

คดีเบิกความเท็จ, การวินิจฉัยของศาลฎีกาเรื่องเบิกความเท็จ, ความหมายของการเพิกถอนกระบวนพิจารณา ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ คดีเบิกความเท็จ, การวินิจฉัยของศาลฎีกาเรื่องเบิกความเท็จ, ความหมายของการเพิกถอนกระบวนพิจารณา *ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ยกฟ้องคดีเบิกความเท็จ ชี้คำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งไม่เป็นเท็จ และไม่เข้าข่ายความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177* ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ โดยเห็นว่า การเบิกความของจำเลยเกิดขึ้นในขณะที่กระบวนการพิจารณายังไม่ได้ถูกเพิกถอน หากคำเบิกความนั้นเป็นเท็จและมีผลสำคัญต่อคดีก็ถือว่ากระทำผิดสำเร็จแล้ว แม้กระบวนการดังกล่าวจะถูกเพิกถอนในภายหลัง ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 135/2560 ของศาลชั้นต้น จำเลยเบิกความว่าโจทก์กู้ยืมเงิน 1,000,000 บาท โดยมีหลักฐานสนับสนุน ขณะที่โจทก์อ้างว่ากู้ยืมเพียง 240,000 บาท ศาลชั้นต้นพิจารณาว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลย 1,000,000 บาทจริง ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยจึงไม่ถือว่าเป็นเท็จ และไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1694/2567 คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ โดยเห็นว่า การพิจารณาที่จำเลยเบิกความนั้นศาลได้เพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีดังกล่าวไปแล้ว แต่ขณะที่จำเลยเบิกความตามที่เป็นคดีในคำฟ้องนี้ การพิจารณาคดียังมิได้ถูกเพิกถอน หากฟังได้ว่าจำเลยเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีก็ย่อมมีความผิด และถือได้ว่าได้กระทำความผิดสำเร็จไปแล้ว แม้การพิจารณาในส่วนดังกล่าวต่อมาจะถูกเพิกถอนก็หาได้กระทบการกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้วไม่ ดังนั้น การที่จำเลยเบิกความต่อศาลในคดีแพ่งดังกล่าว จำเลยได้เบิกความต่อศาลแล้ว แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งก็ไม่มีผลกระทบการกระทำของจำเลย แต่การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดหรือไม่ อยู่ที่ว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ เมื่อในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 135/2560 ของศาลชั้นต้น จำเลยเบิกความว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลย 1,000,000 บาท โดยจำเลยเบิกความประกอบสำเนาหลักฐานการกู้ยืมเงินและสำเนารายงานประจำวันรับแจ้ง ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 135/2560 ของศาลชั้นต้น ส่วนโจทก์ให้การและนำสืบในคดีแพ่งว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยเพียง 240,000 บาท ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์กู้ยืมและรับเงินไปจากจำเลย 1,000,000 บาท ดังนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า คำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งดังกล่าวที่เบิกความว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลย 1,000,000 บาท เป็นความเท็จ การที่จำเลยเบิกความในคดีแพ่งหมายเลขแดง ผบ 135/2560 ของศาลชั้นต้น จึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 ***โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งขอให้ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมตามคดีหมายเลขแดงที่ ผบ 135/2560 ของศาลชั้นต้น วันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนกระบวนพิจารณา ตั้งแต่รับหนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 และสัญญาประนีประนอมยอมความทั้งกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย ต่อมาวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 จำเลยเบิกความต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลย 1,000,000 บาท วันที่ 2 สิงหาคม 2561 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 967,744 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้โจทก์ชำระเงิน จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาและสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับเป็นว่า ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณารับหนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 และสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่เดียวกันไปจนถึงมีคำพิพากษาฉบับลงวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ที่ให้โจทก์ชำระเงิน โจทก์ขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา ยกคำร้อง และไม่รับฎีกาของโจทก์ คดีถึงที่สุด คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยเบิกความในคดีแพ่งหมายเลขแดง ผบ 135/2560 ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ โดยเห็นว่า การพิจารณาที่จำเลยเบิกความนั้นศาลได้เพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีดังกล่าวไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะที่จำเลยเบิกความตามที่เป็นคดีในคำฟ้องนี้ การพิจารณาคดียังมิได้ถูกเพิกถอน หากฟังได้ว่าจำเลยเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีก็ย่อมมีความผิด และถือได้ว่าได้กระทำความผิดสำเร็จไปแล้ว แม้การพิจารณาในส่วนดังกล่าวต่อมาจะถูกเพิกถอนก็หาได้กระทบการกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้วไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ดังนั้น การที่จำเลยเบิกความต่อศาลจังหวัดตากในคดีแพ่งดังกล่าว จำเลยได้ทำการเบิกความต่อศาลแล้ว แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งดังกล่าวก็ไม่มีผลกระทบการกระทำของจำเลย แต่การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดหรือไม่ อยู่ที่ว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 135/2560 ของศาลชั้นต้น จำเลยเบิกความว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลย 1,000,000 บาท โดยจำเลยเบิกความประกอบสำเนาหลักฐานการกู้ยืมเงินและสำเนารายงานประจำวันรับแจ้ง ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ 135/2560 ของศาลชั้นต้น ส่วนโจทก์ให้การและนำสืบในคดีแพ่งดังกล่าวว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยเพียง 240,000 บาท ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์กู้ยืมและรับเงินไปจากจำเลย 1,000,000 บาท ดังนี้ คดีนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า คำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งดังกล่าวที่เบิกความว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลย 1,000,000 บาท เป็นความเท็จ การที่จำเลยเบิกความในคดีแพ่งหมายเลขแดง ผบ 135/2560 ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 จึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 • คดีเบิกความเท็จ • คำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับเบิกความเท็จ • ความหมายของการเพิกถอนกระบวนพิจารณา • คดีแพ่งหมายเลขแดง ผบ 135/2560 • เจตนาการเบิกความเท็จในศาล • ผลกระทบของการเพิกถอนกระบวนพิจารณา • ความสำคัญของคำเบิกความในคดีแพ่ง • การวินิจฉัยของศาลฎีกาเรื่องเบิกความเท็จ • ตัวอย่างคดีเกี่ยวกับมาตรา 177 ***คำพิพากษาศาลฎีกาสรุปโดยย่อ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ฐานเบิกความเท็จ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล จึงประทับฟ้อง แต่เมื่อพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาจากศาลชั้นต้น ศาลฎีกาพิจารณาว่า •ข้อเท็จจริงไม่โต้แย้งกันว่า จำเลยเคยฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งและคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาและคำพิพากษาตามยอม จากนั้นจำเลยเบิกความต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์กู้ยืมเงิน 1,000,000 บาท ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวนดังกล่าว •ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณา แต่ไม่กระทบต่อการกระทำของจำเลยที่ได้เบิกความ •ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเบิกความในคดีแพ่งดังกล่าว แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะเพิกถอนกระบวนพิจารณา แต่การเบิกความเกิดขึ้นในระหว่างที่กระบวนพิจารณายังมีผลอยู่ ดังนั้น การกระทำดังกล่าวจึงถือว่าทำสำเร็จไปแล้ว •อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงจากคดีแพ่งที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์กู้ยืมเงิน 1,000,000 บาท ไม่ปรากฏว่าคำเบิกความดังกล่าวเป็นความเท็จ เพราะศาลชั้นต้นในคดีแพ่งรับฟังว่าโจทก์กู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าว ดังนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำเบิกความของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามมาตรา 177 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 6 ***หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 1. เนื้อหาของกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 กำหนดว่า “ผู้ใดเบิกความเท็จในชั้นศาลหรือในการสืบสวนของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย อันเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นสาระสำคัญในการพิจารณาคดีหรือกระบวนการสืบสวน ต้องระวางโทษ...” หลักกฎหมายนี้มุ่งคุ้มครองกระบวนการยุติธรรม โดยมุ่งป้องกันการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จที่อาจส่งผลต่อการพิจารณาคดีของศาล หรือการสืบสวนสอบสวนของเจ้าพนักงาน 2. องค์ประกอบความผิด การกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 177 ต้องประกอบด้วยเงื่อนไขต่อไปนี้: 1.การเบิกความ oต้องเป็นการให้ถ้อยคำต่อศาลในกระบวนการพิจารณาคดี หรือต่อเจ้าพนักงานที่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนตามกฎหมาย 2.ความเท็จ oข้อมูลหรือถ้อยคำที่ให้ต่อศาลหรือเจ้าพนักงานต้องเป็นเท็จ ซึ่งหมายถึงเป็นข้อมูลที่ขัดแย้งกับความจริง 3.เกี่ยวกับสาระสำคัญของคดี oข้อมูลที่ให้ต้องมีความสำคัญต่อประเด็นการพิจารณาหรือกระบวนการสืบสวน เช่น ข้อเท็จจริงที่มีผลต่อผลคำพิพากษาหรือการดำเนินคดี 4.โดยเจตนา oผู้กระทำต้องมีเจตนาให้ถ้อยคำเท็จโดยรู้ว่าข้อมูลนั้นไม่ตรงกับความจริง 3. การวินิจฉัยความผิดในคดีที่เกี่ยวข้อง จากบทความที่สรุปมา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า: •การเบิกความของจำเลยในคดีแพ่ง แม้ต่อมาจะถูกเพิกถอนกระบวนพิจารณา แต่การเบิกความเกิดขึ้นในขณะที่กระบวนการยังมีผลอยู่ การกระทำจึงถือว่าสำเร็จแล้วในขณะนั้น •อย่างไรก็ตาม คำเบิกความของจำเลยที่ว่าโจทก์กู้ยืมเงินจำนวน 1,000,000 บาท ไม่ปรากฏว่าเป็นความเท็จ เนื่องจากศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวในคดีแพ่ง ดังนั้น การเบิกความของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามมาตรา 177 เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคำเบิกความเป็นเท็จจริง 4. ประเด็นสำคัญที่ผู้อ่านควรทราบ •การเพิกถอนกระบวนพิจารณา หากกระบวนพิจารณาถูกเพิกถอนในภายหลัง ไม่ได้หมายความว่าการกระทำผิดในขณะนั้นจะถูกลบล้าง แต่ต้องพิจารณาแยกว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่ •การพิสูจน์ความเท็จ ในคดีที่เกี่ยวกับการเบิกความเท็จ ต้องมีการพิสูจน์ว่าคำเบิกความนั้นไม่เป็นความจริง และเกี่ยวข้องกับสาระสำคัญในคดี •ความสำคัญของความซื่อสัตย์ในกระบวนการยุติธรรม กฎหมายมาตรา 177 มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม โดยกำหนดบทลงโทษผู้ที่ให้ข้อมูลเท็จเพื่อแสวงหาผลประโยชน์หรือหลอกลวงศาล 5. ตัวอย่างกรณีศึกษา ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยฐานเบิกความเท็จ จำเลยได้ให้ถ้อยคำต่อศาลว่ามีการกู้ยืมเงินจำนวนหนึ่ง ศาลต้องพิจารณาว่าข้อมูลดังกล่าวขัดแย้งกับความจริงหรือไม่ หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นความเท็จ จำเลยจะไม่ถูกลงโทษตามมาตรา 177 บทบัญญัติและการตีความมาตรา 177 จึงมีความสำคัญในการสร้างความยุติธรรมและป้องกันการใช้กระบวนการศาลในทางที่ผิด ***ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 การเบิกความเท็จต่อศาลในข้อสำคัญของคดีถือเป็นความผิดอาญา ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับมาตรานี้: 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2561: ในคดีนี้ ศาลวินิจฉัยว่าความผิดฐานเบิกความเท็จตามมาตรา 177 นั้น ข้อความเท็จที่เบิกความต่อศาลต้องเป็นข้อสำคัญในคดี ซึ่งหมายถึงต้องมีผลทำให้แพ้ชนะคดีกันได้โดยอาศัยคำเบิกความอันเป็นเท็จเท่านั้น ฎีกาย่อ: ความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 กำหนดว่าข้อความเท็จที่เบิกความต้องเป็นข้อสำคัญในคดี หมายถึงต้องมีผลถึงขนาดทำให้แพ้ชนะคดีกันได้โดยตรง ศาลชั้นต้นพิจารณาคำเบิกความของโจทก์และพยานประกอบกัน โดยไม่ได้ใช้คำเบิกความของจำเลยในการตัดสินผลแพ้ชนะคดี เพียงนำมารับฟังประกอบว่าหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอ ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี และไม่อาจลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จได้ 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2548: ศาลพิจารณาว่าความผิดฐานเบิกความเท็จตามมาตรา 177 ข้อความเท็จที่เบิกความต่อศาลต้องเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างแท้จริงถึงขนาดมีผลทำให้แพ้ชนะคดีกันได้โดยอาศัยคำเบิกความอันเป็นเท็จนั้น ฎีกาย่อ: ความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 กำหนดว่าข้อความเท็จต้องเป็นข้อสำคัญในคดี มีผลถึงขนาดทำให้แพ้ชนะคดีกันได้ คดีแพ่งที่โจทก์ถูก ท. ฟ้องเรียกเงินคืน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ ท. ชนะโดยอาศัยพยานเอกสารเป็นหลัก ส่วนคำเบิกความของพยานบุคคลเพียงรับฟังประกอบเท่านั้น โดยไม่ได้ใช้คำเบิกความของจำเลยเป็นเหตุในการตัดสินผลแพ้ชนะ ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี และไม่อาจลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จได้ 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18211/2555: ศาลวินิจฉัยว่าความผิดฐานเบิกความเท็จและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตามมาตรา 177 และมาตรา 180 นั้น คำเบิกความและพยานหลักฐานอันเป็นเท็จจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดีที่เบิกความหรือนำสืบด้วย ฎีกาย่อ: ความผิดฐานเบิกความเท็จและนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 และ 180 กำหนดให้คำเบิกความหรือพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต้องเป็นข้อสำคัญในคดี และโจทก์ต้องบรรยายในฟ้องให้ชัดเจน แต่ในคดีนี้โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าคำเบิกความและพยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสามแสดงนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร ฟ้องจึงขาดความชัดเจนพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ แม้จะมีการแนบเอกสารประกอบฟ้องก็ตาม เอกสารเหล่านั้นไม่ได้แสดงข้อสำคัญในคดีอย่างเพียงพอ ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8691/2550: ในคดีนี้ ศาลพิจารณาว่าความเท็จที่จะถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดีต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดี ฎีกาย่อ: ความเท็จที่ถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดีต้องมีผลทำให้คู่ความแพ้ชนะในประเด็นแห่งคดี คดีนี้มีข้อพิพาทว่าจำเลยทำสัญญาค้ำประกันหรือไม่ จำเลยเบิกความว่าตนไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาและลายมือชื่อนั้นไม่ใช่ของตน ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทโดยตรงและเป็นข้อสำคัญในคดี เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคำเบิกความเป็นเท็จ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6962/2550: ศาลวินิจฉัยว่าการฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ ต้องดำเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด หากเกินระยะเวลานั้น ผู้ให้จะไม่สามารถเรียกถอนคืนการให้ได้ ฎีกาย่อ: โจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนที่ดินห้าแปลงจากจำเลย โดยอ้างว่าจำเลยประพฤติเนรคุณด้วยการด่าว่าและหมิ่นประมาทโจทก์ในฐานะบุพการีในช่วงปลายปี 2538 ถึงต้นปี 2539 จำเลยปฏิเสธข้อกล่าวหาและยกเรื่องอายุความเป็นข้อต่อสู้ โดยตาม ป.พ.