
| อำนาจฟ้อง & สอบสวนคดีอาญา,นับโทษ, มาตรา 120, (ฎีกา 659-661/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอำนาจฟ้องในคดีอาญา โดยวินิจฉัยว่าแม้จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนหลายครั้งและอ้างว่าจะให้การเพิ่มเติม แต่เมื่อไม่มีหลักฐานแสดงว่ามีการสอบสวนเพิ่มเติม ศาลถือว่าการสอบสวนเสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงมีอำนาจฟ้อง และการนับโทษต่อกันระหว่างหลายสำนวนให้ลงโทษฐานร่วมกันตามมาตรา 90 ประกอบมาตรา 83 พร้อมทั้งประเด็นค่าสินไหมทดแทน ดอกเบี้ย และอายุความ ข้อเท็จจริงของคดี จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนทั้งหมด 6 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ถึงมกราคม 2563 โดยอ้างว่ามีภารกิจจำเป็นเร่งด่วนและจะให้การเพิ่มเติมในภายหลัง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ไปให้การเพิ่มเติมอีกเลย จนถึงวันที่ 21 เมษายน 2563 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลย แม้จำเลยอ้างว่าสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น แต่พฤติการณ์ทั้งหมดเข้าข่ายว่าพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 358, 362, 365 และให้ใช้ / คืนราคาทรัพย์แก่โจทก์ร่วมที่ 1 ถึง 3 ตามลำดับ (50,000 บาท, 317,000 บาท, 50,000 บาท) จำเลยปฏิเสธ พร้อมว่าเป็นจำเลยคนเดียวกันในหลายสำนวน ก่อนการสืบพยาน โจทก์ร่วมที่ 1–3 ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และโจทก์ร่วมที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งรวมเป็นเงิน 1,168,000 บาท (รวมดอกเบี้ย) แต่ต่อมาสละเฉพาะค่าต้นไม้ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 335 (7), 358, 362, 365 (2) ประกอบมาตรา 83 ฐานร่วมกันผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ (โทษหนักที่สุด) ตามมาตรา 90 จำคุก 3 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ 2 ปี พร้อมให้คืนราคา / ใช้ราคาแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แก้เป็นว่า การกระทำแต่ละสำนวนเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันตามมาตรา 90 ให้จำคุกสำนวนละ 3 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ 2 ปี รวมเป็นจำคุก 6 ปี ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 3 เป็น 180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และอัตราดอกเบี้ยปรับตามกฎหมาย จำเลยฎีกาโดยโต้แย้งว่า • โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่มีการสอบสวนก่อนฟ้อง (ผิด มาตรา 120) • การที่จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น • การแก้ไข / คำร้องค่าสินไหมทดแทนเกินคำฟ้อง • ปัญหาเรื่องตำแหน่งที่ดิน / โฉนดไม่ถูกต้อง ปัญหาที่ฎีกา 1. โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เมื่อจำเลยอ้างว่าสอบสวนยังไม่เสร็จ (มาตรา 120) 2. การนับโทษและลงโทษฐานร่วมกันตามมาตรา 90 และมาตรา 83 3. สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน – สามารถเรียกเกินคำฟ้องหรือไม่ 4. อายุความ / ดอกเบี้ยของค่าสินไหมทดแทน 5. ปัญหาโฉนด / ตำแหน่งที่ดิน – ผู้เสียหายที่แท้จริง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 (“ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน”) • มาตรา 140, 142 วรรคสอง – การงดการสอบสวน / ความเห็นไม่ฟ้อง • มาตรา 143 วรรคสอง (ก) – อำนาจอัยการในการสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการเพิ่มเติม • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 – การนับโทษร่วม • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 – หลัก “กรรมเดียวผิดหลายบท” • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218, 221 – ข้อห้ามฎีกาเรื่องข้อเท็จจริง • กฎหมาย / ระเบียบองค์กรอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง • ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญา พ.ศ. 2547 ข้อ 48 วรรคหนึ่ง การประยุกต์ใช้ เรื่องอำนาจฟ้อง – สอบสวนก่อนฟ้อง ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า จำเลยมิได้โต้แย้งว่าในชั้นสอบสวนไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐานใดเลย และสนับสนุนว่าจำเลยให้การหลายครั้ง (6 ครั้ง) ในชั้นสอบสวน (รวม 14 แผ่นคำให้การ) ถึงแม้จำเลยอ้างจะให้การเพิ่มเติม แต่ไม่มีหลักฐานแสดงว่าได้ไปให้การเพิ่มเติม ดังนั้น การรวบรวมพยานหลักฐานในความผิดที่กล่าวหาได้สิ้นสุดแล้ว และอธิบดีอัยการภาค 4 มีอำนาจสั่งให้อัยการฝ่ายคดีดำเนินฟ้องเมื่อเห็นว่าการสอบสวนเสร็จสมบูรณ์ตามมาตรา 143 วรรคสอง (ก) ประกอบมาตรา 19 วรรคหนึ่ง (อำนาจอัยการ) และข้อ 48 ระเบียบอัยการสูงสุด ศาลฎีกาจึงถือว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง เรื่องนับโทษ – ฐานร่วม / โทษหนักที่สุด การที่จำเลยถูกฟ้องหลายบท แต่เป็นกรรมเดียว ศาลใช้มาตรา 90 ให้นับโทษฐานบทที่มีโทษหนักที่สุด (บท “ลักทรัพย์”) ประกอบมาตรา 83 (กรรมเดียวผิดหลายบท) การปรับแก้โทษในชั้นอุทธรณ์ (เพิ่มโทษอีก 2 สำนวนให้เป็น 6 ปี) ไม่เป็นการแก้ประเด็นบทผิด แต่เป็นการปรับโทษ “เล็กน้อย” ซึ่งไม่ถือเป็นการเปลี่ยนข้อเท็จจริง จึงเป็นเรื่องที่ห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 เรื่องค่าสินไหมทดแทน / ดอกเบี้ย / อายุความ โจทก์ร่วมที่ 3 ขอค่าสินไหมทดแทนสูง (เคยร้อง 1,168,000 บาท) แต่ศาลชั้นต้นให้เพียง 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี (วันที่ 21 เมษายน 2563 – 10 เมษายน 2564) และหลังจากนั้นใช้อัตรดอกเบี้ยร้อยละ 5 หรืออัตราใหม่ตามกฎหมายกระทรวงการคลัง ศาลอุทธรณ์ลดค่าสินไหมทดแทนให้ 180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% และอัตราปรับ (ลด/เพิ่ม) บวก 2% ต่อปี ภายหลัง 11 เมษายน 2564 แต่ไม่เกิน 7.5% ฎีกาในประเด็นค่าสินไหมทดแทน / ดอกเบี้ย / อายุความ ไม่ถูกฎีการับพิจารณาโดยตรง (เป็นประเด็นรอง) เรื่องโฉนด / ตำแหน่งที่ดิน / สิทธิร้องทุกข์ จำเลยฎีกาว่าโฉนดไม่ถูกต้อง / ตำแหน่งที่ดินไม่ตรง ทำให้โจทก์ร่วมไม่มีอำนาจร้องทุกข์ แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นประเด็นข้อเท็จจริง (พยาน/แผนที่/การวัดเขต) ซึ่งมิใช่เรื่องกฎหมายล้วน จึงเป็นเรื่องที่ห้ามฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย คำพิพากษาศาลฎีกา ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง ทั้งที่จำเลยอ้างว่าสอบสวนยังไม่เสร็จ การสอบสวนได้สิ้นสุดแล้วตามหลักพยานหลักฐาน การนับโทษตามมาตรา 90 ประกอบมาตรา 83 เป็นไปโดยชอบ ด้านค่าสินไหมทดแทน / ดอกเบี้ย ศาลฎีกาไม่แก้ไข (ไม่รับวินิจฉัย) และประเด็นโฉนด / ตำแหน่งที่ดินเป็นเรื่องข้อเท็จจริง จึงมิได้รับวินิจฉัย ขยายความประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญ • มาตรา 120 ป.วิ.อ. – ห้ามฟ้องคดีอาญาโดยไม่มีการสอบสวนก่อน • มาตรา 143 วรรค 2 (ก) – อำนาจอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนทำเพิ่มเติม • มาตรา 90 ป.อ. – การนับโทษร่วม • มาตรา 83 ป.อ. – กรรมเดียวผิดหลายบท • มาตรา 218 / 221 ป.วิ.อ. – ห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง • การปรับดอกเบี้ย / อายุความ – ต้องอาศัยบทบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทน (ถ้ามี) สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • การอ้างว่าสอบสวนยังไม่เสร็จ หากไม่มีหลักฐานสนับสนุน มักไม่เป็นคำแก้ฎีกาที่ได้ผล • การนับโทษฐานร่วม / กรรมเดียวผิดหลายบท เป็นแนวปฏิบัติสำคัญ • ปัญหาข้อเท็จจริง เช่น ตำแหน่งที่ดิน / โฉนด มักถือเป็นเรื่องที่ห้ามฎีกา • การฟ้อง / การร้องขอค่าสินไหมทดแทนเกินคำฟ้อง / ดอกเบี้ย / อายุความ ควรระมัดระวังให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น • ผู้เผยแพร่บทความหรือฐานข้อมูลควรตรวจสอบกับคำพิพากษาต้นฉบับก่อนเผยแพร่
IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) (สรุปในรูปแบบ IRAC ที่ขยายเนื้อหา) Issue (ปัญหา) 1. โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เมื่อจำเลยอ้างว่าสอบสวนไม่เสร็จ (มาตรา 120) 2. การนับโทษฐานร่วม / โทษหนักที่สุด (มาตรา 90 / 83) 3. สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน / ดอกเบี้ย / อายุความ 4. ปัญหาโฉนด / ตำแหน่งที่ดิน – ใครเป็นผู้เสียหาย Rule (หลักกฎหมาย) • ป.วิ.อ. มาตรา 120, 143 วรรค 2 (ก), มาตรา 218, 221 • ป.อ. มาตรา 90, มาตรา 83 • มาตรฐานอัยการ / ระเบียบอัยการ • กฎหมายค่าสินไหมทดแทน / ดอกเบี้ย / อายุความ Application (การประยุกต์ใช้) • จำเลยให้การหลายครั้งในชั้นสอบสวน ไม่มีหลักฐานให้การเพิ่มเติม → ถือว่าสอบสวนเสร็จ → อำนาจฟ้องของโจทก์ถูกต้อง • หลายบทผิดแต่เป็นกรรมเดียว → นับโทษตามบทที่โทษหนักที่สุด → ลดโทษตามมาตรา 78 → โทษคงที่ • การร้องขอค่าสินไหมทดแทนเกินคำฟ้อง / ดอกเบี้ย / อายุความ – ศาลชั้นต้น / อุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจตามพยานหลักฐาน; ศาลฎีกาไม่แก้ไข • ประเด็นโฉนด / ตำแหน่งที่ดินเป็นประเด็นข้อเท็จจริง → ห้ามฎีกา Conclusion (บทสรุป) ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์: โจทก์มีอำนาจฟ้อง จำเลยนับโทษตามมาตรา 90 / 83 ได้ ค่าสินไหมทดแทน / ดอกเบี้ย / อายุความ / โฉนด / ตำแหน่งที่ดิน – ไม่มีการแก้ไขในฎีกา คำถามที่น่าสนใจ + คำตอบ คำถาม 1: เมื่อจำเลยให้การในชั้นสอบสวนหลายครั้งแล้วอ้างว่าจะให้การเพิ่มเติม แต่ไม่มีหลักฐานแสดงว่าให้การเพิ่มเติมได้ การอ้างดังกล่าวจะช่วยให้จำเลยหลีกเลี่ยงอำนาจฟ้องได้หรือไม่? คำตอบ: ในคำพิพากษาศาลฎีกานี้ เห็นว่าแม้จำเลยอ้างว่าจะให้การเพิ่มเติม แต่ไม่มีหลักฐานแสดงว่าได้กระทำจริง และพฤติการณ์โดยรวมแสดงว่าการสอบสวนได้สิ้นสุดแล้ว จึงโจทก์มีอำนาจฟ้องได้ ศาลไม่รับคำอ้าง คำถาม 2: การนับโทษในกรณีที่จำเลยถูกฟ้องหลายบท แต่เป็นกรรมเดียว จะต้องใช้มาตราใด และศาลมีหลักวิธีใดในการเลือกบทที่ใช้เป็นฐาน? คำตอบ: ศาลใช้ มาตรา 90 ประกอบ มาตรา 83 (กรรมเดียวผิดหลายบท) ให้ลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด และถ้ามีบทหลายบทโทษเท่ากัน ให้เลือกบทตามดุลยพินิจศาล โดยลดโทษตามมาตรา 78 ตัวอย่างฎีกาอื่นที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5659/2567 เรื่อง: ความผิดอาญา / การอุทธรณ์ / การรับพิจารณาคดี / อำนาจฟ้อง สรุป: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้ผู้ถูกกล่าวหาให้การในชั้นสอบสวนและส่งเอกสารเพิ่มเติมแล้ว แต่หากไม่มีการสอบสวนเพิ่มเติมจนเสร็จจริงหรือไม่มีพยานหลักฐานใหม่เพียงพอ โจทก์อาจไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 120 ได้ 2. ฎีกาที่ 298/2567 เรื่อง: ฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อ / ความไม่สมบูรณ์ของฟ้อง สรุป: ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องที่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ตาม มาตรา 158 (7) และ มาตรา 161 (วรรค 1) ถ้าศาลยังไม่เข้าสู่การพิจารณา สามารถให้โจทก์แก้ไขฟ้อง แต่ถ้าผ่านขั้นพิจารณาไปแล้ว ถือเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งอาจห้ามฎีกา ประเด็นสำคัญที่สุด อำนาจฟ้องในคดีอาญา – เมื่อพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วน แม้จำเลยอ้างว่าสอบสวนยังไม่เสร็จ หากไม่มีหลักฐานสนับสนุน การอ้างนั้นไม่สามารถระงับอำนาจฟ้องของโจทก์ได้ Keywords สำคัญ 5 ข้อความ 1. อำนาจฟ้อง – ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเมื่อพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการครบถ้วน 2. สอบสวนก่อนฟ้อง (มาตรา 120) – ห้ามฟ้องโดยไม่มีการสอบสวน 3. นับโทษ (มาตรา 90 / 83) – เมื่อเป็นกรรมเดียวให้ลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด 4. ห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง (มาตรา 218 / 221) – ประเด็นพยาน / ตำแหน่งที่ดินเป็นข้อเท็จจริง จึงไม่รับวินิจฉัย 5. ค่าสินไหมทดแทน / ดอกเบี้ย / อายุความ – แม้เป็นประเด็นสำคัญ แต่ต้องอยู่ในกรอบคำฟ้อง / ดุลยพินิจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659-661/2567 จำเลยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนมาแล้ว 6 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ถึงเดือนมกราคม 2563 แล้วจำเลยให้การว่าจำเลยขอหยุดให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้เพียงแค่นี้ก่อน เนื่องจากจำเลยมีภารกิจจำเป็นเร่งด่วน และจำเลยจะมาให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันต่อไป แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยไปให้การต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมอีก จนกระทั่งวันที่ 21 เมษายน 2563 โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แม้จำเลยอ้างว่าจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น แต่พฤติการณ์แห่งคดีเพียงพอให้ฟังได้แล้วว่าพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานในความผิดที่กล่าวหาเสร็จสิ้นแล้ว การที่อธิบดีอัยการภาค 4 มีคำสั่งฟ้องจำเลยชอบแล้ว คดีฟังได้ว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนความผิดที่ฟ้องแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 358, 362, 365 นับโทษจำคุกของจำเลยทั้งสามสำนวนต่อกัน และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 50,000 บาท, 317,000 บาท และ 50,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ระหว่างพิจารณา นายพนม นายเกียรติศักดิ์ และนายวีระยุทธ ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และก่อนเริ่มสืบพยาน โจทก์ร่วมที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าต้นไม้ 448,000 บาท ค่าเสียโอกาสทำประโยชน์ในที่ดิน 7 ไร่ ไร่ละ 20,000 บาท ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี เป็นเงิน 700,000 บาท และค่ารั้วลวดหนาม 20,000 บาท รวม 1,168,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมาโจทก์ร่วมที่ 3 แถลงสละประเด็นเฉพาะค่าต้นไม้ จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนทรัพย์สินหรือใช้ราคา แทนโจทก์ร่วมที่ 3 แล้ว โจทก์ร่วมที่ 3 ไม่อาจยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนหรือเรียกเกินกว่าคำฟ้องของโจทก์ได้ และคำร้องดังกล่าวขาดอายุความ ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก, (ที่ถูก มาตรา 335 (7) วรรคแรก (เดิม)), 358 (ที่ถูก มาตรา 358 (เดิม), 362, 365 (2) (ที่ถูก มาตรา 365 (2) (เดิม) ประกอบมาตรา 362 (เดิม)) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์ที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี กับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 3 คนละ 50,000 บาท โจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน 317,000 บาท คำขออื่นให้ยก และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 3 จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกานับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยแต่ละสำนวนเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์ที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกสำนวนละ 3 ปี ลดโทษให้สำนวนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกสำนวนละ 2 ปี รวม 3 กระทงเป็นจำคุก 6 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 3 เป็นเงิน 180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมที่ 3 แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมที่ 3 ขอ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเหตุที่ไม่มีการสอบสวนก่อนฟ้องจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 คดีจึงมีข้อที่ต้องพิจารณาว่าคดีนี้มีการสอบสวนในความผิดที่ฟ้องแล้วหรือไม่ เห็นว่า การสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานและการดำเนินการทั้งหลายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งพนักงานสอบสวนทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (11) และมาตรา 120 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน" ข้อเท็จจริงได้ความตามที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมทั้งสามได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยตามฟ้อง พนักงานสอบสวนได้มาสอบสวนจำเลยและพยานจำเลยถึงบ้านพักแต่มิได้แจ้งข้อกล่าวหาจำเลย ต่อมาพนักงานสอบสวนทำความเห็นสั่งไม่ฟ้อง พนักงานอัยการจังหวัดนครพนมได้ขอเอกสารจากจำเลยเพิ่มเติมเพื่อประกอบ การพิจารณา จำเลยส่งคำให้การเป็นเล่มหนาให้พนักงานอัยการจังหวัดนครพนม หลังจากนั้นพนักงานอัยการจังหวัดนครพนมมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลย โจทก์ร่วมทั้งสามร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ต่อมาจำเลยได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนแล้วแต่ยังประสงค์จะให้การอีก อธิบดีอัยการภาค 4 ก็มีคำสั่งให้นำตัวจำเลยไปฟ้องต่อศาลเป็นคดีนี้ แต่ฎีกาจำเลยมิได้โต้แย้งว่าก่อนฟ้องคดีนี้พนักงานสอบสวนไม่ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อทราบข้อเท็จจริงและพิสูจน์ความผิดแต่อย่างใด ส่วนที่พนักงานสอบสวนทำความเห็นว่าควรสั่งไม่ฟ้องจำเลยนั้น จำเลยฎีกาว่า เมื่อพนักงานสอบสวนทำความเห็นว่าไม่ปรากฏว่ามีการกระทำผิดทางอาญาเกิดขึ้น การกระทำของผู้ต้องหาจึงไม่เป็นความผิดตามข้อกล่าวหา จึงเป็นกรณีที่ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด พนักงานสอบสวนจึงต้องงดการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 140 (1) การที่พนักงานสอบสวนปฏิบัติตามมาตรา 140 (2) โดยทำความเห็นว่าควรสั่งไม่ฟ้องซึ่งเป็นกรณีที่รู้ตัวผู้กระทำความผิดโดยไม่งดการสอบสวนจึงไม่ชอบนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของพนักงานสอบสวนที่ไม่งดการสอบสวน เห็นว่า การที่พนักงานสอบสวนเสนอความเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ย่อมเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าในชั้นสอบสวนได้รู้ตัวผู้กระทำความผิดที่ถูกกล่าวหาแล้ว แต่พนักงานสอบสวนเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่เป็นความผิดตามข้อกล่าวหา การที่พนักงานสอบสวนทำความเห็นว่าควรสั่งไม่ฟ้องเสนอต่อพนักงานอัยการโดยไม่งดการสอบสวน จึงเป็นการดำเนินการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 140 (2) และ 142 วรรคสอง เกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหาในกรณีที่รู้ตัวผู้กระทำความผิดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น อธิบดีอัยการภาค 4 ก็มีคำสั่งให้นำตัวจำเลยไปฟ้องต่อศาลเป็นคดีนี้ เป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบ จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ฎีกาประเด็นนี้ของจำเลยมิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่วินิจฉัยว่า อธิบดีอัยการภาค 4 มีอำนาจสั่งให้พนักงานอัยการสั่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม แจ้งข้อหา และสั่งฟ้องจำเลยต่อศาลเมื่อเห็นว่าการรวบรวมพยานหลักฐานและการสอบสวนเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 วรรคสอง (ก) ประกอบพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง และระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 48 วรรคหนึ่ง นั้น ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร และไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ควรวินิจฉัยอย่างไรและด้วยเหตุผลใด จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 216 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นนั้น ฎีกาจำเลยก็มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่ามีข้อเท็จจริงใดที่จำเลยประสงค์จะให้การเพิ่มเติม แต่ยังไม่ได้ให้การจนเป็นเหตุให้การรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนไม่เพียงพอต่อการทราบข้อเท็จจริงและพิสูจน์ความผิด หรือเป็นเหตุให้การรวบรวมพยานหลักฐานและการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ทั้งที่ในชั้นสอบสวนหลังจากพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาจำเลยเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562 จำเลยได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 17 กันยายน 2562 วันที่ 25 กันยายน 2562 วันที่ 30 กันยายน 2562 วันที่ 11 ตุลาคม 2562 วันที่ 24 ตุลาคม 2562 และวันที่ 8 มกราคม 2563 โดยให้การเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในคดี รวม 14 แผ่น แม้จำเลยให้การด้วยว่าจำเลยขอหยุดให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้เพียงแค่นี้ก่อน เนื่องจากจำเลยมีภารกิจจำเป็นเร่งด่วน และจำเลยจะมาให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันต่อไป แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยไปให้การต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมอีก จนกระทั่งวันที่ 21 เมษายน 2563 โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แม้จำเลยอ้างว่าจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น แต่พฤติการณ์แห่งคดีเพียงพอให้ฟังได้แล้วว่าพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานในความผิดที่กล่าวหาเสร็จสิ้นแล้ว การที่อธิบดีอัยการภาค 4 มีคำสั่งฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จึงเป็นการออกคำสั่งตามบทบัญญัติของกฎหมายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยนั้นชอบแล้ว หาใช่เป็นการออกคำสั่งโดยไม่ชอบดังที่จำเลยฎีกาไม่ เมื่อคดีฟังได้ว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนความผิดที่ฟ้องแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่าเป็นฎีกาที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก (เดิม), 358 (เดิม), 365 (2) (เดิม) ประกอบมาตรา 362 (เดิม), 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 3 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยแต่ละสำนวนเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์ที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกสำนวนละ 3 ปี ลดโทษสำนวนละหนึ่งในสาม คงจำคุกสำนวนละ 2 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี จึงเห็นได้ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้แก้ไขบทความผิด คงแก้แต่โทษจากเดิมที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 2 ปี เพียงกระทงเดียว เป็นจำคุกอีก 2 กระทง กระทงละ 2 ปี อันเป็นการแก้ไขเฉพาะโทษจึงเป็นเพียงแต่การแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 ลงโทษแต่ละกระทงความผิดจำคุกไม่เกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 4 อนุญาตให้ฎีกา หรืออัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินของโจทก์ร่วมทั้งสามออกโฉนดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โฉนดที่ดินมีตำแหน่งที่ดินไม่ตรงกับเอกสารสิทธิเดิม การออกโฉนดที่ดินทับซ้อนที่ดินผู้อื่น โจทก์ร่วมทั้งสามจึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์กล่าวโทษนั้น เป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจการชั่งน้ำหนักพยานของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งวินิจฉัยว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่มีนายมานิต นายช่างชำนาญงาน สำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม ผู้รังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทเบิกความยืนยันว่า ที่ดินพิพาททั้งหกแปลงตั้งอยู่ถูกต้องตรงตามตำแหน่งในระวางแผนที่ของกรมที่ดินและไม่ทับซ้อนกับที่ดินแปลงอื่นนั้น มีน้ำหนักให้รับฟัง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่จำเลยฎีกาว่า ตำแหน่งที่ดินตามโฉนดของโจทก์ร่วมทั้งสามไม่ตรงกับตำแหน่งที่ดินจริง โจทก์ร่วมทั้งสามจึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์กล่าวโทษ ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตำแหน่งที่ดินของโจทก์ร่วมทั้งสามเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ร่วมทั้งสามไม่ใช่ผู้เสียหายที่มีอำนาจร้องทุกข์กล่าวโทษ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาทำนองว่า ความผิดตามฟ้องนั้นเมื่อไม่มีการร้องทุกข์พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 นั้น แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งไม่ต้องห้ามฎีกาก็ตาม แต่เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีเพราะคดีทั้งสามสำนวนมีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ข้อหาบุกรุกและลักทรัพย์ตามฟ้องมิใช่ความผิดอันยอมความได้ที่ต้องมีการร้องทุกข์ก่อนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนการกล่าวโทษนั้นแม้บุคคลที่ไม่ใช่ผู้เสียหายก็สามารถกล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีบุคคลกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (8) ข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาจึงไม่มีผลต่ออำนาจฟ้องของโจทก์ และที่จำเลยฎีกาโต้แย้งการพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ทำแผนที่พิพาทและงดสืบพยานจำเลยนั้นเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำแผนที่พิพาท และจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดีจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน เมื่อคดีต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงมาด้วยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายืน |
ฎีกา 1760/2568 คดีเช่าพื้นที่ห้าง & ฟ้องแย้ง (คดีผู้บริโภค) |



.jpg)

.jpg)