ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




เบิกความเท็จต้องเป็นข้อสำคัญในคดีและศาลเชื่อคำเบิกความ

ทนายความ ฟ้องหย่า lawyer

เบิกความเท็จต้องเป็นข้อสำคัญในคดีและศาลเชื่อคำเบิกความ

เดิมโจทก์และจำเลยเคยเป็นสามีภริยากันมาก่อนภริยาฟ้องขอหย่าและขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ตามคำเบิกความในคดีแพ่ง (คดีครอบครัว) ตอนหนึ่งว่า สามีไม่เคยให้อะไรภริยาตลอดชีวิตสมรส เพื่อบ่งชี้ว่าสามีเป็นคนนิสัยตระหนี่ไม่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อและไม่เหมาะสมจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร แต่ในทางพิจารณาได้ความว่าสามีโอนเงินให้ภริยาหลายครั้ง จึงเป็นข้อสำคัญในคดี ภริยาทราบดีว่าคำเบิกความดังกล่าวเป็นความเท็จจึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จ วางโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 4,000 บาท รอการลงโทษ 2 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2795/2539

ในกรณีหย่าโดยคำพิพากษาของศาล ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1520 วรรคสอง กำหนดให้ศาลซึ่งพิจารณาคดีฟ้องหย่านั้นชี้ขาดด้วยว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใด ทั้งนี้ให้ศาลคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรนั้นเป็นสำคัญ คำเบิกความของจำเลยที่มีใจความว่าโจทก์ไม่เคยให้อะไรจำเลยตลอดชีวิตสมรสเพื่อบ่งชี้ว่าโจทก์เป็นคนนิสัยตระหนี่ไม่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ กับคำเบิกความที่มีใจความว่า ขณะบุตรทั้งสองอยู่ที่บ้านมารดาโจทก์ในประเทศสหรัฐอเมริกาโจทก์ไม่สนใจใยดีต่อบุตรทั้งสองปล่อยให้บุตรทั้งสองหาอาหารรับประทานเองและโจทก์ยังได้ทำโทษบุตรทั้งสองโดยให้นอนที่ระเบียงบ้านนอกห้องนอนทำให้หนาวเย็นจนเกิดความกลัวเพื่อบ่งชี้ว่าโจทก์ไม่มีความรักความห่วงใยในตัวบุตรทั้งสอง และโจทก์เป็นคนมีจิตใจโหดร้ายต่อบุตรทั้งสองไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองได้จึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องขอหย่าและขอให้ศาลชี้ขาดว่าจำเลยหรือโจทก์ฝ่ายใดสมควรจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรเพราะหากศาลเชื่อตามคำเบิกความของจำเลยศาลอาจชี้ขาดให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง และแม้ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของจำเลยตามความต้องการของบุตรทั้งสองเป็นประการสำคัญโดยมิได้ยกเอาคำเบิกความของจำเลยขึ้นวินิจฉัย แต่ข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องนำมาคำนึงถึงว่าจำเลยหรือโจทก์ฝ่ายใดควรจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองแล้วจะทำให้บุตรทั้งสองได้รับความผาสุกและประโยชน์ดีที่สุดเป็นสำคัญนั้นมีอยู่หลายประการ หาใช่มีแต่เพียงเหตุเดียวเฉพาะที่ศาลชั้นต้นยกมาอ้างอิงเอาไว้โดยเด่นชัดเท่านั้นไม่ ดังนั้นข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีมาแต่ต้น หากเป็นความเท็จการกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177 วรรคหนึ่ง