พ. มาตรา 533 กำหนดอายุความการถอนคืนการให้ไว้ 6 เดือนนับแต่วันที่โจทก์ทราบเหตุโจทก์ฟ้องคดีในวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 ซึ่งเกินกว่า 6 เดือน ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความตามกฎหมาย *****ความหมายของการเพิกถอนกระบวนพิจารณา การเพิกถอนกระบวนพิจารณาเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกการพิจารณาคดีหรือกระบวนการที่ดำเนินไปก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากเหตุผลทางกฎหมายที่ทำให้กระบวนการนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เป็นธรรมกับคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด การเพิกถอนกระบวนพิจารณามีความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของคู่ความ และสร้างความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม 1. ความหมายตามกฎหมาย การเพิกถอนกระบวนพิจารณาหมายถึง การที่ศาลมีคำสั่งให้กระบวนการพิจารณา หรือคำสั่งใด ๆ ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย สิ้นผลไป เช่น การพิจารณาที่เกิดจากการบิดเบือนข้อเท็จจริง การขาดการแจ้งสิทธิให้แก่คู่ความ หรือการดำเนินกระบวนการโดยปราศจากอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย 2. เหตุผลที่ศาลอาจเพิกถอนกระบวนพิจารณา ศาลอาจพิจารณาเพิกถอนกระบวนพิจารณาในกรณีที่พบว่ามีเหตุที่ทำให้กระบวนการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น: •การแจ้งเอกสารไม่ถูกต้อง: หากคู่ความไม่ได้รับเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคดีอย่างครบถ้วน อาจเป็นเหตุให้ศาลเพิกถอนกระบวนการพิจารณาเพื่อให้คู่ความได้รับสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม •การละเมิดสิทธิของคู่ความ: หากพบว่ากระบวนการพิจารณาละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของคู่ความ เช่น การไม่แจ้งวันนัดพิจารณา หรือการไม่ให้คู่ความมีโอกาสแสดงพยานหลักฐาน •การกระทำที่เป็นโมฆะ: หากการพิจารณามีพื้นฐานจากข้อผิดพลาดในทางกฎหมาย เช่น การรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ได้มีการบันทึก หรือการแต่งตั้งผู้แทนที่ไม่มีอำนาจ 3. ผลของการเพิกถอนกระบวนพิจารณา เมื่อศาลมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณา กระบวนการหรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องจะถือเป็นโมฆะ ไม่มีผลทางกฎหมาย และจะต้องเริ่มกระบวนการใหม่ตั้งแต่จุดที่มีความผิดพลาดหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยปกติจะต้องดำเนินการให้คู่ความทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในกระบวนการใหม่อย่างเท่าเทียม 4. ความสำคัญของการเพิกถอนกระบวนพิจารณา การเพิกถอนกระบวนพิจารณาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม และรักษาสิทธิของคู่ความ โดยศาลจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้มั่นใจว่าการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างชอบด้วยกฎหมาย และไม่ละเมิดสิทธิของคู่ความฝ่ายใด 5. ตัวอย่างกรณีศึกษา ในบางกรณี การเพิกถอนกระบวนพิจารณาอาจเกิดขึ้นได้ เช่น: •คดีที่เอกสารมอบอำนาจไม่ถูกต้อง: หากพบว่าคู่ความใช้เอกสารมอบอำนาจที่ไม่สมบูรณ์ ศาลอาจพิจารณาเพิกถอนกระบวนการที่ดำเนินไปบนพื้นฐานของเอกสารดังกล่าว •การเบิกความเท็จในกระบวนการ: หากพบว่าคำเบิกความหรือพยานหลักฐานที่นำเสนอในศาลเป็นเท็จ อาจเป็นเหตุให้ศาลเพิกถอนกระบวนการเพื่อป้องกันผลกระทบที่ไม่เป็นธรรมต่อคู่ความฝ่ายหนึ่ง 6. ข้อควรระวัง การร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาจะต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนและเป็นไปตามข้อกฎหมาย หากไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ ศาลอาจปฏิเสธคำร้อง ซึ่งอาจทำให้คู่ความเสียสิทธิและโอกาสในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม สรุป การเพิกถอนกระบวนพิจารณาเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้แก้ไขความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม เพื่อสร้างความเป็นธรรมและรักษาสิทธิของคู่ความทุกฝ่าย ศาลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและใช้ดุลยพินิจอย่างเหมาะสม เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปตามหลักกฎหมายและความยุติธรรมอย่างแท้จริง
|
![]() |