ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตน

สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตน

ข้อ 6. นายเฉลิมออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าระบุชื่อนายเด่นเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าแก่นายเด่น โดยมีนายวินลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าเช็คเป็นประกัน นายเด่นได้สลักหลังเช็คดังกล่าวแล้วนำไปขายลดแก่นายชาติ ครั้นถึงกำหนดชำระเงินตามเช็ค ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นายเด่นได้ใช้เงินตามเช็คให้แก่นายชาติพร้อมกับรับเช็คคืนมาและทวงถามนายเฉลิมกับนายวินให้ใช้เงินตามเช็ค นายเฉลิมต่อสู้ว่านายเด่นเป็นผู้สลักหลังไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็ค ส่วนนายวินต่อสู้ว่าด้านหน้าเช็คไม่มีข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัล จึงไม่ต้องรับผิดให้

วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายเฉลิมและนายวินฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

การที่นายเด่นสลักหลังเช็คแล้วนำไปขายลดแก่นายชาติ แม้นายเด่นจะอยู่ในฐานะผู้สลักหลังมิใช่ผู้ทรงเช็คตามที่นายเฉลิมต่อสู้ก็ตาม (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339-6340/2539) แต่เมื่อภายหลังที่นายชาติผู้ทรงเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้แล้ว นายเด่นได้ใช้เงินตามเช็คให้แก่นายชาติพร้อมกับรับเช็คคืนมา นายเด่นย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับนายชาติผู้ทรงในการที่จะบังคับเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 967 วรรคสาม ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2499,3421/2525, 2879/2536) นายเด่นจึงมีสิทธิเรียกร้องให้นายเฉลิมในฐานะผู้สั่งจ่ายรับผิดใช้เงินตามเช็คได้ ข้อต่อสู้ของนายเฉลิมฟังไม่ขึ้น

การที่นายวินลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าเช็คเป็นประกันการชำระหนี้ค่าสินค้าของนายเฉลิมผู้สั่งจ่าย แม้จะไม่มีข้อความใด ๆ ก็ตาม ก็จัดว่าเป็นคำรับอาวัลนายเฉลิมผู้สั่งจ่ายแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 939 วรรคสาม ประกอบมาตรา 989 ซึ่งเป็นการอาวัลตามผลของกฎหมาย จึงไม่ต้องมีการเขียนข้อความระบุว่าใช้ได้เป็นอาวัลตามมาตรา 939 วรรคสอง แต่อย่างใด นายวินจึงต้องรับผิดอย่างเดียวกันกับนายเฉลิมผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 ข้อต่อสู้ของนายวินฟังไม่ขึ้น

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 967 "ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้น บรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดี รับรองก็ดี สลักหลังก็ดี หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง

ผู้ทรงย่อมมีสิทธิว่ากล่าวเอาความแก่บรรดาบุคคลเหล่านี้เรียงตัว หรือรวมกันก็ได้ โดยมิพักต้องดำเนินตามลำดับที่คนเหล่านั้นมาต้องผูกพัน

สิทธิเช่นเดียวกันนี้ ย่อมมีแก่บุคคลทุกคนซึ่งได้ลงลายมือชื่อในตั๋วเงิน และเข้าถือเอาตั๋วเงินนั้น ในการที่จะใช้บังคับเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่ แล้วก่อนตน

การว่ากล่าวเอาความแก่คู่สัญญาคนหนึ่ง ซึ่งต้องรับผิดย่อมไม่ตัดหน ทางที่จะว่ากล่าวเอาความแก่คู่สัญญาคนอื่น ๆ แม้ทั้งจะเป็นฝ่ายอยู่ใน ลำดับภายหลังบุคคลที่ได้ว่ากล่าวเอาความมาก่อน "

มาตรา 989 "บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงิน ดั่งจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับ สภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบท มาตรา 910,มาตรา 914 ถึง มาตรา 923,มาตรา 925,มาตรา 926,มาตรา 938 ถึง มาตรา 940, มาตรา 945,มาตรา 946,มาตรา 959มาตรา 967,มาตรา 971

ถ้าเป็นเช็คที่ออกมาแต่ต่างประเทศ ท่านให้นำบทบัญญัติดั่งต่อไปนี้ มาใช้บังคับด้วย คือบท มาตรา มาตรา 924,มาตรา 960 ถึง มาตรา 964,มาตรา 973 ถึง มาตรา 977,มาตรา 980 "

มาตรา 939 "อันการรับอาวัลย่อมทำให้กันด้วยเขียนลงในตั๋วแลก เงินนั้นเอง หรือที่ใบประจำต่อ

ในการนี้พึงใช้ถ้อยคำสำนวนว่า "ใช้ได้เป็นอาวัล" หรือสำนวนอื่นใด ทำนองเดียวกันนั้น และลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล

อนึ่ง เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงินท่าน ก็จัดว่าเป็นคำรับอาวัลแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่าย หรือผู้สั่งจ่าย

ในคำรับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือ ว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย"

มาตรา 940 "ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคล ซึ่งตนประกัน

แม้ถึงว่าความรับผิดใช้เงินอันผู้รับอาวัลได้ประกันอยู่นั้น จะตกเป็น ใช้ไม่ได้ด้วยเหตุใด ๆ นอกจากเพราะทำผิดแบบระเบียบ ท่านว่าข้อ ที่สัญญารับอาวัลนั้นก็ยังคงสมบูรณ์

เมื่อผู้รับอาวัลได้ใช้เงินไปตามตั๋วแลกเงินแล้ว ย่อมได้สิทธิในอัน จะไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลซึ่งตนได้ประกันไว้ กับทั้งบุคคลทั้งหลายผู้รับ ผิดแทนตัวผู้นั้น"

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339/2539

เช็คพิพาทเป็นเช็คระบุชื่อย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ โจทก์สลักหลังเช็คพิพาทแล้วส่งมอบให้ธนาคารก.เพื่อขายลดเช็ค ย่อมโอนไปซึ่งบรรดาสิทธิอันเกิดแต่เช็คนั้นธนาคารก. จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ และเมื่อนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจึงมิใช่การเรียกเก็บเงินในฐานะที่โจทก์ยังเป็นผู้ทรงเช็คอยู่ครั้นเมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คให้ธนาคารก.และรับเช็คพิพาทคืนมาโจทก์จึงอยู่ในฐานะผู้สลักหลังหาใช่ผู้ทรงเช็ค ขณะนั้นไม่จึงต้องฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายภายในเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่โจทก์เข้าถือเอาเช็คพิพาทและใช้เงิน

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลฎีกาสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน

โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสมุทรสาคร ลงวันที่ 20 มกราคม 2535จำนวนเงิน 60,000 บาท และลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2535 จำนวนเงิน 60,000 บาท เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าแทนนางสุดา สุนทรโรหิตให้แก่โจทก์ ก่อนเช็คถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวไปขายลดให้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสมุทรสาครต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนด ธนาคารกรุงเทพ จำกัด นำเช็คไปเข้าบัญชี แต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธว่าจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับ โจทก์ในฐานะผู้สลักหลังได้ชำระเงินให้แก่ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาสมุทรสาคร จนครบถ้วนและรับเช็คกับใบคืนเช็คคืนมา โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย และได้ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามเช็คฉบับแรกแก่โจทก์ 64,487.67 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 60,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และตามเช็คฉบับที่ 2จำนวน 64,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 60,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การทั้งสองสำนวนทำนองเดียวกันว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 เนื่องจากเช็คดังกล่าวเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้มีชื่อ การโอนเช็คย่อมโอนกันได้โดยสลักหลังและส่งมอบ โจทก์ซึ่งเป็นผู้สลักหลังสามารถฟ้องไล่เบี้ยผู้สลักหลังกันเองและไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยผู้สั่งจ่ายเช็คได้ภายในเวลา 6 เดือน นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระเงินและรับเช็คคืนจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสมุทรสาคร โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นเวลา 6 เดือนดังกล่าว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาโจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ชำระเงินให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสมุทรสาครและรับเช็คพิพาทตามสำนวนแรกคืนมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2535ตามสำนวนที่ 2 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2535 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาทั้งสองสำนวน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเช็คระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า "ผู้ถือ" ออกก่อนถึงกำหนดเรียกเก็บเงินโจทก์นำไปทำสัญญาขายลดไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาสมุทรสาคร โดยโจทก์ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทไว้ด้วย ต่อมาเมื่อถึงกำหนดเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้เข้าถือเอาเช็คพิพาทและใช้เงินให้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสมุทรสาคร เมื่อวันที่24 มกราคม 2535 และวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2535 แล้วโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2536 และวันที่22 กุมภาพันธ์ 2536 ตามลำดับ คดีมีปัญหาวินิจฉัยในข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คระบุชื่อ จึงย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ การที่โจทก์สลักหลังเช็คพิพาทแล้วส่งมอบให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสมุทรสาคร เพื่อขายลดเช็คนั้นย่อมโอนไปซึ่งบรรดาสิทธิอันเกิดแต่เช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 920, 989ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสมุทรสาคร จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาสมุทรสาคร นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจึงมิใช่การเรียกเก็บเงินในฐานะที่โจทก์ยังเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทดังฎีกาโจทก์แต่อย่างใด ครั้นต่อมาเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาสมุทรสาคร และรับเช็คพิพาทคืนมา โจทก์จึงอยู่ในฐานะผู้สลักหลังหาใช่ผู้ทรงเช็คขณะนั้นไม่ โจทก์มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายได้ภายในเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่โจทก์เข้าถือเอาเช็คพิพาทและใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อล่วงเลยระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันดังกล่าว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2499

ผู้สลักหลังเช็ค จ่ายเงินตามเช็คให้แก่ผู้ทรงไปแล้วเพราะไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยจากผู้สั่งจ่าย

โจทก์ฟ้องกล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2496 จำเลยทั้งสองขอให้โจทก์จ่ายเงิน 35,000 บาทให้ก่อน โจทก์จึงจ่ายให้แล้วจำเลยที่ 1 ออกเช็คให้ 2 ฉบับ โดยจำเลยที่ 2 เซ็นสลักหลัง ดังสำเนาท้ายฟ้อง

ครั้นถึงวันกำหนดในเช็ค โจทก์นำเช็คสองฉบับไปขอเบิกเงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด ๆ ไม่จ่ายเงินให้เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินในธนาคารพอที่จะจ่ายให้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยใช้เงิน 35,000 บาทให้แก่โจทก์ และเสียดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้เสร็จ

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้เซ็นชื่อหลังเช็คที่โจทก์ฟ้องจริง แต่จำเลยที่ 1 คนเดียวเป็นผู้รับเงินไปจากโจทก์ ขอให้โจทก์เร่งรัดเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ก่อน ขาดเหลือเท่าใดจำเลยที่ 2 ชำระให้จนครบ

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เคยขอให้โจทก์จ่ายเงินและไม่เคยได้รับเงิน 35,000 บาทไปจากโจทก์เลย เช็คที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยมิได้ออกให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จ่ายเช็คสองฉบับนั้นให้จำเลยที่ 2 ยืมไปเพื่อให้เจ้าหนี้ยึดไว้เป็นประกัน จำเลยที่ 2 รับรองว่าจะคืนเช็คให้แก่จำเลยที่ 1 แต่แล้วก็ไม่คืนให้และฟ้องแย้งว่า โจทก์ออกเช็คธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ 10,000 บาท ให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 สลักหลังเช็คนำเช็คมาขึ้นเอาเงินไปจากจำเลยที่ 1 จำเลยขอยืมเงิน นายกีเส่งให้จำเลยที่ 2 ไป 10,000 บาทต่อมาได้นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร แต่โจทก์ไม่มีเงินในธนาคาร จึงยังไม่ได้รับเงินตามเช็ค ขอให้โจทก์และจำเลยที่ 2 ร่วมกันใช้เงินให้แก่จำเลยที่ 1 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี

จำเลยที่ 2 ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองคนได้ขอยืมเช็คสั่งจ่ายเงินหนึ่งหมื่นบาทของโจทก์มาเพื่อเป็นหลักฐานในการค้าชั่วคราวแล้วจะคืนให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ได้จ่ายเงินหมื่นบาทให้แก่ใครเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนค้าขายกันได้มาขอยืมเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้าของโจทก์ 10,000 บาทโจทก์ได้จ่ายเช็คล่วงหน้าให้จำเลย 10,000 บาท โดยสั่งจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ทำหลักฐานยืมไว้ที่ต้นขั้วเช็ค ต่อมาจำเลยไม่คืนเช็คให้แก่โจทก์ โดยบอกว่าหาไม่พบ

ศาลแพ่งพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองคนร่วมกันใช้เงิน35,000 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าใช้เสร็จ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เสีย

จำเลยที่ 1 ผู้เดียว อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คงพิพากษายืน

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาฟังคำแถลงทั้งสองฝ่ายแล้ว ได้ความในทางพิจารณาว่าจำเลยทั้งสองเกี่ยวเป็นญาติ และเป็นหุ้นส่วนทำลังบรรจุขวดโคคาโคล่าโจทก์สืบพยานว่า ก่อนนี้จำเลยเคยยืมเงินโจทก์โดยวิธีแลกเช็คหลายครั้ง ๆ นี้ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2496 จำเลยทั้งสองนำเช็ค 2 ฉบับ มาขอแลกจำนวนเงิน35,000 บาท เช็คฉบับ 1 จำนวน 5,000 บาทลงวันที่ 15 กันยายน 2496 อีกฉบับหนึ่ง จำนวน 30,000 บาทลงวันที่ 1 ตุลาคม 2496 โจทก์จ่ายเงินให้34,500 บาท ก่อนถึงกำหนดวันในเช็ค จำเลยมาขอผลัดหลายครั้ง จนในที่สุดโจทก์นำเช็คไปเบิกเงินที่ธนาคารไม่ได้

จำเลยที่ 1 สืบแก้ว่า ไม่เคยรู้จักโจทก์มาก่อน เพิ่งรู้จักในวันนำเช็คมาทวงเงิน เช็คจำนวน 5,000 บาทนั้น จำเลยที่ 2 ยืมจำเลยเพื่อเอาไปให้เจ้าหนี้ยึดแทนเช็คจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีเงิน ส่วนเช็คฉบับ 30,000 บาทนั้น จำเลยที่ 2ก็ยืมไปเพื่อเปลี่ยนกับเช็คเก่าซึ่งจำเลยที่ 2 ออกให้ไว้ จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินตามเช็ค 2 ฉบับเลย

ส่วนเช็คฉบับ 10,000 บาทของโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งนั้นจำเลยที่ 1สืบพยานว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2496 จำเลยที่ 2 นำเช็คฉบับนี้มาขอแลกเงินจำเลยไม่มีเงินจึงสลักหลังให้นายกีเส่ง ๆ จ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มอบเงินให้แก่จำเลยที่ 2 ไปครั้นแล้วนายกีเส่งนำเช็คมาคืนว่า ไปเบิกเงินไม่ได้จำเลยจึงจ่ายเงินให้นายกีเส่งไป จำเลยเคยทวงเงินตามเช็คฉบับนี้จากจำเลยที่ 2แต่ไม่เคยทวงจากโจทก์

ฝ่ายโจทก์สืบแก้ว่า จำเลยทั้งสองมาขอยืมเงินโจทก์ 10,000 บาทโจทก์ว่าเงินในธนาคารมีไม่พอ จำเลยจึงยืมเช็คเพื่อไปวางประกันการซื้อไม้โจทก์จึงออกเช็คให้ไป โดยให้จำเลยที่ 2 เซ็นรับเช็คไว้หลังต้นขั้วเช็ค ถึงกำหนดโจทก์ไปทวงเช็คจากจำเลยที่ 1 ๆ ว่าเช็คหาย

