

ผู้ตายมีส่วนประมาทในอุบัติเหตุ, การประมาทร่วมในคดีแพ่ง, ขาดนัดยื่นคำให้การ, การอุทธรณ์ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ผู้ตายมีส่วนประมาทในอุบัติเหตุ, การประมาทร่วมในคดีแพ่ง, ขาดนัดยื่นคำให้การ, การอุทธรณ์ ผู้ประกันภัยขาดนัด โจทก์ต้องนำสืบชัด ศาลยืนยันความประมาทร่วมไม่แยกความรับผิด ผู้ประกันภัยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามกฎหมาย *แม้จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ยังต้องนำสืบตามคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ และจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า ผู้ตายอาจมีส่วนประมาทมากกว่าหรือเท่ากับจำเลยที่ 1 ทำให้ต้องพิจารณาพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ศาลชั้นต้นตัดสินว่าจำเลยที่ 1 ประมาทฝ่ายเดียวและให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยที่ 2 มีสิทธิอุทธรณ์ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เคยต่อสู้ในศาลชั้นต้นแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง เนื่องจากคดีนี้เป็นการชำระหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้ แม้จำเลยที่ 2 อุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ก็มีอำนาจวินิจฉัยให้ผลครอบคลุมจำเลยที่ 1 ด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 920/2566 แม้จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ ทั้งจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทมากกว่าหรือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรณีที่ต้องฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายในประเด็นพิพาทว่าจำเลยที่ 1 ประมาทแต่เพียงฝ่ายเดียวตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องหรือไม่ ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ประมาทฝ่ายเดียว และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยซึ่งต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทมากกว่าจำเลยที่ 1 หรือประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำเลยที่ 1 และความเสียหายของโจทก์เป็นพับ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ได้ การอุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าว ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ แม้จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ได้ด้วย ***โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินค่าเสียหาย 1,043,963 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,043,963 บาท (ที่ถูก 971,500 บาท) นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 760,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียม โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาและได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วน ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประเสริฐ ผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นผู้ควบคุมและขับรถยนต์คันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว ก่อนเกิดเหตุขณะที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ มีนายสุรชาติ บุตรจำเลยที่ 1 นั่งโดยสารมาด้วยไปตามถนนเชียงใหม่ - ฮอด จากอำเภอเมืองเชียงใหม่มุ่งหน้าอำเภอฮอด นางสาวพรอนงค์ ขับรถยนต์ชนท้ายรถยนต์คันเกิดเหตุได้รับความเสียหายจนไม่สามารถขับต่อไปได้ พันตำรวจโทกิตติสัณห์ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสันป่าตอง มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 และนางสาวพรอนงค์เคลื่อนย้ายรถไปที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอสันป่าตอง โดยรถยนต์ของนางสาวพรอนงค์ ถูกลากไปก่อน ส่วนจำเลยที่ 1 ได้เคลื่อนย้ายรถยนต์คันเกิดเหตุไปบริเวณไหล่ทางเพื่อนำยางอะไหล่มาเปลี่ยน ระหว่างนั้นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนบริเวณท้ายรถยนต์คันเกิดเหตุด้านขวาเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของผู้ตายล้มลง ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ส่วนจำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อแรกมีว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ ทั้งจำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทมากกว่าหรือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรณีที่ต้องฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายในประเด็นพิพาทว่าจำเลยที่ 1 ประมาทแต่เพียงฝ่ายเดียวตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องหรือไม่ ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ประมาทฝ่ายเดียว และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยซึ่งต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทมากกว่าจำเลยที่ 1 หรือประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำเลยที่ 1 และความเสียหายของโจทก์เป็นพับ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ได้ การอุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าว ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ แม้จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ได้ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น *ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อต่อไปมีว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ซึ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 นั้น หมายถึงเฉพาะข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและผูกพันเฉพาะคู่ความ เมื่อได้ความตามสำเนาคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.4320/2559 ของศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 เป็นจำเลยในคดีดังกล่าว และผู้ตายมิได้ถูกฟ้องคดีอาญาด้วย แม้ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท แต่ก็ไม่ได้วินิจฉัยว่าผู้ตายไม่มีส่วนในความประมาทนั้น ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ตายมีส่วนในความประมาทหรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยคดีนี้ว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยหรือไม่ คดีนี้คงมีโจทก์เพียงปากเดียวที่เบิกความว่า บริเวณที่เกิดเหตุเป็นถนนทางตรง มีผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมากเนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนโดยใกล้โรงงานและมีรถจักรยานยนต์ใช้ไหล่ทางพลุกพล่าน ทั้งเป็นเวลาใกล้ค่ำและมืดมีแสงสว่างไม่เพียงพอ จำเลยที่ 1 ไม่ย้ายรถออกจากบริเวณไหล่ทางไปไว้ในบริเวณที่ปลอดภัย ไม่จัดทำสัญญาณจราจรหรือทำสัญญาณป้องกันรถที่ผ่านมาข้างหลังบนถนนให้เห็นชัดเจนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุซึ่งอาจเกิดขึ้น ทำให้รถจักรยานยนต์ของผู้ตายที่ขับจากจังหวัดเชียงใหม่มุ่งหน้าไปทางอำเภอฮอด ชนท้ายรถยนต์ของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ ทั้งโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า ผู้ตายจะขับรถมาด้วยความเร็วหรือไม่ ไม่ทราบ ไม่ทราบว่าลักษณะการชนเป็นแบบใด แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ทราบถึงพฤติการณ์การขับรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า พยานจำเลยที่ 1 ปากนายสุรชาติ เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า รถยนต์ของจำเลยที่ 1 จอดอยู่บนถนนมีบางส่วนเข้าไปบนไหล่ถนนโดยเลยเส้นขอบทางสีขาวเข้าไป จึงน่ารับฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อแต่เพียงผู้เดียว ผู้ตายไม่มีส่วนประมาทด้วยนั้น เมื่อพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของพยานที่ตอบทนายจำเลยที่ 1 ว่ารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ จอดชิดขอบทางด้านซ้ายสุดไม่ล้ำเส้นทางเข้าไปในช่องจราจร ไม่กีดขวางทางจราจร เห็นว่า ที่พยานเบิกความดังกล่าวนั้น หมายถึง รถยนต์จอดอยู่บริเวณไหล่ทางซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต่อจากขอบทางด้านซ้ายของถนนและเลยเส้นสีขาวที่คั่นช่องจราจรกับขอบทางเข้าไปด้านข้างไหล่ทาง ไม่ใช่รถยนต์จอดเลยเส้นขอบทางสีขาวเข้าไปในช่องจราจรตามความเข้าใจของโจทก์แต่อย่างใด แม้บริเวณไหล่ทางดังกล่าวเป็นที่สำหรับให้คนเดินไม่ใช่ที่สำหรับจอดรถเว้นแต่มีเหตุจำเป็นตามกฎหมาย แต่ไหล่ทางดังกล่าวก็ไม่ใช่ทางที่มีไว้สำหรับให้ขับรถจักรยานยนต์ การที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่จอดอยู่บริเวณไหล่ทาง แสดงให้เห็นว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาตามไหล่ทางซึ่งไม่ใช่ทางที่มีไว้ให้ขับรถจักรยานยนต์ ทั้งขณะเกิดเหตุเป็นเวลาค่ำ ผู้ตายควรจะต้องขับรถจักรยานยนต์ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษยิ่งกว่าเวลากลางวันโดยไม่ควรขับรถจักรยานยนต์เข้าไปบริเวณไหล่ทางซึ่งอาจมีรถจอดเสียอยู่ และบริเวณถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง หากผู้ตายไม่ขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงลำพังแสงไฟของรถจักรยานยนต์ก็คงจะมองเห็นรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่จอดอยู่บริเวณไหล่ทางได้ในระยะไกลพอสมควรและสามารถชะลอรถหลบหลีกหรือหยุดรถได้ทันท่วงทีโดยไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นแก่ผู้ตาย พฤติการณ์ของผู้ตายและจำเลยที่ 1 จึงมีความประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงใช้แก่กันจึงเป็นพับทั้งสองฝ่าย จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ • ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากอุบัติเหตุรถชน • การประมาทร่วมในคดีแพ่ง • ความรับผิดของผู้ประกันภัยรถยนต์ • ฎีกาคดีอุบัติเหตุรถยนต์ • ขาดนัดยื่นคำให้การในคดีแพ่ง • หลักกฎหมาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ • การอุทธรณ์คดีแพ่ง ความประมาทร่วม • ผู้ตายมีส่วนประมาทในอุบัติเหตุ • คำพิพากษาศาลฎีกาคดีประกันภัยรถยนต์ สรุปคำพิพากษา โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย 1,043,963 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ จำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าสินไหม 760,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ตั้งแต่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นต้นไป และชำระค่าฤชาธรรมเนียม พร้อมค่าทนายความ 30,000 บาท จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษา ให้ยกฟ้องโจทก์ และให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งคือ โจทก์เป็นภริยาผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถคันเกิดเหตุ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 จอดรถบริเวณไหล่ทางเพื่อเปลี่ยนยางอะไหล่ รถจักรยานยนต์ของผู้ตายเฉี่ยวชนท้ายรถจนล้ม ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ปัญหาที่ต้องพิจารณา: 1.ศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย มีสิทธิอุทธรณ์ในประเด็นว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทหรือไม่ เพราะคดีนี้เป็นกรณีชำระหนี้ที่แบ่งแยกจากกันมิได้ การอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนั้น การรับวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 5 เป็นการกระทำโดยชอบ 2.จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่ ศาลเห็นว่า แม้คดีอาญาจะตัดสินว่าจำเลยที่ 1 ประมาท แต่ไม่ได้วินิจฉัยว่าผู้ตายไม่มีส่วนประมาท การพิจารณาคดีแพ่งจึงต้องวินิจฉัยเพิ่มเติม พบว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์บนไหล่ทางที่ไม่ใช่ทางสำหรับรถจักรยานยนต์ และไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอในช่วงเวลากลางคืน พฤติการณ์ของผู้ตายและจำเลยที่ 1 มีความประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงถือว่าค่าสินไหมเป็นพับ และจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชดใช้ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ **หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ และ มาตรา 225 วรรคหนึ่ง 1. มาตรา 198 ทวิ เนื้อหา: มาตรา 198 ทวิ ระบุว่าในกรณีที่จำเลยไม่ยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณา โจทก์ยังคงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงตามฟ้องให้ได้ความชัดเจนและเพียงพอ เพื่อให้ศาลสามารถมีคำพิพากษาโดยอาศัยพยานหลักฐานที่โจทก์นำเสนอ การนำไปใช้ในคดี: ในบทความนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลจึงต้องพิจารณาโดยอาศัยหลักในมาตรา 198 ทวิ กล่าวคือ โจทก์ต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 ประมาทแต่เพียงผู้เดียวตามคำฟ้อง ซึ่งหมายความว่า แม้จำเลยที่ 2 จะขาดนัด แต่ศาลจะไม่สามารถพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดได้ทันที หากพยานหลักฐานที่โจทก์นำเสนอยังไม่ชัดเจนเพียงพอ 2. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง เนื้อหา: มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ระบุว่า การอุทธรณ์จะต้องเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาและตัดสินไว้แล้ว การยกประเด็นอุทธรณ์ใหม่ในชั้นอุทธรณ์จะทำได้ก็ต่อเมื่อข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายดังกล่าวเคยปรากฏในชั้นศาลชั้นต้น การนำไปใช้ในคดี: ในกรณีนี้ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทในการเกิดเหตุ ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้น การอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในประเด็นนี้เป็นการกระทำโดยชอบตามมาตรา 225 วรรคหนึ่ง เพราะศาลชั้นต้นได้พิจารณาประเด็นเกี่ยวกับความประมาทของผู้ตายและจำเลยที่ 1 มาแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย บทวิเคราะห์: ทั้งสองมาตราแสดงถึงหลักการสำคัญในกระบวนพิจารณาความแพ่ง คือ 1.มาตรา 198 ทวิ: เน้นให้โจทก์มีภาระการพิสูจน์ แม้จำเลยขาดนัด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่ทำให้ฝ่ายจำเลยเสียสิทธิอย่างไม่สมควร 2.