

ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ข้อ 5. โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ประมาทเลินเล่อโดยถอยรถขึ้นมาบนถนนอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถคันที่บุตรโจทก์ขับ ทำให้รถโจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นค่าซ่อมรถยนต์จำนวน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า บุตรโจทก์ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อ ทำให้รถเสียหลักตกไหล่ทางแล้วพุ่งเข้าชนรถจำเลยซึ่งตกหล่มอยู่ จำเลยจึงไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายสูงกว่าความเป็นจริง และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าบุตรโจทก์กระทำการในฐานะเป็นอะไรกับโจทก์ และบุตรโจทก์ยังเป็นผู้เยาว์หรือบรรลุนิติภาวะแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลย แต่เห็นว่าค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมานั้นสูงเกินไป และฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่า (ก) พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าเหตุละเมิดเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลย (ข) ฟ้องโจทก์เคลือบคุม เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าบุตรโจทก์ขับรถมาด้วยความเร็วปกติและใช้ความระมัดระวังเต็มที่พอที่จะให้จำเลยทราบสภาพแห่งข้อหาและแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเพียงพอ ให้วินิจฉัยว่า จำเลยจะอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวได้หรือไม่ ธงคำตอบ (ก) โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 120,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเพียง 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย และโจทก์มิได้อุทธรณ์ ถือว่าโจทก์พอใจตามคำพิพากษา เมื่อจำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวว่าไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ต้องถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มีเท่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินคือ 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเท่านั้น และดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ก็จะนำมาคำนวณรวมเป็นทุนทรัพย์ไม่ได้ จึงต้องถือว่าคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท (คำพิพากษาฎีกาที่ 5894/2541) ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังไม่ได้ว่าเหตุละเมิดเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง (คำพิพากษาฎีกาที่ 89/2540, 8984/2541) อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ไม่ได้ (ข) ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าบุตรโจทก์กระทำการในฐานะเป็นอะไรกับโจทก์ และบุตรโจทก์ยังเป็นผู้เยาว์หรือบรรลุนิติภาวะแล้ว ซึ่งแตกต่างกับที่จำเลยอุทธรณ์ว่าฟัองโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายฟัองว่าบุตรโจทก์ขับรถมาด้วยความเร็วปกติและใช้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง (คำพิพากษาฎีกาที่ 2864/2546) จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ไม่ได้ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคำรับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ แล้วแต่กรณี บทบัญญัติในวรรคหนึ่งมิได้ให้บังคับในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวและคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เว้นแต่ในคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา การขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้น พร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ให้ศาลส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวเพื่อพิจารณารับรอง มาตรา 225 ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้นคู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งจะต้องเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย ถ้าคู่ความฝ่ายใดมิได้ยกปัญหาข้อใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือคู่ความฝ่ายใดไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายใด ๆ ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ หรือเพราะเหตุเป็นเรื่องที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาชั้นอุทธรณ์ คู่ความที่เกี่ยวข้องย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5894/2541 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224กำหนดว่าในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้คดีนี้โจทก์จะฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 105,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเพียงห้าหมื่นบาทพร้อมดอกเบี้ย และโจทก์มิได้อุทธรณ์ถือว่าโจทก์พอใจตามคำพิพากษา เมื่อจำเลยอุทธรณ์แต่ฝ่ายเดียวว่าไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ต้องถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มีเท่ากับที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระคือห้าหมื่นบาทพร้อมดอกเบี้ยเท่านั้นและดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จก็จะนำมาคำนวณรวมเป็นทุนทรัพย์ไม่ได้ จึงต้องถือว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ได้ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ท-3844 กรุงเทพมหานครและแล่นขึ้นไปชนโจทก์ซึ่งเดินอยู่บนทางเท้าได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 105,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง(วันที่ 20 มิถุนายน 2539) จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์จำเลย จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งรับมีเพียงข้อเดียวว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์เท่าใดและต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 บัญญัติว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้คดีนี้โจทก์จะฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 105,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเพียงห้าหมื่นบาทพร้อมดอกเบี้ยและโจทก์มิได้อุทธรณ์ถือว่าโจทก์พอใจตามคำพิพากษา เมื่อจำเลยอุทธรณ์แต่ฝ่ายเดียวว่าไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็ต้องถือว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มีเท่ากับที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระคือห้าหมื่นบาทพร้อมดอกเบี้ยเท่านั้นและดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จก็จะนำมาคำนวณรวมเป็นทุนทรัพย์ไม่ได้ จึงต้องถือว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท เมื่อจำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงเป็นการชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน |