

โจทก์ขาดนัดพิจารณาโจทก์จึงไม่มีพยานมาสืบในประเด็นข้อพิพาทจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ภาระการพิสูจน์ ข้อ 4. โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กู้ และ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน ให้ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันจำนวน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ สัญญากู้เป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ยื่นคำขอต่อศาลให้มีคำพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ามูลความแห่งคดีที่โจทก์ฟ้องเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ ให้รอการพิพากษาไว้ก่อน เมื่อศาลดำเนินการพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เสร็จสิ้นแล้ว จะได้มีคำพิพากษาต่อไป ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความทราบนัดโดยชอบแล้ว ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 มาศาล ส่วนโจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่มีผู้ใดมา จำเลยที่ 1 แถลงต่อศาลขอให้ศาลดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปโดยจำเลยที่ 1 ไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 2 ขาดนัดพิจารณาและจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์จะสืบพยาน จึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ จำเลยทั้งสองต่างยื่นอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสอง การที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังขึ้นหรือไม่ ธงคำตอบ กรณีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ไม่มาศาลในวันสืบพยานและไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ให้ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยที่ 1 ได้แจ้งต่อศาลในวันสืบพยานขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลชั้นต้นต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีส่วนของจำเลยที่ 1 ไปฝ่ายเดียวตาม มาตรา 202 เมื่อจำเลยที่ 1 แถลงไม่ติดในสืบพยาน ศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยคดีไปตามภาระการพิสูจน์ เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์ แต่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบในประเด็นข้อพิพาท จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี (คำพิพากษาฎีกาที่ 2181/2535, 1411/2541) ศาลชั้นต้นชอบที่จะพิพากษายกฟัองโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความจึงไม่ชอบ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น กรณีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การ ไม่มาศาลในวันสืบพยานระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ถือว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดพิจารณาตาม มาตรา 198 ตรี วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดพิจารณา จึงไม่ชอบ เมื่อโจทก์ขาดนัดพิจารณาและจำเลยที่ 1 แถลงขอให้ศาลดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป โดยจำเลยที่ 1 ไม่ติดใจจสืบพยาน ศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยคดีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปตามภาระการพิสูจน์ และต้องพิพากษายกฟัองเพราะโจทก์ไม่ได้นำสืบให้ได้ความตามที่ฟ้อง และศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ได้ด้วย เพราะมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ อุทณรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น กฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาตรา 200 ภายใต้บังคับมาตรา 198 ทวิ และมาตรา 198 ตรี ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลในวันนัดอื่นที่มิใช่วันสืบพยาน ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นสละสิทธิการดำเนินกระบวนพิจารณาของตนในนัดนั้น และทราบกระบวนพิจารณาที่ศาลได้ดำเนินไปในนัดนั้นด้วยแล้ว มาตรา 202 ถ้าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความ เว้นแต่จำเลยจะได้แจ้งต่อศาลในวันสืบพยานขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปก็ให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียว มาตรา 198 ตรี ในคดีที่จำเลยบางคนขาดนัดยื่นคำให้การ ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การนั้นไปก่อนและดำเนินการพิจารณาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ยื่นคำให้การต่อไปแต่ถ้ามูลความแห่งคดีนั้นเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ ให้ศาลรอการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีโดยขาดนัดยื่นคำให้การไว้ก่อน เมื่อศาลดำเนินการพิจารณาสำหรับจำเลยที่ยื่นคำให้การเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีไปตามรูปคดีสำหรับจำเลยทุกคน ในกรณีที่จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การไม่มาศาลในวันสืบพยานของคู่ความอื่นมิให้ถือว่าจำเลยนั้นขาดนัดพิจารณา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 369/2524 โจทก์ขาดนัดพิจารณา จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวให้โจทก์แพ้คดีในประเด็นพิพาท โจทก์ขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นมิให้พิจารณาใหม่ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201, 207 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในคดีโจทก์ขาดนัดพิจารณา โจทก์ขอพิจารณาใหม่ ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่ จำเลยอุทธรณ์ฎีกาได้ ในวันนัดพิจารณาโจทก์ไม่มาศาล ศาลสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาศาลนัดสืบพยานจำเลยต่อไป จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าทนายโจทก์ป่วย มิได้จงใจขาดนัด จึงมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "จำเลยฎีกาต่อไปเป็นปัญหาข้อกฎหมายอีก 3 ข้อด้วยกัน ข้อแรกการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปฝ่ายเดียวต้องห้ามโจทก์ขอพิจารณาใหม่ตามกฎหมาย และการที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาจะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้ตามกฎหมายพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ขาดนัดพิจารณา และจำเลยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จากนั้นศาลชั้นต้นได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวให้โจทก์แพ้คดีในประเด็นพิพาท ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นมิให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207และกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง โจทก์จึงมีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามมาตรา 207ข้อที่สองจำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่าปัญหาข้อกฎหมายข้อนี้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ในชั้นขอพิจารณาใหม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 จึงไม่รับวินิจฉัยให้ ข้อที่สามจำเลยฎีกาว่าคำขอพิจารณาใหม่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะมิได้คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำขอให้พิจารณาใหม่ของโจทก์ได้กล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่า โจทก์มีพยานเอกสารคือต้นฉบับหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อและหนังสือของจำเลยที่มีไปถึงโจทก์ยอมรับเกี่ยวกับหนี้สินรายนี้ กับมีพยานบุคคล คือนายอภิชาด โกวิทย์กูลไกร เป็นพยานรู้เห็นในการทำสัญญารับสภาพหนี้ของจำเลยหากศาลอนุญาตให้มีการพิจารณาคดีใหม่จะทำให้โจทก์ชนะคดีจำเลยไว้ ซึ่งแสดงว่าโจทก์มีหลักฐานพยานทั้งบุคคลและเอกสารที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริง จึงเป็นการคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้โจทก์แพ้คดีในประเด็นพิพาทโดยละเอียดชัดแจ้งแล้ว" พิพากษายืน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1411/2541 คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์มีภาระการพิสูจน์ แต่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบในประเด็นข้อพิพาทที่ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีนั้นแล้วว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องและพิสูจน์ถึงสิทธิของโจทก์ในการครอบครองที่ดินพิพาทในคดีนี้อีกได้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ฟ้องคดีหลังว่าจำเลยขอออกโฉนดที่ดินทับที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง ขอให้ศาลเพิกถอนโฉนดที่ดินของจำเลยในส่วนที่ออกทับที่ดินที่โจทก์มีสิทธิห้ามจำเลยกับพวกเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนนี้อีกต่อไป เมื่อปรากฎว่าคดีก่อนที่โจทก์ฟ้องจำเลย ถึงที่สุดโดยศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ผลของคดีย่อมผูกพันคู่ความโจทก์จะมากล่าวอ้างในคดีนี้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหาได้ไม่ เพราะเป็นของโจทก์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนที่ถึงที่สุดไปแล้ว ฟ้องของโจทก์คดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148 โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน 1 แปลง ซึ่งกว้าง 1 เส้น ยาว 5 เส้น 5 วา เป็นของโจทก์โดยโจทก์ได้รับการยกให้จากมารดาโจทก์ แล้วโจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของติดต่อกันมาตั้งแต่ปลายปี 2495 จนถึงปัจจุบันเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2513 จำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมออกโฉนดที่ดินเลขที่ 15094 ทับที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์บางส่วนเป็นเนื้อที่ 3 งาน 20 ตารางวา ปรากฎตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเอกสารหมายเลข 1 การกระทำของจำเลยเป็นไปโดยไม่สุจริต จึงขอให้พิพากษาเพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 15094 เฉพาะส่วนที่ออกทับที่ดินของโจทก์และให้จำเลยส่งมอบที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ในสภาพเดิม ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนนี้ต่อไป จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 15094 แบ่งแยกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11412 ของนางวอน จูคล้ายหล่อ จำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 15094 มาโดยสุจริตเมื่อปลายปี 2512 แล้วครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาถึงปัจจุบันฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 564/2535 ของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 15094 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วขอให้ยกฟ้อง ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์และจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ 564/2535 ของศาลชั้นต้น ที่ดินพิพาทในคดีนี้และที่ดินพิพาทในคดีก่อนเป็นที่ดินแปลงเดียวกันโดยที่ดินพิพาทในคดีก่อนเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทในคดีนี้ และที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 15094 ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นจะต้องสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกต่อศาลชั้นต้นตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 564/2535 ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน อันเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้และเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 15094 ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และจำเลยกับพวกปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินพิพาทคิดเป็นเนื้อที่74 ตารางวา ขอให้ขับไล่จำเลยกับพวกออกไปพร้อมกับขนย้ายสิ่งปลูกสร้างกับทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทในคดีนั้นด้วยในที่สุดศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เพราะโจทก์ไม่มีพยานมาสืบโจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด ส่วนคดีนี้โจทก์อ้างว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินและเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 15094 ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 15094เฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้คิดเป็นเนื้อที่ 3 งาน20 ตารางวาด้วย คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 564/2535ของศาลชั้นต้นหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาข้อแรกว่า คดีก่อนศาลยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เนื่องจากคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยมิได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิที่จะฟ้องและพิสูจน์ถึงสิทธิของโจทก์ในการครอบครองที่ดินพิพาทในคดีนี้ได้นั้น เห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 564/2535 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามที่จำเลยแถลงขอ เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์ แต่โจทก์ไม่มีพยานมาสืบในประเด็นข้อพิพาทที่ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ จำเลยทำละเมิดและต้องรื้อถอนกับต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้น ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีนั้นแล้วว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า คดีก่อนโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกับพวกทำละเมิดโดยการถมดินและสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำที่ดินพิพาท ขอให้บังคับจำเลยกับพวกรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขอออกโฉนดที่ดินเลขที่ 15094 ทับที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง ขอให้ศาลเพิกถอนโฉนดที่ดินของจำเลยในส่วนที่ออกทับที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองโดยชอบและให้จำเลยส่งมอบที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ในสภาพเดิมห้ามจำเลยกับพวกเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนนี้อีกต่อไป คดีทั้งสองจึงมีประเด็นและข้อเท็จจริงแห่งคดีแตกต่างกันนั้น เห็นว่าเมื่อคดีก่อนถึงที่สุดโดยศาลฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ผลของคดีย่อมผูกพันคู่ความ โจทก์จะมากล่าวอ้างในคดีนี้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหาได้ไม่เพราะประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในคดีนี้ก็คือโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ เช่นเดียวกับคดีก่อนนั่นเอง หาได้มีประเด็นและข้อเท็จจริงแห่งคดีแตกต่างกันดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ที่โจทก์ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า แม้โจทก์จะรับว่าที่ดินพิพาทคดีนี้อยู่ในส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยแปลงโฉนดที่ดินเลขที่ 15094 ก็ตาม แต่คดีก่อนไม่มีข้อพิพาทในคดีเกี่ยวข้องกับที่ดินจำเลยแปลงดังกล่าวแต่อย่างใด ส่วนคดีนี้มีข้อพิพาทโดยตรงเกี่ยวข้องกับที่ดินจำเลยแปลงดังกล่าวภายในกรอบเส้นสีชมพูตามแผนที่พิพาทเห็นได้แจ้งชัดว่าประเด็นและเหตุในคดีนี้แตกต่างกับประเด็นและเหตุในคดีก่อน จึงไม่จำต้องอาศัยเหตุอย่างเดียวกันในการวินิจฉัยคดีนี้นั้น เห็นว่า การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกโดยที่โจทก์และจำเลยเป็นคู่ความเดียวกันทั้งที่ดินพิพาทก็เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แม้คดีก่อนจะไม่มีข้อพิพาทในคดีเกี่ยวข้องกับที่ดินจำเลยแปลงโฉนดที่ดินเลขที่ 15094 ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้อง คำให้การ และข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันแล้ว เห็นได้ว่าประเด็นแห่งคดีที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็เพื่อให้ศาลชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนที่ถึงที่สุดไปแล้ว ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 พิพากษายืน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6751/2561 คดีที่เสร็จไปโดยการที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุโจทก์ (เจ้าหนี้) ขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 202 นั้น เป็นผลจากการที่โจทก์ละทิ้งหรือทอดทิ้งคดีของตน ทำนองเดียวกับคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่ถอนฟ้องและทิ้งฟ้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง ซึ่งให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง โจทก์จึงไม่ได้รับประโยชน์จากการฟ้องคดีที่จะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) คำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุโจทก์ขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 202 มีผลอย่างเดียวกับคำพิพากษาของศาลที่ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคสอง เมื่ออายุความแห่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์ครบไปแล้วในระหว่างการพิจารณาคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำสั่งจำหน่ายคดีถึงที่สุด (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2561) |