนินการถอนคำร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจำเลยที่ 2 กล่าวหาโจทก์ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ภายใน 7 วัน นับแต่วันทำสัญญา หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความแทนการแสดงเจตนา ข้อ 3 โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงร่วมกันว่าระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากัน โจทก์และจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินร่วมกัน คือ 3.1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 16383 และที่ดินโฉนดเลขที่ 16387 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 250 ซึ่งอยู่บนที่ดินทั้งสองแปลง 3.2 ที่ดินตามเอกสารสิทธิการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4 - 01) เนื้อที่ 15 ถึง 20 ไร่ ข้อ 4 จำเลยที่ 1 ยินยอมชำระเงินให้แก่โจทก์ 2,500,000 บาท เพื่อให้โจทก์ส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามข้อ 3.1 และข้อ 3.2 แก่จำเลยที่ 1 หรือบุคคลที่จำเลยที่ 1 จัดหามา โดยจำเลยที่ 1 จะแบ่งชำระเงินแก่โจทก์ ดังนี้ งวดที่ 1 ชำระเงิน 300,000 บาท ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2562 งวดต่อไปชำระเงินไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ภายในทุกวันสิ้นเดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 โดยจำเลยที่ 1 จะชำระผ่านบัญชีธนาคารชื่อบัญชี นางพิไล ธนาคาร ก. หากจำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ครบถ้วน โจทก์จะไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สินตามข้อ 3.1 และส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินตามข้อ 3.2 ให้แก่จำเลยที่ 1 หรือบุคคลที่จำเลยที่ 1 จัดหามาทันที โดยค่าใช้จ่าย ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าภาษีอากรในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ฝ่ายจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเองทั้งสิ้น หากโจทก์ไม่ดำเนินการในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองให้ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ข้อ 5 นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 อยู่อาศัยและครอบครองที่ดินตามข้อ 3.1 และข้อ 3.2 จนกว่าจำเลยที่ 1 จะชำระเงินแก่โจทก์ตามข้อ 4 ครบถ้วน โดยโจทก์จะไม่เข้าไปรบกวนการครอบครองของจำเลยที่ 1 และโจทก์จะส่งมอบสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับที่ดินตามข้อ 3.1 และข้อ 3.2 เช่น สำเนาโฉนดที่ดิน สัญญาซื้อขายและเอกสารสิทธิการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4 - 01) หรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวกับที่ดินข้างต้นให้แก่จำเลยที่ 1 ในวันที่จำเลยที่ 1 ชำระเงินงวดแรกแก่โจทก์และฝ่ายโจทก์จะนำฝ่ายจำเลยไปนำชี้ที่ดินตามข้อ 3.2 เพื่อให้จำเลยที่ 1 เก็บไว้เป็นหลักฐานและดำเนินการเสนอขายให้แก่บุคคลภายนอกต่อไป ข้อ 6 ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการนำทรัพย์สินตามข้อ 3.1 และข้อ 3.2 เสนอขายให้แก่บุคคลภายนอกได้ตลอดระยะเวลา โดยหากจำเลยที่ 1 จัดหาบุคคลมาซื้อทรัพย์สินดังกล่าวได้เป็นเงินจำนวนเท่าใดขอให้เงินจำนวนดังกล่าวตกแก่จำเลยที่ 1 ทั้งหมด โดยโจทก์ยินยอมไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ดำเนินการส่งมอบการครอบครองทรัพย์สิน หรือดำเนินการอื่นใดเพื่อให้การขายทรัพย์สินข้างต้นสมบูรณ์ ข้อ 7 หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระเงินตามข้อ 4 งวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยจำเลยที่ 1 ต้องขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินตามข้อ 3.1 และส่งมอบการครอบครองที่ดินตามข้อ 3.2 คืนแก่โจทก์และยินยอมให้โจทก์ริบเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระทั้งหมดได้ทันที หากโจทก์ผิดนัดไม่ไปดำเนินการตามข้อ 4 ถึงข้อ 6 โจทก์ยินดีคืนเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระมาแล้วทั้งหมดและยอมให้จำเลยที่ 1 บังคับคดีโดยให้ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนาในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามข้อ 3.1 และส่งมอบการครอบครองทรัพย์สินตามข้อ 3.2 ให้แก่จำเลยที่ 1 หรือบุคคลที่จำเลยที่ 1 จัดหามาทันที ข้อ 8 โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงตามข้อ 1 ถึงข้อ 7 นอกจากที่ตกลงกันแล้วโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างไม่ติดใจเรียกร้องและ/หรือฟ้องร้องดำเนินคดีใด ๆ ต่อกันอีก และโจทก์ตกลงนัดหมายและคืนทรัพย์ส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดที่บ้านของบิดาและมารดาโจทก์ในจังหวัดลำพูนและที่อื่น ๆ ภายใน 15 วัน นับแต่วันทำสัญญา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาตและจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ วันที่ 2 กันยายน 2562 ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ขอให้ขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 16383 และ 16387 และที่ดินตามเอกสารสิทธิการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4 - 01) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ วันที่ 3 กันยายน 2562 ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 สามารถชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในวันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 ซึ่งเป็นวันเปิดทำการวันแรกได้โดยชอบ กรณีถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัด จึงให้เพิกถอนหมายบังคับคดี ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2562 ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ทนายโจทก์ยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและมีคำสั่งว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ข้อ 5 ระบุว่า โจทก์จะส่งมอบสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับที่ดิน เช่น สำเนาโฉนดที่ดิน สัญญาซื้อขาย และเอกสารสิทธิการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4 - 01) ในวันที่จำเลยที่ 1 ชำระเงินงวดแรกแก่โจทก์ และฝ่ายโจทก์จะนำฝ่ายจำเลยไปนำชี้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4 - 01) เพื่อให้จำเลยที่ 1 เก็บไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้น เมื่อความปรากฏแล้วว่าจำเลยที่ 1 ชำระเงินงวดแรกแก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงข้างต้น จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อดังกล่าว ชอบที่จำเลยที่ 1 จะขอให้ออกหมายบังคับคดีได้ อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหนี้จะขอให้มีการบังคับคดี จะต้องยื่นคำขอต่อศาลให้บังคับคดีโดยระบุให้ชัดแจ้งถึงวิธีการที่ขอให้ศาลบังคับคดีด้วย แต่คำร้องของจำเลยที่ 1 หาได้ระบุวิธีการที่ขอให้ศาลบังคับคดีไว้แต่อย่างใด จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 275 ให้ยกคำร้อง วันที่ 9 ตุลาคม 2562 ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นนัดพร้อมเพื่อแก้ไขข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คู่ความทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในสำนวนตามเดิม ยกเว้นแต่ในเรื่องหรือข้อที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4 - 01) วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดี บังคับไปตามคำพิพากษาตามยอม วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีตามคำขอของทนายโจทก์ ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีของโจทก์ ศาลชั้นต้น มีคำสั่งว่า โจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 1 จึงชอบที่จะขอให้ออกหมายบังคับคดีได้ กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนหมายบังคับคดี ให้ยกคำร้องของโจทก์และให้เพิกถอนคำสั่งงดการบังคับคดี โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุเพิกถอนหมายบังคับคดีโจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 9 ตุลาคม 2562 ขอให้ศาลชั้นต้นนัดพร้อมเพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อกฎหมาย จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ว่า จำเลยที่ 1 ขอสละสิทธิเรียกร้องที่มีในสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนของที่ดินตามเอกสารสิทธิในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4 – 01) ที่ระบุในข้อ 3.2 และให้ข้อตกลงในส่วนอื่น ๆ ที่เหลือของสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับต่อคู่สัญญาโดยสมบูรณ์ต่อไป และในวันนัดพร้อมศาลชั้นต้นได้บันทึกรายงานกระบวนพิจารณาว่า ศาลสอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้วข้อสัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่ความอาจจะไม่สามารถปฏิบัติตามได้คือข้อตกลงที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เนื่องจากในสัญญาประนีประนอมยอมความระบุทำนองว่าให้มีการโอนสิทธิครอบครองที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้แก่กันซึ่งอาจเป็นข้อตกลงที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงขอสละโดยให้นำข้อตกลงที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมออกไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 1 ไม่ติดใจบังคับคดีหรือบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่ในข้อสัญญาส่วนอื่นให้คงไว้ตามสัญญาเดิม โจทก์และทนายโจทก์ไม่คัดค้านและยินยอมให้นำข้อตกลงที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในสัญญาประนีประนอมยอมความทั้งหมดออกไป คงปฏิบัติตามสัญญาข้ออื่น ๆ ตามเดิม ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อคู่ความตกลงกันในการบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้างต้น จึงให้คู่ความทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในสำนวนตามเดิม ยกเว้นแต่ในเรื่องหรือข้อที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามความประสงค์ของคู่ความทั้งสองฝ่าย เช่นนี้ แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันใหม่เพียงว่าให้นำเรื่องที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในสัญญาประนีประนอมยอมความออกไปเท่านั้น แต่ในข้อตกลงสัญญาประนีประนอมยอมความอื่นให้คงไว้ตามเดิม มิใช่เป็นการตกลงระงับข้อพิพาทและมีการตกลงเกี่ยวกับเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความกันใหม่ทั้งหมดตามที่โจทก์ฎีกา ดังนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ยังคงมีหน้าที่ความผูกพันต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนอื่นตามเดิม เว้นแต่ในเรื่องที่เกี่ยวกับที่ดินในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมซึ่งมีการตกลงกันใหม่เท่านั้น ทั้งในวันที่จำเลยที่ 1 ชำระเงินงวดแรกให้แก่โจทก์ โจทก์ยังสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 โดยส่งมอบสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับที่ดิน เช่น สำเนาโฉนดที่ดิน สัญญาซื้อขาย หรือเอกสารอื่นใดที่แยกกันต่างหากไม่เกี่ยวกับเอกสารสิทธิการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้แก่จำเลยที่ 1 ในวันที่ 2 กันยายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ชำระเงินงวดแรกให้แก่โจทก์ได้อยู่แล้วและในวันดังกล่าวโจทก์ก็มิได้อ้างเหตุขัดข้องต่อจำเลยที่ 1 ว่าจะต้องรอให้มีการตกลงเงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมยอมความกันใหม่เสียก่อนตามที่โจทก์ฎีกา เมื่อได้ความว่าโจทก์ส่งมอบสำเนาเอกสารที่เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งล่วงเลยไปจากระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ถึง 2 เดือนเศษ จึงถือได้ว่าโจทก์ผิดนัดผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 1 ย่อมร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีโจทก์ตามที่ตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 6 ได้โดยชอบ กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนหมายบังคับคดีโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|