ในเรื่องเช็ค 2 ฉบับ ที่โจทก์ฟ้องนี้ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดจำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์แตกต่างกันในการเขียนเช็คและจ่ายเงินมากไม่น่าเชื่อ ศาลนี้พิจารณาแล้วเห็นว่า คำพยานมีแตกกันบ้างแต่ก็ไม่สำคัญถึงแก่ให้เชื่อว่าโจทก์มิได้จ่ายเงินแก่จำเลยส่วนที่จำเลยฎีกาว่าเช็ค 2 ฉบับนี้ เลขลำดับห่างกันถึง 7-8 ฉบับไม่น่าเชื่อ จำเลยได้ออกให้โจทก์ในคราวเดียวกันดังที่โจทก์นำสืบนั้น พิจารณาเห็นว่าการที่เลขลำดับเช็คห่างกันมากเช่นนี้ ย่อมแล้วแต่จำเลยผู้ออกเช็คจะเลือกใช้ หรือจำเลยอาจเห็นว่า ระยะเวลาชำระเงินห่างกันอาจใช้เช็คให้ผิดกันหลายลำดับเลขก็ได้ อย่างไรก็ดีเหตุนี้ไม่เป็นข้อให้สันนิษฐานเด็ดขาดว่า เช็ค 2 ฉบับนี้ มิได้ออกในคราวเดียวกัน เมื่อเช็คจำเลยตกอยู่แก่โจทก์และจำเลยสืบหักล้างไม่ได้ จำเลยก็ต้องรับผิด

ในเรื่องเช็คฉบับ 10,000 บาท ที่จำเลยฟ้องแย้งนี้ เป็นเช็คโจทก์ออกให้จำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 2 สืบว่า จำเลยทั้งสองยืมโจทก์มา และจำเลยที่ 2 เซ็นนามไว้ในต้นขั้วเช็คด้วย โดยไม่ได้ให้เงินโจทก์และก่อนหน้านี้จำเลยก็เคยยืมแล้วนำมาคืน ซึ่งฝ่ายจำเลยที่ 1 สืบปฏิเสธว่าไม่ได้ยืมและสืบว่า ได้จ่ายเงินตามเช็คนี้ให้นายกีเส่งไป

พิจารณาประเด็นนี้แล้ว เห็นว่า เช็คฉบับนี้โจทก์เป็นผู้ออกหน้าที่โจทก์จะต้องสืบให้ชัดถึงเหตุที่ออก โจทก์ว่า ออกไปเพราะจำเลยยืม และจำเลยที่ 2 ก็รับว่ายืมจริง ทั้งได้เซ็นไว้ในต้นขั้วเช็คด้วยว่ายืม แต่พึงระลึกว่า แม้จำเลยทั้งสองจะเกี่ยวเป็นญาติและเป็นหุ้นส่วนกันทางพิจารณาก็ปรากฏว่า เกิดแตกร้าวกันในเรื่องทรัพย์อย่างมากถึงแก่ต้องเลิกหุ้นส่วนกัน จะฟังคำจำเลยที่ 2 เป็นประมาณนักย่อมไม่ได้ ส่วนโจทก์นั้นก็ปรากฏว่า เคยใช้เช็คแลกเงินเป็นปกติ ไฉนจึงปล่อยให้เช็คของตนไปตกอยู่ในมือผู้อื่นเป็นเวลาช้านาน โดยมิได้จัดการบอกล้างหรือแจ้งความอย่างใด เมื่อจำเลยผู้สลักหลังสืบได้ว่าตนได้จ่ายเงินไปเพราะเช็คของโจทก์เช่นนี้ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยจากโจทก์ผู้เจ้าของเช็ค และจำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังเช็คคนแรกได้

เหตุนี้จึงพิพากษาแก้เฉพาะที่จำเลยฟ้องแย้งเป็นให้โจทก์และจำเลยที่ 2ร่วมกันรับผิดใช้เงิน 10,000 แก่จำเลยที่ 1 กับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี แต่วันฟ้องแย้ง ให้จำเลยทั้งสองเสียค่าธรรมเนียมทั้ง 3 ศาล แทนโจทก์กึ่งหนึ่งกับค่าทนาย 500 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3421/2525

