

การยื่นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง มาตรา 218, ความผิดหลายกรรม มาตรา 91, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกา 715/2567 • กระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี • โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 • ความผิดหลายกรรม มาตรา 91 • การกระทำอนาจารเด็ก มาตรา 279 • การยื่นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง มาตรา 218 • โทษจำคุกสูงสุด 50 ปี สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2567 สรุปได้ดังนี้ ศาลชั้นต้นตัดสินว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคสามและวรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 โดยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมตามมาตรา 91 และลดโทษลงกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 จำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน และฐานกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 2 ปี รวมถึงฐานกระทำอนาจารโดยล่วงล้ำอวัยวะเพศด้วยวัตถุอื่น จำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมโทษทั้งหมด 166 ปี 328 เดือน แต่จำคุกจริง 50 ปี ตามมาตรา 91 (3) จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาอ้างว่าตนรับสารภาพเพราะเข้าใจผิด ไม่ได้กระทำผิดนอกจากความผิดฐานอนาจาร ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ห้ามฎีกาตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับฎีกาและพิพากษายืนยกคำร้องของจำเลย หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีดังนี้: 1.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91: เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการกำหนดโทษเมื่อกระทำความผิดหลายกรรม โดยให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด แต่เมื่อรวมโทษแล้ว โทษที่ต้องจำคุกไม่เกิน 50 ปี การกำหนดนี้เพื่อจำกัดระยะเวลาจำคุกสูงสุดสำหรับการกระทำความผิดหลายกระทง เพื่อให้สอดคล้องกับความเหมาะสมและความยุติธรรมของโทษรวม 2.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277: กำหนดความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของผู้กระทำ โดยไม่คำนึงว่าเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ต้องรับโทษจำคุกสูงสุดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ เน้นการคุ้มครองผู้เยาว์จากการถูกละเมิดทางเพศ 3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279: ว่าด้วยการกระทำอนาจารต่อเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี โดยการใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญ ถือเป็นการกระทำผิดที่ได้รับโทษรุนแรง เพื่อป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เยาว์ ซึ่งมาตรานี้เน้นการใช้กำลังหรือการบังคับข่มขู่ในการกระทำผิด 4.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285: เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการลงโทษเพิ่มเติมหากการกระทำความผิดตามมาตรา 277 และ 279 เป็นการกระทำต่อผู้สืบสันดาน ซึ่งทำให้โทษหนักขึ้นเมื่อผู้กระทำผิดกระทำต่อคนในครอบครัวหรือผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตนเอง 5.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง: กำหนดข้อห้ามในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง กล่าวคือ หากศาลอุทธรณ์ตัดสินในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว และโทษจำคุกในแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จะห้ามไม่ให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันการยืดเยื้อของกระบวนการทางกฎหมายและลดภาระของศาลฎีกา การอธิบายหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงการพิจารณาคดีและบทลงโทษของศาลตามกรณีที่กล่าวถึงได้ชัดเจนขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2567 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคสาม และวรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้ว ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดาน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นใดซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมจำคุกทุกกระทง 166 ปี 328 เดือน แม้รวมโทษทุกกระทงแล้วลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 91 (3) ก็ตาม แต่เมื่อโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกข้อหา เพราะจำเลยสำคัญผิดหรือหลงผิดในสิ่งที่ตนมิได้กระทำ จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายเพียง 5 ครั้ง แต่มิได้กระทำชำเราผู้เสียหาย และพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดอื่นนอกจากความผิดฐานอนาจารดังกล่าว การวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาดังกล่าวจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์แห่งคดีและจากพยานหลักฐานที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจรับฟังมาเป็นข้อชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ***โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279, 285 *จำเลยให้การรับสารภาพ *ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคหนึ่ง วรรคสาม และวรรคสี่ (ที่ถูก ไม่ต้องปรับบทวรรคหนึ่ง) ประกอบมาตรา 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามกับฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 9 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำคุก 4 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม จำคุกกระทงละ 9 ปี 4 เดือน รวม 38 กระทง จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ คงจำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 166 ปี 328 เดือน เนื่องจากความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดานโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 285 และฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงให้จำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) *จำเลยอุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน *จำเลยฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 279 วรรคสาม และวรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและเป็นผู้สืบสันดาน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 24 เดือน ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 2 ปี ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้วัตถุหรืออวัยวะอื่นซึ่งมิใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะเพศของเด็กนั้น โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย คงจำคุกกระทงละ 4 ปี 8 เดือน รวม 38 กระทง เป็นจำคุก 152 ปี 304 เดือน รวมจำคุกทุกกระทง 166 ปี 328 เดือน แม้รวมโทษทุกกระทงแล้วลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ก็ตาม แต่เมื่อโทษจำคุกแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกข้อหา เพราะจำเลยสำคัญผิดหรือหลงผิดในสิ่งที่ตนมิได้กระทำ จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายเพียง 5 ครั้ง แต่มิได้กระทำชำเราผู้เสียหาย และพยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดอื่นนอกจากความผิดฐานอนาจารดังกล่าว การวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาดังกล่าวจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากพฤติการณ์แห่งคดีและจากพยานหลักฐานที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจรับฟังมาเป็นข้อชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย *พิพากษายกฎีกาของจำเลย
ตัวอย่างการร่างคำฟ้องคดีอาญาและคำขอท้ายคำฟ้องตามรูปแบบกฎหมายไทย มีดังนี้: คำฟ้องคดีอาญา ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ศาลอาญา.............................. คดีหมายเลขดำที่ ................/.............. ระหว่าง พนักงานอัยการ โจทก์ กับ นาย [ชื่อ-นามสกุลจำเลย] จำเลย คำฟ้อง ข้อ 1. เมื่อวันที่ [วัน/เดือน/ปี] เวลากลางวัน/กลางคืน จำเลยได้กระทำผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลย และเป็นผู้สืบสันดาน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เหตุเกิดที่ [สถานที่เกิดเหตุ] เขต [เขต/อำเภอ] จังหวัด [ชื่อจังหวัด] ข้อ 2. นอกจากนี้ จำเลยได้กระทำอนาจารแก่เด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยใช้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญ โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ฐานความผิด: •ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 279 วรรคสามและวรรคสี่ ประกอบมาตรา 285 •ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ด้วยเหตุดังกล่าว ขอศาลได้โปรดพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279 วรรคสามและวรรคสี่ และมาตรา 285 ตามที่โจทก์ได้ยกขึ้นมา โดยให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามที่กฎหมายกำหนด และพิจารณาลงโทษรวมสูงสุดตามมาตรา 91 (3) ของประมวลกฎหมายอาญา ลงชื่อ ____________________________ (พนักงานอัยการ)
คำฟ้องนี้เป็นแนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ในการศึกษาและฝึกฝนการร่างคำฟ้องคดีอาญาให้เหมาะสมกับกรณีต่าง ๆ ตามกฎหมายไทยครับ. |