
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4235/2567 การผิดเงื่อนไขคุมประพฤติจากสัญญาประนีประนอมยอมความ และข้อจำกัดสิทธิในการฎีกา
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการผิดเงื่อนไขคุมประพฤติจากการไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลกำหนดเป็นเงื่อนไขของการคุมประพฤติ ศาลชี้ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 เป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 34 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา แม้ผู้พิพากษาจะอนุญาตให้ฎีกาก็ตาม
สรุปข้อเท็จจริง • จำเลยถูกพิพากษาลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 291, 300 และ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 43, 157, 160 ตรี • ศาลกำหนดโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 60,000 บาท ลดโทษครึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 ปี ปรับ 30,000 บาท และรอการลงโทษ 3 ปี พร้อมเงื่อนไขคุมประพฤติ • หนึ่งในเงื่อนไขคือชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมตามสัญญาประนีประนอมยอมความ (9 ธ.ค. 2564) • จำเลยชำระงวดแรกได้เพียง 15,000 จาก 75,000 บาท ถือว่าผิดเงื่อนไขคุมประพฤติ • ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการคุมประพฤติและลงโทษจำคุก • จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน • จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า • การผิดเงื่อนไขคุมประพฤติถือเป็นกรณีตาม ป.อ. มาตรา 56 • เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษา คำพิพากษานั้นเป็นที่สุด ตาม พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 34 วรรคสอง • จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์จะอนุญาตก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย • ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกฎีกาของจำเลย
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. เงื่อนไขคุมประพฤติและการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ • ตาม ป.อ. มาตรา 56 ศาลสามารถกำหนดให้ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมเป็นเงื่อนไขของการคุมประพฤติ • การไม่ชำระหนี้ครบตามกำหนดถือเป็นการผิดเงื่อนไขโดยตรง 2. ขอบเขตสิทธิในการอุทธรณ์และฎีกา • พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 34 วรรคสอง กำหนดว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้เป็นที่สุด • แม้จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาโดยผู้พิพากษา ก็ไม่สามารถใช้สิทธิได้เพราะขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย 3. หลักการคุ้มครองคู่ความและความแน่นอนของคดี • การกำหนดข้อจำกัดสิทธิฎีกาในกรณีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรมและลดการดำเนินคดีซ้ำซ้อน • คู่ความต้องตระหนักว่าการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์เป็นโอกาสสุดท้ายในคดีลักษณะนี้
ข้อคิดทางกฎหมาย • คู่ความต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขคุมประพฤติอย่างเคร่งครัด เพราะการผิดเงื่อนไขอาจทำให้ต้องรับโทษจำคุกทันที • ควรเข้าใจข้อจำกัดสิทธิในการฎีกาตามกฎหมายพิเศษ เช่น พ.ร.บ.คุมประพฤติฯ • แม้ผู้พิพากษาจะอนุญาตให้ฎีกา หากขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยได้
IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) จำเลยสามารถฎีกาในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายกเลิกการคุมประพฤติเนื่องจากผิดเงื่อนไขตาม ป.อ. มาตรา 56 ได้หรือไม่ Rule (กฎเกณฑ์) • ป.อ. มาตรา 56: ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขการคุมประพฤติ รวมถึงการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ • พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 34 วรรคสอง: คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดในกรณีดังกล่าว ไม่สามารถฎีกาได้ Application (การปรับใช้กฎหมาย) จำเลยผิดเงื่อนไขชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมฯ ศาลชั้นต้นยกเลิกการคุมประพฤติและลงโทษจำคุก จำเลยอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำพิพากษานี้เป็นที่สุดตามมาตรา 34 วรรคสอง แม้จะมีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกา ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย Conclusion (ข้อสรุป) จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและยกฎีกา
English Summary The Supreme Court Judgment No. 4235/2567 concerns a defendant who breached probation conditions by failing to pay compensation under a compromise agreement. The Court ruled that, under Section 34 paragraph two of the Probation Act B.E. 2559, the Court of Appeal’s decision is final, and the defendant has no right to appeal to the Supreme Court, even if permission was granted. The Supreme Court dismissed the defendant’s appeal.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4235/2567
จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดเป็นเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติของจำเลยไว้ เป็นกรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติที่ศาลกำหนดตาม ป.อ. มาตรา 56 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการคุมประพฤติและให้ลงโทษจำคุกที่รอการลงโทษแก่จำเลย และจำเลยอุทธรณ์คำสั่งนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ย่อมเป็นที่สุด ตาม พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 34 วรรคสอง จำเลยจะฎีกาไม่ได้ การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกามาจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (2) (4), 157, 160 ตรี วรรคท้าย (เดิม) (ที่ถูก วรรคสามด้วย) เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160 ตรี วรรคท้าย (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี และปรับ 60,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี และปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยมีกำหนด 3 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรมีกำหนด 36 ชั่วโมง ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมทั้งสามตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 9 ธันวาคม 2564 โดยให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขของการคุมประพฤติด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย สำหรับคดีส่วนแพ่ง ศาลชั้นต้นพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 9 ธันวาคม 2564 แล้ว เห็นว่า ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาตามยอมให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนคดีแพ่งให้เป็นพับ ต่อมาโจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งครบกำหนดชำระค่าเสียหายงวดแรกตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ให้แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 จำนวน 75,000 บาท ปรากฏว่าจำเลยนำเงินมาชำระเพียง 15,000 บาท อันเป็นการผิดเงื่อนไขในการคุมประพฤติจำเลย จึงขอให้ศาลชั้นต้นเปลี่ยนการรอการลงโทษจำคุกเป็นลงโทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เปลี่ยนการรอการลงโทษจำคุกเป็นลงโทษจำคุกจำเลยตามที่โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 มีคำร้องขอ ทั้งหมายจับจำเลยมาบังคับโทษตามคำพิพากษา จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดเป็นเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติของจำเลยไว้ เป็นกรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติที่ศาลกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการคุมประพฤติและให้ลงโทษจำคุกที่รอการลงโทษแก่จำเลย ดังนี้ จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ และเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ย่อมเป็นที่สุด ตามพระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 34 วรรคสอง จำเลยจะฎีกาไม่ได้ การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งว่า ข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้ฎีกามานั้นไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย
|