ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อโจทก์, ฟ้องไม่สมบูรณ์, ข้อกำหนดลายมือชื่อในคำฟ้อง,

 ท นาย อาสา ฟรี

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

ฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อโจทก์, ฟ้องไม่สมบูรณ์, ข้อกำหนดลายมือชื่อในคำฟ้อง, 

ฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อโจทก์ตามที่กฎหมายกำหนด จึงถือเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7) และมาตรา 161 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า หากฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลต้องสั่งให้โจทก์แก้ไขฟ้อง หรือยกฟ้อง หรือไม่รับฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2567

แม้อุทธรณ์ของโจทก์จะเป็นการขอให้ศาลวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ แต่ก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวได้นั้น ศาลจำต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า ตราที่โจทก์ประทับในฟ้องเป็นตราประทับที่โจทก์ยื่นขอจดทะเบียนไว้ตามข้อบังคับของโจทก์หรือไม่ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 352, 353 มีอัตราโทษอย่างสูงให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ทั้งไม่ปรากฏว่าอุทธรณ์ของโจทก์ได้รับอนุญาตหรือรับรองให้อุทธรณ์ ตามมาตรา 22 ทวิ การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยจึงไม่ชอบ ถือเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยจะฎีกาในปัญหาดังกล่าวไม่ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย และต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในฟ้อง เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) ซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง หรือยกฟ้อง หรือไม่ประทับฟ้อง ดังนั้น เมื่อฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏลายมือชื่อโจทก์อันเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้อง จึงเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ โดยเฉพาะศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดี และการสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องดังกล่าวไม่ได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดไว้ เช่นนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องโดยให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้องให้ถูกต้องได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4

******โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 352 และ 353 นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 632/2562 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 342/2564 ของศาลจังหวัดนนทบุรี และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 1794/2563 ของศาลอาญาพระโขนง

*ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

*จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

*ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

*โจทก์อุทธรณ์

*ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาคดีนี้ต่อไปตามรูปคดี

*จำเลยฎีกา

*ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตราที่โจทก์ใช้ประทับในฟ้องไม่ใช่ตราประทับที่โจทก์ยื่นขอจดทะเบียนไว้ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ฟ้องโจทก์จึงมีเพียงกรรมการสองคนลงลายมือชื่อโดยไม่ได้ประทับตราสำคัญ ไม่เป็นไปตามข้อบังคับของโจทก์ ทำให้ไม่ผูกพันโจทก์ ถือว่าฟ้องไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์ แม้ว่าอุทธรณ์ของโจทก์จะเป็นการขอให้ศาลวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ก็ตาม แต่ก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวได้นั้น ศาลจำต้องวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า ตราที่โจทก์ประทับในฟ้องเป็นตราประทับที่โจทก์ยื่นขอจดทะเบียนไว้ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตามข้อบังคับของโจทก์หรือไม่ การที่โจทก์อุทธรณ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่อ้างคำเบิกความของพยานขึ้นมาโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพื่อให้ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานไม่ถูกต้อง และศาลชั้นต้นน่าจะรับฟังพยานหลักฐานอื่นด้วยให้ได้ความว่าตราประทับในฟ้องเป็นตราประทับที่ตรงกับที่จดทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จึงเป็นการโต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงเข้ามาสู่ปัญหาข้อกฎหมายเพื่อให้มีการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายใหม่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ อันเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงต้องห้ามโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีนบุรี พ.ศ. 2562 มาตรา 10 และไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษา หรือทำความเห็นแย้ง หรืออธิบดีกรมอัยการหรือพนักงานอัยการซึ่งอธิบดีกรมอัยการได้มอบหมาย ได้รับรองให้อุทธรณ์ ตามมาตรา 22 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ย่อมไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จำเลยจะฎีกาในปัญหาดังกล่าวไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย และต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาว่า โจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในฟ้องเป็นฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7) และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง หรือยกฟ้อง หรือไม่ประทับฟ้อง ดังนั้น เมื่อฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏลายมือชื่อโจทก์ อันเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้อง จึงเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ โดยเฉพาะศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดี และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลสั่งโจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องได้โดยไม่ได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดไว้ เช่นนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องโดยให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้องให้ถูกต้องได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4

*พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นสั่งโจทก์แก้ไขฟ้องโดยให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้องให้ถูกต้อง แล้วพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไปตามรูปคดี

•  คำพิพากษาศาลฎีกา 298/2567

•  ฟ้องไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 158 (7)

•  การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีอาญา

•  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และ 353

•  วิธีแก้ไขคำฟ้องไม่ถูกต้อง

•  ข้อกำหนดลายมือชื่อในคำฟ้อง

•  พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22

•  หลักการอุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2567 (ย่อ)

ในคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อโจทก์ตามที่กฎหมายกำหนด จึงถือเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7) และมาตรา 161 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า หากฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลต้องสั่งให้โจทก์แก้ไขฟ้อง หรือยกฟ้อง หรือไม่รับฟ้อง

ข้อเท็จจริงและกระบวนพิจารณา

•โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 352 และ 353 พร้อมขอนับโทษต่อจากคดีอื่น

•ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องไม่มีตราประทับที่โจทก์จดทะเบียนไว้ และไม่มีลายมือชื่อโจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ และมีคำสั่งยกฟ้อง

•โจทก์อุทธรณ์ โดยอ้างว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่ามีอำนาจฟ้องหรือไม่ แต่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงก่อน

•ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีต่อไป

การฎีกา

•ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริง และคดีนี้มีอัตราโทษสูงสุดไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท จึงต้องห้ามโจทก์อุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามกฎหมาย

•การที่ศาลอุทธรณ์รับพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ถือว่าผิดวิธีพิจารณา ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย และยึดข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น

ข้อกฎหมายสำคัญ

•แม้ฟ้องไม่มีลายมือชื่อโจทก์ แต่ถือเป็นข้อผิดพลาดที่สามารถแก้ไขได้ ศาลชั้นต้นสามารถสั่งให้โจทก์แก้ไขฟ้องโดยการลงลายมือชื่อได้ เนื่องจากศาลยังไม่ได้พิจารณาเนื้อหาคดี

•ปัญหานี้เป็นปัญหากฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกา พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นสั่งโจทก์แก้ไขฟ้องโดยลงลายมือชื่อให้ถูกต้อง แล้วดำเนินพิจารณาคดีต่อไป.


การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาของบทความในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2567 ได้ดียิ่งขึ้น จะขออธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ดังนี้:

1. ประมวลกฎหมายอาญา

•มาตรา 352: กำหนดโทษสำหรับการยักยอกทรัพย์ โดยระบุว่า ผู้ใดครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นโดยหน้าที่หรือด้วยเหตุอื่นใด แล้วกระทำการยักยอกทรัพย์นั้นไปเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

•มาตรา 353: กำหนดโทษสำหรับการยักยอกทรัพย์ที่เป็นของส่วนรวม เช่น ทรัพย์ที่เป็นของทางราชการ หรือทรัพย์ที่ได้จัดขึ้นเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งมีโทษหนักกว่าการยักยอกทรัพย์ทั่วไป


2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

•มาตรา 158 (7): ระบุว่า คำฟ้องในคดีอาญาต้องมีลายมือชื่อของโจทก์หรือผู้ที่มีอำนาจฟ้อง หากไม่มีลายมือชื่อดังกล่าว คำฟ้องจะถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

•มาตรา 161 วรรคหนึ่ง: หากคำฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลมีอำนาจสั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง ยกฟ้อง หรือไม่รับฟ้อง ขึ้นอยู่กับกรณี

•มาตรา 195 วรรคสอง: ศาลฎีกามีอำนาจยกปัญหาขึ้นวินิจฉัยเองในกรณีที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีการยกปัญหานั้นในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์

•มาตรา 225: กำหนดว่า การฎีกาต้องอยู่ในขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต และหากเป็นประเด็นที่ไม่ได้ว่ากันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา


3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

•มาตรา 225: ข้อความที่ระบุในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรานี้เชื่อมโยงกับการฎีกา โดยกำหนดให้การฎีกาต้องเป็นไปตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด หากเกินขอบเขตนั้น ศาลจะไม่รับพิจารณา

•มาตรา 252: กำหนดว่าสำหรับคดีที่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาโดยถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาจะไม่รับฟังการโต้แย้งอีก


4. พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499

•มาตรา 4: กำหนดอำนาจหน้าที่และการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแขวง รวมถึงการจัดตั้งและเขตอำนาจของศาลแขวงในแต่ละพื้นที่

•มาตรา 22: ห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่มีอัตราโทษไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

•มาตรา 22 ทวิ: กำหนดเงื่อนไขในการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องได้รับการรับรองหรืออนุญาตจากผู้พิพากษาหรือพนักงานอัยการที่มีอำนาจ มิฉะนั้นจะถือว่าไม่สามารถอุทธรณ์ได้


สรุป

กฎหมายที่กล่าวมาข้างต้นเน้นเรื่อง ความสมบูรณ์ของคำฟ้อง การกำหนดเงื่อนไขในการ อุทธรณ์และฎีกา รวมถึงหลักการที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อให้กระบวนการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างถูกต้อง และป้องกันการใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรมโดยไม่เหมาะสม.

