
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2549 : การเรียกคืนของหมั้นและสินสอด กับข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์และฎีกา บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทการเรียกคืนของหมั้นและสินสอด ภายหลังการผิดสัญญาหมั้น พร้อมทั้งวินิจฉัยประเด็นสำคัญเรื่องข้อจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์พิพาทไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และคดีมิใช่เรื่องสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว ศาลฎีกาชี้ว่าการโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามกฎหมาย จึงไม่รับวินิจฉัย
สรุปข้อเท็จจริง 1.คู่ความ oโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ 1 ให้คืนของหมั้น (สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท ราคา 32,500 บาท) oฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3 ให้คืนสินสอด 130,000 บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน oเรียกรวมเป็นเงิน 162,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี oมีจำเลยที่ 4 ในอีกสำนวน แต่คดีสิ้นสุดไปแล้ว 2.คำพิพากษาศาลชั้นต้น oให้จำเลยที่ 1–3 ร่วมกันคืนของหมั้นและสินสอด พร้อมดอกเบี้ย oยกฟ้องจำเลยที่ 4 3.คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว oแก้เฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมเล็กน้อย ที่เหลือยืนตามศาลชั้นต้น 4.การฎีกา oจำเลยที่ 1–3 ฎีกาว่าพยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหมั้น
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา •ประเด็นจำเลยที่ 1 oทุนทรัพย์พิพาทเพียง 32,500 บาท ไม่ถึง 50,000 บาท oคดีไม่ใช่สิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว oอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง oศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงไม่ชอบ และไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นโดยชอบ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกา •ประเด็นจำเลยที่ 2 และ 3 oคดีมีทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกา 162,500 บาท ไม่ถึง 200,000 บาท oไม่ใช่คดีสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว oฎีกาโต้ดุลพินิจเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 •คำพิพากษา oยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่วินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 oให้บังคับตามศาลชั้นต้น และยกฎีกาจำเลยทั้งหมด
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1.ข้อจำกัดสิทธิอุทธรณ์และฎีกา oป.วิ.พ. มาตรา 224, 248, 249 กำหนดห้ามอุทธรณ์หรือฎีกาในข้อเท็จจริง หากทุนทรัพย์พิพาทต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดและไม่ใช่คดีสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือครอบครัว oกรณีนี้ทุนทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ต่ำกว่า 50,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ต่ำกว่า 200,000 บาท จึงต้องห้าม 2.ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน oการโต้แย้งว่าพยานหลักฐานฟังไม่ได้ เป็นข้อเท็จจริง oไม่ใช่ข้อกฎหมาย จึงต้องห้ามอุทธรณ์/ฎีกา 3.การรับวินิจฉัยข้อที่ต้องห้าม oเมื่อศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ต้องห้าม ถือเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบ และไม่ทำให้คู่ความได้สิทธิฎีกา
มาตรา 224 วรรคหนึ่ง บทบัญญัตินี้กำหนดข้อจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ข้อเท็จจริง โดยห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกินห้าหมื่นบาท เว้นแต่คดีนั้นจะเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว เหตุผลของกฎหมายนี้คือเพื่อจำกัดการใช้สิทธิอุทธรณ์ในคดีมูลค่าทรัพย์สินไม่สูงนัก เพื่อไม่ให้ศาลต้องใช้ทรัพยากรในการพิจารณาซ้ำในเรื่องที่ไม่สำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวม ยกตัวอย่างเช่น หากโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหาย 30,000 บาทจากการทำของหาย และคู่ความจะแพ้หรือชนะอยู่ที่การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน ศาลจะไม่อนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพราะทุนทรัพย์ต่ำกว่าเกณฑ์และไม่เกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว มาตรา 224 วรรคสอง แม้จะห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง แต่ยังเปิดช่องให้คู่ความสามารถอุทธรณ์ในข้อกฎหมายได้เสมอ หมายความว่าหากคู่ความเห็นว่าศาลชั้นต้นตีความกฎหมายผิดหรือใช้กฎหมายผิด แม้ทุนทรัพย์จะต่ำกว่าเกณฑ์ก็สามารถอุทธรณ์ได้ เช่น หากศาลชั้นต้นตีความสัญญาผิดไปจากหลักกฎหมาย ก็อุทธรณ์ได้ในประเด็นข้อกฎหมายแม้คดีมีทุนทรัพย์เพียง 20,000 บาท มาตรา 242 (1) บทบัญญัตินี้กำหนดข้อห้ามในการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยระบุว่าหากประเด็นที่ยกขึ้นฎีกาไม่ใช่ประเด็นที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัย เหตุผลคือเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณามีขั้นตอนต่อเนื่อง ไม่ให้คู่ความยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกาโดยไม่ได้ผ่านการพิจารณาของศาลอุทธรณ์มาก่อน ตัวอย่างเช่น หากในชั้นอุทธรณ์คู่ความโต้แย้งเพียงเรื่องพยานหลักฐาน แต่พอมาถึงชั้นฎีกากลับยกเรื่องขาดอายุความขึ้นมาเป็นครั้งแรก ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว มาตรา 248 วรรคหนึ่ง บทบัญญัตินี้กำหนดข้อจำกัดสิทธิในการฎีกาข้อเท็จจริง หากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท และคดีนั้นไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว คู่ความจะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ จุดประสงค์คือเพื่อลดภาระศาลฎีกาในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีมูลค่าน้อย ซึ่งมักไม่มีผลกระทบสำคัญต่อสาธารณะ ตัวอย่างเช่น การฟ้องเรียกค่าเสียหาย 150,000 บาทจากการผิดสัญญาซื้อขาย เมื่อคู่ความจะแพ้หรือชนะอยู่ที่การชั่งน้ำหนักพยาน ศาลฎีกาจะไม่รับฎีกาข้อเท็จจริง มาตรา 248 วรรคสอง แม้จะห้ามฎีกาข้อเท็จจริง แต่คู่ความยังสามารถฎีกาในข้อกฎหมายได้เสมอ ไม่ว่าทุนทรัพย์จะต่ำกว่าเกณฑ์หรือไม่ เช่น คดีค่าเสียหาย 180,000 บาทที่คู่ความเห็นว่าศาลอุทธรณ์ตีความบทบัญญัติเรื่องดอกเบี้ยผิด คู่ความสามารถฎีกาในประเด็นข้อกฎหมายได้ มาตรา 249 วรรคหนึ่ง บทบัญญัตินี้กำหนดให้หากฎีกานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย และอาจมีคำสั่งไม่รับฎีกาทั้งหมดหรือบางส่วน ความไม่ชอบของฎีกาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ฎีกาเกินกำหนดเวลา ฎีกาในข้อเท็จจริงที่กฎหมายห้าม หรือฎีกาไม่ระบุเหตุและข้อกฎหมายที่อ้างชัดเจน ตัวอย่างเช่น หากคู่ความฎีกาเพียงว่า “ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาใหม่” โดยไม่ระบุข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
การเชื่อมโยงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8040/2567 ในคดีดังกล่าว ศาลฎีกาใช้หลักมาตรา 224 และ 248 เพื่อพิจารณาว่าคู่ความมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ โดยตรวจสอบมูลค่าทุนทรัพย์และลักษณะคดี เมื่อพบว่าทุนทรัพย์ต่ำกว่าเกณฑ์และคดีไม่ใช่เรื่องสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือครอบครัว การโต้แย้งดุลพินิจของศาลล่างจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามกฎหมาย และยังมีการใช้มาตรา 242 (1) เพื่อปฏิเสธการวินิจฉัยประเด็นที่ไม่เคยยกขึ้นในศาลอุทธรณ์ รวมทั้งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง เพื่อไม่รับฎีกาที่ไม่ชอบด้วยรูปแบบและเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย •การตรวจสอบมูลค่าทุนทรัพย์และประเภทคดีก่อนอุทธรณ์หรือฎีกาเป็นสิ่งจำเป็น •การโต้แย้งข้อเท็จจริงในคดีที่อยู่ในเกณฑ์ต้องห้ามจะถูกปฏิเสธโดยศาล •แม้ศาลอุทธรณ์จะพิจารณาไปแล้ว แต่หากเป็นข้อที่ต้องห้าม คู่ความก็ไม่สามารถนำฎีกาขึ้นสู่ศาลฎีกาได้
IRAC (แบบขยาย) Issue (ประเด็น) คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ เมื่อทุนทรัพย์พิพาทต่ำกว่าเกณฑ์และคดีไม่ใช่สิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว Rule (กฎ) •ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง: ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงหากทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาทและไม่ใช่คดีสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือครอบครัว •ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง: ห้ามฎีกาข้อเท็จจริงหากทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาทและไม่ใช่คดีสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือครอบครัว •ป.วิ.พ. มาตรา 249: ฎีกาที่ไม่ชอบต้องไม่รับวินิจฉัย Application (การปรับใช้) •จำเลยที่ 1: ทุนทรัพย์เพียง 32,500 บาท ไม่ถึง 50,000 บาท จึงห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง และไม่มีสิทธิฎีกา •จำเลยที่ 2 และ 3: ทุนทรัพย์ 162,500 บาท ไม่ถึง 200,000 บาท จึงห้ามฎีกาข้อเท็จจริง •ข้อโต้แย้งเป็นเพียงการโต้ดุลพินิจของศาลล่าง เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้าม Conclusion (ข้อสรุป) จำเลยทั้งหมดไม่มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และให้ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
สรุปภาษาอังกฤษ Supreme Court Judgment No. 38/2549 Summary: This case involved a claim for the return of an engagement gift (a 5-baht gold necklace) and a dowry of 130,000 THB following a breach of engagement. The Supreme Court ruled that since the disputed amount for each defendant was below the legal thresholds (50,000 THB for appeals and 200,000 THB for cassations) and the case was not related to personal status or family rights, no appeal or cassation on factual issues was allowed. Disputes over the trial court’s assessment of evidence were considered factual matters prohibited by law. The Court dismissed the cassations and upheld the lower court’s decision.
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทของจำเลยที่ 1 เพียง 32,500 บาท ไม่ถึง 50,000 บาท และไม่ใช่คดีสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือครอบครัว จึงห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การโต้แย้งว่าพยานหลักฐานฟังไม่ได้เป็นการโต้ดุลพินิจในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ที่รับวินิจฉัยจึงไม่ชอบ และไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นโดยชอบตามมาตรา 242 (1) จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกา ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกา 162,500 บาท ไม่ถึง 200,000 บาท และไม่ใช่คดีสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือครอบครัว จึงห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ปัญหาที่ฎีกาเป็นเพียงการโต้ดุลพินิจของศาลล่าง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น และยกฎีกาของจำเลยทั้งหมด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2549 คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันคืนของหมั้นสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท ราคา 32,500 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินสินสอดจำนวน 130,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงมีเพียง 32,500 บาท ไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งมิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว จำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ปัญหาในชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหมั้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 1 ไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนสมรสกันนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในปัญหานี้ให้เป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1) และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาดังกล่าว
เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับฟังว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องคืนของหมั้นและสินสอดแก่โจทก์รวมเป็นเงิน 162,500 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งมิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 และที่ 3 โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสอง เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับคดีหมายเลขแดงที่ 73/2546 ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ในสำนวนนี้ตามเดิม และเรียกโจทก์ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 73/2546 ว่าโจทก์ที่ 1 และเรียกนายธนูชัย จำเลยในสำนวนคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 4 และคดีในส่วนของจำเลยที่ 4 ยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 คืนของหมั้นสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท ราคา 32,500 บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแก่โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 คืนเงินสินสอดจำนวน 130,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันใช้คืนเงินจำนวน 162,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ทั้งสองนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 4 ใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 100,000 บาท จนกว่าจำเลยที่ 4 จะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันคืนของหมั้นสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท ราคา 32,500 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนแก่โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินสินสอดจำนวน 130,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 32,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 130,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองสำนวน โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 3,000 บาท ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 4 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 4 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันคืนของหมั้นสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท ราคา 32,500 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินสินสอดจำนวน 130,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงมีเพียง 32,500 บาท ไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งมิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว จำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ปัญหาในชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหมั้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 1 ไม่มีเจตนาที่จะจดทะเบียนสมรสกันนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในปัญหาดังกล่าวให้เป็นการไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242 (1) และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาดังกล่าว
การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกาปัญหาเพียงข้อเดียวว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหมั้น ฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง และสำหรับในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวรับฟังว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นต้องคืนของหมั้นและสินสอดแก่โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมีราคารวมเป็นเงิน 162,500 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งมิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ดังกล่าวมาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวเฉพาะส่วนที่วินิจฉัยในข้อเท็จจริงให้จำเลยที่ 1 ร่วมกันหรือแทนกันคืนของหมั้นสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท ราคา 32,500 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยให้บังคับเรื่องของหมั้นสำหรับจำเลยที่ 1 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ยกฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นชั้นฎีกานอกจากที่คืนให้เป็นพับ.
|