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา177, 91

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก วางโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกเห็นสมควรรอการลงโทษไว้ 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า"ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1520 วรรคสอง บัญญัติว่า "ในกรณีหย่าโดยคำพิพากษาของศาลให้ศาลซึ่งพิจารณาคดีฟ้องหย่านั้นชี้ขาดด้วยว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรคนใดทั้งนี้ให้ศาลคำนึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของบุตรนั้นเป็นสำคัญ" ดังนั้นคำเบิกความของจำเลยที่มีใจความว่าโจทก์ไม่เคยให้อะไรจำเลยตลอดชีวิตสมรสเพื่อบ่งชี้ว่าโจทก์เป็นคนนิสัยตระหนี่ไม่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ กับเบิกความมีใจความว่าขณะบุตรทั้งสองอยู่ที่บ้าน(มารดา)โจทก์ในประเทศสหรัฐอเมริกา โจทก์ไม่สนใจใยดีต่อบุตรทั้งสองปล่อยให้บุตรทั้งสองหาอาหารรับประทานเอง และโจทก์ยังได้ทำโทษบุตรทั้งสองโดยให้นอนที่ระเบียงบ้านนอกห้องนอนทำให้หนาวเย็นจนเกิดความกลัว เพื่อบ่งชี้ว่าโจทก์ไม่มีความรักความห่วงใยในตัวบุตรทั้งสองและโจทก์เป็นคนมีจิตใจโหดร้ายต่อบุตรทั้งสองไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองให้ได้รับความผาสุกได้ จึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยฟ้องขอหย่าและขอให้ศาลชี้ขาดว่าจำเลยหรือโจทก์ฝ่ายใดสมควรจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร เพราะหากศาลเชื่อตามคำเบิกความจำเลยศาลอาจชี้ขาดให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองโดยเห็นว่าโจทก์มีนิสัยและจิตใจไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองให้ได้รับความผาสุกได้ เท่ากับให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองของจำเลยตามความต้องการของบุตรทั้งสองเป็นประการสำคัญ มิได้ยกเอาคำเบิกความของจำเลยขึ้นวินิจฉัย หากจะฟังว่าคำเบิกความของจำเลยในการพิจารณาคดีแพ่งในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นเท็จก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดีนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา เพราะข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องนำมาคำนึงถึงว่าจำเลยหรือโจทก์ฝ่ายใดเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองแล้วจะยังให้บุตรทั้งสองได้รับความผาสุกและประโยชน์ดีที่สุดเป็นสำคัญนั้นมีอยู่หลายประการ นิสัยและจิตใจของผู้ที่จะใช้อำนาจปกครองตลอดจนความสมัครใจของบุตรทั้งสองว่าต้องการจะอยู่กับฝ่ายใดล้วนเป็นเหตุที่ศาลจะนำมาพิจารณาชี้ขาดในประเด็นข้อนี้ได้ทั้งสิ้น หาใช่มีอยู่เพียงเหตุเดียวเฉพาะที่ศาลชั้นต้นยกมาอ้างอิงเอาไว้โดยเด่นชัดเท่านั้นไม่ ดังนั้นข้อเท็จจริงตามคำเบิกความจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีมาแต่ต้น แม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นจะมิได้ยกเอามาวินิจฉัยแต่ขณะจำเลยเบิกความข้อเท็จจริงนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีหากเป็นความเท็จดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยการกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา177 วรรคหนึ่ง ได้ ฎีกาของโจทก์จึงฟังขึ้นแต่เนื่องจากว่าจำเลยได้อุทธรณ์โต้แย้งไว้ว่าคำเบิกความของจำเลยไม่เป็นความเท็จนั้นศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก

พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยเบิกความไว้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2531 ตามเอกสารหมายจ.17 มีข้อความว่า "จำเลย(หมายถึงโจทก์คดีนี้)ไม่เคยให้อะไรข้าฯตลอดชีวิตสมรส" กับเบิกความไว้เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2530 ตามเอกสารหมาย จ.12 มีข้อความว่า "ในระหว่างที่บุตรสาวทั้งสองอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำเลยปล่อยปละให้บุตรทั้งสองอยู่กับนางจูน นอกจากนี้นางเมลานี่ยังบอกเล่าให้ข้าฯฟังว่าในระหว่างที่เขาอยู่ที่บ้านของจำเลย(หมายถึงโจทก์)เพื่อรอรับบุตรสาวทั้งสองมามอบให้ข้าฯ ตามคำสั่งศาลนั้นบุตรสาวทั้งสองตื่นนอนต้องหาอาหารรับประทานเองจำเลยและมารดาของจำเลยไม่สนใจใยดี นอกจากนี้ยังทราบจากบุตรสาวคนเล็กว่าจำเลยกับพวกทำโทษบุตรสาวโดยให้นอนอยู่ที่ระเบียงบ้านนอกห้องนอนทำให้หนาวเย็นจนเกิดความกลัว" คงมีปัญหาว่าคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นความเท็จหรือไม่ซึ่งโจทก์ได้นำสืบพิสูจน์ความจริงไว้ดังนี้คือโจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2519 โจทก์ทำงานมีรายได้จากหลายแห่งรายได้ที่ได้รับมาโจทก์ได้โอนเข้าบัญชีของจำเลยตามหลักฐานเอกสารหมาย จ.2 จ.8 ประกอบเอกสารหมาย จ.5 จ.9 จำเลยเคยเขียนจดหมายขอเงินโจทก์โจทก์ส่งเงินให้จำเลยจำเลยเขียนจดหมายตอบว่าได้รับเงินแล้วตามหลักฐานเอกสารหมาย จ.10 นอกจากนี้โจทก์ให้จำเลยใช้เครดิตการ์ด หลักฐานเอกสารหมาย จ.25 จ. 27 จ. 32 ถึง จ.34 แล้วเรียกเก็บเงินจากโจทก์ตามหลักฐานเอกสารหมาย จ.26 จ.28 และ จ.35 และจำเลยเคยไปที่บ้านโจทก์จึงทราบได้ดีว่าที่บ้านโจทก์ไม่มีระเบียงบ้านดังปรากฎตามภาพถ่ายบ้านโจทก์หมาย จ.13 โจทก์และมารดาโจทก์เบิกความยืนยันว่าขณะบุตรทั้งสองของโจทก์และจำเลยอยู่ที่บ้านมารดาโจทก์ที่สหรัฐอเมริกานั้นโจทก์และมารดาโจทก์เป็นผู้หาอาหารให้บุตรสาวทั้งสองของโจทก์และจำเลยรับประทานหาใช่ให้บุตรสาวทั้งสองของโจทก์และจำเลยหาอาหารรับประทานเองไม่ จำเลยนำสืบรับว่าโจทก์เคยโอนเงินมาเข้าบัญชีจำเลยที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาลาดพร้าว ตามเอกสารหมาย จ.2 จ.3 จ.9 และจำเลยเป็นผู้ใช้เงินตามเครดิตการ์ดหลักฐานเอกสารหมาย จ. 27 จ.34 จ.35 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์เคยให้เงินจำเลยใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินไม่น้อย ดังนั้นที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ไม่เคยให้อะไรแก่จำเลยตลอดชีวิตสมรสจึงเป็นความเท็จ ส่วนคำเบิกความของจำเลยเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2530 ตามเอกสารหมาย จ.12 นั้นเป็นข้อความที่จำเลยอ้างว่าได้รับคำบอกเล่ามาจากนางเมลานี่และจากบุตรสาวของจำเลยแต่ก็มีเจตนาที่จะให้ศาลเชื่อตามคำเบิกความของจำเลยนั้น เมื่อจำเลยนำบุตรสาวจำเลยทั้งสองและนางเมลานี่มาเบิกความในคดีหมายเลขดำที่ 53/2529 ตามเอกสารหมาย ล.8 ถึง ล.10 จำเลยก็หาได้ซักถามให้ปรากฎข้อความสนับสนุนคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวไม่ จึงเห็นได้ว่าจำเลยเบิกความกล่าวอ้างขึ้นเองโดยลำพัง จำเลยย่อมทราบได้ดีว่าข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จที่จำเลยเพิ่งนำเด็กหญิงวนิษาบุตรจำเลยมาสนับสนุนคำให้การจำเลยในชั้นนี้นั้นไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น"

พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น




เบิกความเท็จ