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง: สร้างความแน่ชัดว่าข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอุทธรณ์ต้องเป็นประเด็นที่เคยพิจารณาในศาลชั้นต้นมาก่อน ในบทความนี้: การใช้มาตรา 198 ทวิ ทำให้โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าความประมาทของจำเลยที่ 1 เป็นปัจจัยสำคัญต่อความเสียหาย ขณะที่มาตรา 225 วรรคหนึ่ง อนุญาตให้จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ในประเด็นความประมาทร่วมของผู้ตาย เพราะเป็นประเด็นที่เคยถูกพิจารณาในศาลชั้นต้นมาก่อนแล้ว ***การชำระหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้: หลักกฎหมายและการนำไปใช้ 1. ความหมายของการชำระหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้ การชำระหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้ (Indivisible Obligation) คือ หนี้ที่ลักษณะของหนี้หรือสิ่งที่ต้องชำระไม่สามารถแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ ได้โดยไม่ทำให้คุณลักษณะสำคัญของหนี้นั้นเสียไป เช่น หนี้ที่เกี่ยวข้องกับการส่งมอบทรัพย์เฉพาะเจาะจง หรือการกระทำบางอย่างที่ต้องดำเนินการโดยเฉพาะบุคคล นอกจากนี้ ยังรวมถึงหนี้ที่กฎหมายหรือข้อตกลงระหว่างคู่กรณีกำหนดให้ต้องปฏิบัติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์โดยไม่แยกส่วน 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง •มาตรา 291: กำหนดหลักทั่วไปเกี่ยวกับหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ เช่น การชำระหนี้ที่ต้องทำพร้อมกันทั้งก้อน หรือสิ่งที่ต้องชำระมีลักษณะเฉพาะ •มาตรา 292: กล่าวถึงการที่ลูกหนี้หลายคนหรือเจ้าหนี้หลายคนอยู่ในหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้ ต้องร่วมกันรับผิดหรือรับชำระ •มาตรา 293: ระบุว่า หากลูกหนี้ร่วมคนใดผิดนัด คนอื่นๆ ต้องร่วมรับผิดชอบในการชำระหนี้ทั้งหมด 3. ตัวอย่างของหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้ •การส่งมอบทรัพย์เฉพาะเจาะจง เช่น บ้านหลังหนึ่งหรือรถยนต์เฉพาะคัน •การกระทำเฉพาะตัว เช่น ศิลปินรับจ้างวาดภาพหรือแสดงละคร •หนี้ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ไม่อาจแบ่งส่วนได้ เช่น ที่ดินที่มีข้อกำหนดห้ามแบ่งขาย 4. หลักการรับผิดร่วมในหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้ ในกรณีที่มีลูกหนี้หลายคน หลักการสำคัญคือ ลูกหนี้แต่ละคนต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ทั้งหมด หากลูกหนี้คนหนึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องจากลูกหนี้คนอื่นในจำนวนเต็มได้ แต่ลูกหนี้คนที่ชำระหนี้ไปแล้วมีสิทธิไล่เบี้ยจากลูกหนี้ร่วมคนอื่น ตัวอย่าง: หากลูกหนี้สองคนร่วมกันกู้เงิน 1 ล้านบาท แต่ระบุว่าเงินกู้ดังกล่าวเป็น "หนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้" หากลูกหนี้คนแรกไม่สามารถชำระหนี้ได้ ลูกหนี้คนที่สองต้องรับผิดชอบชำระเงินเต็มจำนวนให้แก่เจ้าหนี้ 5. การบังคับใช้ในทางปฏิบัติ •ในคดีแพ่ง: การชำระหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้มักเกี่ยวข้องกับคดีที่มีลูกหนี้หลายคนและเจ้าหนี้หลายคน เช่น คดีหนี้เงินกู้หรือหนี้ประกันภัย •ในคดีประกันภัย: กรณีผู้รับประกันภัยและผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ร่วมกันรับผิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งต้องรับผิดแบบแบ่งแยกไม่ได้ 6. ข้อควรระวังในสัญญาที่มีหนี้แบ่งแยกไม่ได้ •ควรระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับการร่วมรับผิดของลูกหนี้หรือการแบ่งภาระในสัญญา •ระวังการใช้สิทธิไล่เบี้ยในกรณีที่ลูกหนี้ร่วมรายหนึ่งต้องชำระหนี้เต็มจำนวน สรุป การชำระหนี้ที่แบ่งแยกไม่ได้เป็นหลักกฎหมายที่สำคัญในการปกป้องสิทธิของเจ้าหนี้ โดยกำหนดให้ลูกหนี้ร่วมรับผิดชอบอย่างเต็มที่ เพื่อให้การชำระหนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์และป้องกันปัญหาการปฏิเสธความรับผิดจากลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผู้เกี่ยวข้องในหนี้ลักษณะนี้ควรเข้าใจและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด ***ต่อไปนี้คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ผู้ตายมีส่วนประมาทมากกว่าหรือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำเลย ซึ่งสามารถนำมาศึกษาเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2546: จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูง ไม่สามารถหยุดรถได้ทันเมื่อเห็นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวาเข้ามาในทางเดินรถเดียวกัน ทำให้ชนประสานงากับรถของผู้ตาย แม้ผู้ตายจะมีส่วนประมาท แต่จำเลยยังคงมีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7640/2550: ผู้ตายข้ามถนนในบริเวณที่มีสะพานลอย