 

ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

บทนำ

ความสงบเรียบร้อยของประชาชน (Public Order) เป็นหลักการสำคัญในกระบวนการพิจารณาคดีของศาล ศาลฎีกามีอำนาจยกประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยได้เอง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกประเด็นดังกล่าวมาก่อน เพื่อรักษาความถูกต้องของกระบวนการยุติธรรมและปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ


หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง

บัญญัติว่า:

"ถ้าศาลเห็นว่าปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยมิได้มีการยกขึ้นในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจยกปัญหานั้นขึ้นวินิจฉัยเองได้"

คำอธิบาย:

มาตรา 195 วรรคสอง ให้อำนาจศาลฎีกาในการตรวจสอบและแก้ไขข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ว่าจะไม่มีการโต้แย้งประเด็นดังกล่าวในศาลล่าง ศาลสามารถยกขึ้นวินิจฉัยได้เองเพื่อให้คำพิพากษาสอดคล้องกับกฎหมายและความยุติธรรม

2.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง

บัญญัติว่า:

"ในกรณีที่ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยไม่ปรากฏว่าได้มีการยกขึ้นว่ากันมาในศาลล่าง ศาลฎีกามีอำนาจยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้เอง"

คำอธิบาย:

กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีหลักการเช่นเดียวกับคดีอาญา โดยมุ่งเน้นให้ศาลฎีกามีอำนาจยกข้อกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยได้ เพื่อรักษาความถูกต้องของคำพิพากษาและกระบวนการพิจารณา

3.พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4

บัญญัติว่า:

"คดีอาญาที่มีปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและไม่ได้มีการยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้"

คำอธิบาย:

กฎหมายนี้เน้นอำนาจของศาลฎีกาในคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลแขวง โดยให้สิทธิศาลฎีกายกข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เกิดความถูกต้องในกระบวนพิจารณาคดี


ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2567

oศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อ จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ศาลชี้ว่าการไม่มีลายมือชื่อถือเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่แก้ไขได้ แต่เนื่องจากประเด็นนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง แม้โจทก์และจำเลยไม่ได้อ้างเรื่องนี้

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2553

oประเด็น: การขอแก้ไขคำฟ้องในคดีแพ่งหลังการยื่นฟ้อง

oศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการแก้ไขคำฟ้องในลักษณะที่อาจกระทบต่อสิทธิของคู่ความฝ่ายอื่นต้องเป็นไปตามกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ไขโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบดังกล่าว ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกประเด็นนี้ขึ้นพิจารณาเอง

3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4425/2548

oประเด็น: การบังคับใช้สัญญาที่ขัดต่อกฎหมาย

oในคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อสัญญาบางส่วนในคดีขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดี แม้คู่ความฝ่ายใดจะไม่ได้อ้างประเด็นนี้ แต่เพราะเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยเอง และตัดสินให้ข้อสัญญานั้นเป็นโมฆะ

 



อุทธรณ์ฎีกา

ผู้ตายมีส่วนประมาทในอุบัติเหตุ, การประมาทร่วมในคดีแพ่ง, ขาดนัดยื่นคำให้การ, การอุทธรณ์
จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาว่าไม่ได้มีการไตร่ตรองเพื่อเจตนาฆ่า, โทษประหารชีวิตศาลลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
สิทธิในทางแพ่งเรียกค่าสินไหมทดแทน, ผู้ตายไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย, การอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การยื่นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง มาตรา 218, ความผิดหลายกรรม มาตรา 91,
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องที่ 2 ถอนทนายความแล้ว
สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
เป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษา | ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การอุทธรณ์หรือฎีกาต้องเป็นไปตามลำดับชั้นของศาล
ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาได้เพราะข้อเท็จจริงเกี่ยวพันเป็นอันเดียวกัน
ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อยห้ามโจทก์ฎีกา
ทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์
มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งเดือนไม่ชอบ
ห้ามโจทก์อุทธรณ์ความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
การดำเนินการะบวนพิจารณาในชั้นอุทธรณ์และฎีกา
ห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลา
การขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมซึ่งต้องกระทำโดยศาลสูง
ฟ้องรวมกันใช้สิทธิเฉพาะตัวต้องแยกทุนทรัพย์