เช็คพิพาทเป็นเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ย่อมโอนให้แก่กันได้โดยการส่งมอบ เมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 ถึงแม้โจทก์จะสลักหลังโอนเช็คให้ ป. และ ป. นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ ซึ่งถือว่า ป. เป็นผู้เสียหายในขณะที่เช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทคืนมา โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้ทรงในการที่จะบังคับเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 967ประกอบกับมาตรา 989

การที่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญา หาทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแพ่งไปด้วยไม่

จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังเช็ค ย่อมเป็นผู้สลักหลังเมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังอยู่ก่อนโจทก์ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์

หนี้เงินตามเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น จะคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด จะคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ลงในเช็คหาได้ไม่(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 901/2505)

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาบางกะปิอันเป็นเช็คชนิดออกให้แก่ผู้ถือ โดยจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในฐานะผู้สั่งจ่ายมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลัง เพื่อชำระหนี้ให้แก่บุคคลผู้มีชื่อ และผู้มีชื่อนำมาชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์ได้นำเช็คไปเข้าบัญชีเงินฝากของตัวแทนโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2522 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายและต่อสู้ในข้ออื่นอีก ขอให้พิพากษายกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยสลักหลังเช็คพิพาทลายมือสลักหลังเป็นลายมือปลอม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้อง

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คไม่มีอำนาจฟ้องและจำเลยที่ 2ไม่ได้สลักหลังเช็คพิพาท

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือย่อมโอนให้แก่กันได้โดยการส่งมอบ เมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 ถึงแม้โจทก์จะสลักหลังโอนเช็คให้นายประสิทธิ์ และนายประสิทธิ์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ ซึ่งถือว่านายประสิทธิ์เป็นผู้เสียหายในขณะที่เช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย แต่เมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทคืนมา โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้ทรงในการที่จะบังคับเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 967 ประกอบกับ มาตรา 989การที่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญา หาทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแพ่งด้วยไม่

จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังเช็คพิพาท ย่อมเป็นผู้สลักหลัง เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังอยู่ก่อนโจทก์ ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ข้อที่อ้างว่าจำเลยที่ 2เขียนข้อความว่าเป็นพยานในการรับเงินค่าลูกรังของนางกาญจนา จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้สลักหลังนั้น มิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่รับวินิจฉัย

แต่ที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงินนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า เพิ่มมีการนำเช็คไปขอรับเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2522 ก่อนหน้านั้นจำเลยไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 901/2505

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2522 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2879/2536

เช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือย่อมโอนให้แก่กันโดยการส่งมอบเมื่อโจทก์ได้รับเช็คไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 แม้โจทก์จะสลักหลังโอนเช็คให้แก่บริษัท ท.และบริษัทท. นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ ซึ่งถือว่าบริษัท ท. เป็นผู้เสียหายในขณะเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้รับเช็คคืนมา โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้ทรงในการที่จะบังคับเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 967 วรรคสาม ประกอบมาตรา 989วรรคแรก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีนี้อันเนื่องมาจากสัญญาซื้อขายลดเช็คที่จำเลยที่ 1ทำไว้กับโจทก์ จึงมีอายุความฟ้องร้อง 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ และเมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับเงินตามเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน หนี้จึงไม่ระงับไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 วรรคสาม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการได้นำเช็คมาขายลดแก่โจกท์และรับเงินไปครบถ้วนแล้ว เช็คฉบับดังกล่าวมีนายเซียวคิ้ม แซ่เตียวเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย จำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อสลักหลังพร้อมประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาโจทก์ได้สลักหลังเช็คฉบับดังกล่าวแล้วนำไปขายลดให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ครั้นถึงกำหนดชำระเงินตามเช็คบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัดได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คในฐานะผู้สลักหลังและผู้ขายลดเช็คให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ไปครบถ้วนแล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ได้โอนเช็คพิพาทตามฟ้อง โดยการขายลดเช็คให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ไปแล้วโจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้สลักหลังเช็คพิพาทในคดีนี้พร้อมประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 แล้วนำไปชำระหนี้ให้แก่นายวินัยและนายวุฒิมิได้นำไปขายลดเช็คให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 199,908 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2522 ถึงวันฟ้องแต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 196,576 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของเงิน 199,908 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด เมื่อพ.ศ. 2520 จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าขายลดเช็คกับโจทก์ในวงเงิน500,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยมีข้อตกลงกันว่าเช็คที่นำมาขายลดแต่ละฉบับต้องไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท และขั้นสูงต้องไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4ถึง จ.6 ต่อมาเดือนกรกฎาคม 2522 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จากการขายลดเช็คเป็นเงิน 259,908 บาท จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพาหุรัด ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2522จำนวนเงิน 30,000 บาท และฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2522จำนวนเงิน 30,000 บาท ส่วนหนี้ที่เหลืออีกจำนวน 199,908 บาท จำเลยที่ 1 ได้มอบเช็คเอกสารหมาย จ.7 ให้แก่โจทก์โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังพร้อมประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ในเช็คดังกล่าวไว้ด้วย

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อสองมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ รับฟังได้ว่า ภายหลังที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด เรียกเก็บเงินตามเช็คเอกสารหมาย จ.7 ไม่ได้แล้วโจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด พร้อมกับรับเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 คืนมา เช็คเอกสารหมาย จ.7 เป็นเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือย่อมโอนให้แก่กันโดยการส่งมอบ เมื่อโจทก์ได้รับเช็คเอกสารหมาย จ.7 ไว้ในครอบครองโจทก์จึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 แม้โจทก์จะสลักหลังโอนเช็คให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ ซึ่งถือว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด เป็นผู้เสียหายในขณะเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้รับเช็คเอกสารหมาย จ.7 คืนมาโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้ทรงในการที่จะบังคับเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 967 วรรคสาม ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ข้อสามมีว่า เช็คเอกสารหมาย จ.7 ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้สลักหลังเช็คพ้นกำหนด 1 ปีแล้ว จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 เห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้อันเนื่องมาจากสัญญาซื้อขายลดเช็คที่จำเลยที่ 1ทำไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4 จึงมีอายุความฟ้องร้อง10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าเช็คเอกสารหมาย จ.7 ไม่ใช่เช็คที่จำเลยทั้งสี่นำไปขายลดให้แก่โจทก์แต่เป็นเช็คที่มีผู้อื่นนำมาชำระหนี้แทนโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้สลักหลังเช็ค ย่อมแสดงว่ามีข้อตกลงประนีประนอมยอมความและยินยอมให้บุคคลภายนอกชำระหนี้แทน จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่เป็นเรื่องตั๋วเงินและเช็ค ดังนั้นสัญญาขายลดเช็คจึงระงับไปก่อนที่จะมีการสั่งจ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.7 โจทก์จึงสิ้นสิทธิเรียกร้องตามสัญญาขายลดเช็คด้วยนั้น ในข้อนี้คดีได้ความยุติว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คเอกสารหมาย จ.7 มาชำระหนี้ให้โจทก์เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับเงินตามเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน หนี้จึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม และมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่"

พิพากษายืน

 




การสอบเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 58(วิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์)

ห้างหุ้นส่วนจำกัดก่อนจดทะเบียน
คนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม
ทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ
ผู้ขนส่งจะส่งมอบของแก่ผู้รับของได้ต่อได้รับเวนคืนใบตราส่ง
สิทธิยื่นคำคัดค้านการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
เจ้าของรวมขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตน
หนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้
ผู้รับโอน-สิทธิไถ่ทรัพย์สิน
ผลที่ผู้ค้ำประกันตกลงด้วยในการผ่อนเวลา