แต่ไม่ได้ใช้สะพานลอย ถือว่าฝ่าฝืนกฎหมายจราจร แม้ผู้ตายจะมีส่วนประมาท แต่การพิจารณาว่าผู้ตายมีส่วนประมาทหรือไม่ ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงอื่นประกอบด้วย เช่น สภาพแวดล้อมและเวลาเกิดเหตุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8793/2556: เมื่อข้อเท็จจริงว่าผู้ตายมีส่วนประมาทยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ รวมทั้งมีผลให้คำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ตกไปด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 997/2561: จำเลยขับรถบรรทุกด้วยความประมาทชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย แม้ผู้ตายจะมีส่วนประมาทด้วย แต่จำเลยยังคงต้องรับผิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5055/2559: จำเลยขับรถจักรยานยนต์แซงรถกระบะและชนกับรถจักรยานยนต์ของผู้ตายที่แล่นสวนทางมา แม้ผู้ตายจะขับรถโดยไม่ชิดขอบทางด้านซ้ายและอาจมีส่วนประมาท แต่จำเลยยังคงมีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2561: ผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดอยู่ด้วย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย โจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาของผู้ตาย ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ คำพิพากษาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการพิจารณาของศาลในกรณีที่ผู้ตายมีส่วนประมาท ซึ่งอาจส่งผลต่อความรับผิดของจำเลยในคดีต่าง ๆ ***การขาดนัดยื่นคำให้การ: หลักกฎหมายและผลทางคดี 1. ความหมายของการขาดนัดยื่นคำให้การ การขาดนัดยื่นคำให้การ หมายถึง กรณีที่จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดตามกฎหมายหรือคำสั่งของศาล ซึ่งแสดงถึงการไม่ตอบสนองต่อคำฟ้องของโจทก์ ถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนในกระบวนพิจารณาคดี ส่งผลให้กระบวนการพิจารณาคดีดำเนินต่อไปโดยปราศจากการโต้แย้งจากฝ่ายจำเลย 2. หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ: กำหนดว่าแม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ยังคงมีหน้าที่ต้องนำสืบข้อเท็จจริงตามฟ้องให้เพียงพอ ศาลจึงจะมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีได้ มาตรา 199: ศาลสามารถวินิจฉัยได้ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำเสนอ โดยไม่ต้องรอคำให้การจากจำเลย 3. ผลทางคดีเมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ 1. โจทก์ยังต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง: แม้จำเลยขาดนัด โจทก์ไม่ได้รับสิทธิชนะคดีโดยอัตโนมัติ ต้องนำพยานหลักฐานมาสนับสนุนข้อเท็จจริงตามฟ้องให้ศาลพิจารณาว่าเพียงพอที่จะพิพากษาให้ชนะคดีหรือไม่ 2. การพิจารณาในชั้นศาล: การขาดนัดยื่นคำให้การทำให้ศาลพิจารณาคดีโดยใช้พยานหลักฐานของโจทก์เพียงฝ่ายเดียว อย่างไรก็ตาม ศาลจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดความยุติธรรม 3. สิทธิในการอุทธรณ์: หากจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การ แต่ต่อมาศาลมีคำพิพากษาที่จำเลยเห็นว่าไม่ถูกต้อง จำเลยยังคงสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตามกฎหมายได้ 4. ตัวอย่างสถานการณ์ในคดีความแพ่ง คดีประกันภัย: หากผู้เอาประกันภัยฟ้องบริษัทประกันและจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลยังต้องพิจารณาว่าโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรมธรรม์และความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ คดีอุบัติเหตุ: กรณีจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การในคดีเรียกค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ แม้ไม่มีคำให้การของจำเลย โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยตามคำฟ้อง 5. ข้อควรระวังสำหรับคู่ความ สำหรับโจทก์: ต้องเตรียมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนและชัดเจนเพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงตามฟ้อง แม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การ สำหรับจำเลย: ควรยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อแสดงจุดยืนในคดี หากไม่สามารถทำได้ ควรแจ้งเหตุผลต่อศาลเพื่อขอขยายเวลา 6. สรุป การขาดนัดยื่นคำให้การเป็นภาวะที่ส่งผลเสียต่อจำเลย เพราะทำให้กระบวนพิจารณาคดีดำเนินไปโดยอาศัยพยานหลักฐานของโจทก์ฝ่ายเดียว อย่างไรก็ตาม โจทก์ยังต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้เพียงพอต่อการชนะคดี ศาลมีหน้าที่ตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างรอบคอบเพื่อรักษาความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี |