
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7407/2556: สิทธิผู้ใช้อำนาจปกครองไม่อาจสละให้ผู้อื่น และบทบาทของ บิดามิชอบด้วยกฎหมาย ในคดีเยาวชน
🧭 คำนำ: คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทในคดีครอบครัวเรื่องอำนาจปกครองบุตร กรณีที่จำเลยเป็นบิดามิชอบด้วยกฎหมายซึ่งไม่มีสิทธิใช้อำนาจปกครองบุตร ศาลชี้ชัดว่าแม้โจทก์จะไม่ได้อาศัยอยู่กับบุตร แต่ยังคงมีอำนาจปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่สามารถโอนสิทธิในการใช้อำนาจปกครองให้ผู้อื่นแทนได้ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้บุตรไปอยู่กับปู่ย่าจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
📌 สาระสำคัญของคำพิพากษา ⚖️ ข้อเท็จจริงโดยสังเขป •โจทก์และจำเลยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน •จำเลยมิได้จดทะเบียนรับรองบุตร หรือมีคำพิพากษารับรองบุตรตามกฎหมาย •บุตรผู้เยาว์ทั้งสองจึงถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว •ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้บุตรอยู่กับปู่ย่า (บิดามารดาของจำเลย) •โจทก์ยื่นคำร้องว่าตนถูกขัดขวางไม่ให้รับบุตรกลับมาอยู่ด้วย
🔹บทสรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7407/2556 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ เป็นเพียงกฎหมายวิธีสบัญญัติ มิใช่กฎหมายสารบัญญัติที่จะกำหนดสิทธิหรือหน้าที่ของคู่ความ จึงไม่อาจนำมาใช้แทนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติได้ ในคดีนี้ โจทก์และจำเลยมิได้จดทะเบียนสมรส และจำเลยก็ไม่ได้รับรองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้เยาว์จึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เพียงฝ่ายเดียวตามมาตรา 1546 และอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของโจทก์ตามมาตรา 1585 ประกอบมาตรา 1566 (5)(6) แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ผู้เยาว์อยู่กับปู่ย่า (บิดาของจำเลย) แต่โจทก์ยังมีชีวิตอยู่และไม่ได้ถูกถอนอำนาจปกครอง การสั่งเช่นนั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
⚖️ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า: •การที่จำเลยเป็นบิดามิชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้รับรองบุตรตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547 หรือไม่ได้รับคำพิพากษารับรองบุตร จึงไม่มีสิทธิใช้อำนาจปกครอง •อำนาจปกครองบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นสิทธิของผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น และไม่สามารถโอนหรือสละสิทธิดังกล่าวให้ผู้อื่นได้ •แม้กฎหมายวิธีสบัญญัติในพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ ให้คำนึงถึงสวัสดิภาพของเด็ก แต่ประเด็นอำนาจปกครองต้องพิจารณาตามกฎหมายสารบัญญัติ คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ •เมื่อโจทก์ยังมีชีวิตและมีอำนาจปกครองตามกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้เด็กอยู่กับปู่ย่าจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
🧠 วิเคราะห์หลักกฎหมายสำคัญ 📘 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ •มาตรา 1546: บุตรที่เกิดจากมารดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะถือว่าเป็นบุตรของมารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย •มาตรา 1547: บุคคลใดประสงค์จะรับรองบุตรต้องกระทำโดยจดทะเบียนหรือโดยคำพิพากษาศาล •มาตรา 1585: บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา •มาตรา 1566 (5)-(6): อำนาจปกครองตกแก่ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย และเฉพาะในกรณีที่บิดาเป็นผู้ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
ป.พ.พ. มาตรา 1546–1566 (5) (6) กำหนดหลักสำคัญเรื่องความเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย และสิทธิ อำนาจในการปกครองบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เด็กที่เกิดจากมารดาโดยไม่มีการสมรสจะถือเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดาโดยอัตโนมัติ (มาตรา 1546) ส่วนบิดายังไม่มีสถานะทางกฎหมาย เว้นแต่จะได้รับรองโดยการจดทะเบียนหรือคำพิพากษาศาล (มาตรา 1547) การดูแลผู้เยาว์ต้องอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 1585) และอำนาจดังกล่าวตกแก่ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น (มาตรา 1566 (5) (6))
2. รายละเอียดกฎหมายแต่ละมาตรา •มาตรา 1546 เด็กที่เกิดกับหญิงที่มิได้สมรส ถือเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงผู้นั้น •มาตรา 1547 บิดาในกรณีที่มิได้สมรสกับมารดา สามารถรับรองบุตรได้ผ่านการจดทะเบียนหรือคำพิพากษาศาลเท่านั้น เมื่อได้รับการยอมรับตามกฎหมายแล้ว จึงมีสถานะบิดาชอบด้วยกฎหมาย •มาตรา 1585 กำหนดว่า “บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา” โดยผู้ที่ได้รับรองสถานะตามกฎหมายเท่านั้นจึงมีอำนาจปกครอง •มาตรา 1566 (5) (6) ระบุว่าอำนาจปกครองตกแก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
3. ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12502/2558 แม้จำเลยได้จดทะเบียนรับรองบุตรตามมาตรา 1548 เด็กก็ยังเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของทั้งโจทก์และจำเลยตามมาตรา 1546 และ 1547 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2553 แม้จำเลยจะดูแลหรือให้เด็กใช้ชื่อสกุลของตน แต่หากไม่ได้จดทะเบียนหรือได้รับคำพิพากษารับรองตามมาตรา 1547 ก็ไม่ถือว่าเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3484/2542 กล่าวว่าหากจำเลยไม่ใช่บิดาชอบด้วยกฎหมายและไม่มีอำนาจปกครอง ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิอ้างอำนาจปกครองบุตร 4.กรณีทั่วไปในแนวปฏิบัติ หากบิดามิชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิใดๆ ต่อบุตร และอำนาจปกครองยังคงอยู่กับมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น
4. บทสรุปข้อคิดทางกฎหมาย (Conclusion) •ความชัดเจนของสถานะบุตร: มาตรา 1546–1547 ยืนยันว่าความเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติกับมารดาหากไม่มีการสมรส ส่วนบิดาจะต้องได้รับรองตามขั้นตอนกฎหมายเท่านั้น •อำนาจปกครอง: มาตรา 1585 และ 1566 (5) (6) ย้ำว่าอำนาจปกครองเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีฐานะตามกฎหมายและยังมีชีวิตอยู่ •แนวปฏิบัติศาล: กรณีจริงหลายคดีในศาลฎีกาชี้ชัดว่าแม้ดูแลจริง แต่หากไม่มีสถานะตามกฎหมาย ก็ไม่ได้รับอำนาจตามกฎหมาย ต้องได้รับรองตามขั้นตอนก่อน
💡 ข้อคิดทางกฎหมาย •ศาลต้องวินิจฉัยคดีครอบครัวตามหลักกฎหมายสารบัญญัติ มิใช่อาศัยเพียงหลักความปรารถนา หรือความสมัครใจของเด็ก •ผู้ใช้อำนาจปกครองไม่สามารถโอนหรือสละสิทธิในการปกครองได้ เว้นแต่โดยคำพิพากษาหรือกฎหมายบัญญัติ •บุคคลที่เป็นบิดามิชอบด้วยกฎหมายไม่มีสิทธิเรียกร้องการปกครองบุตรเว้นแต่ได้รับการรับรองตามกฎหมาย
โจทก์กับจำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยจึงเป็นเพียงบิดามิชอบด้วยกฏหมายที่ไม่มีอำนาจปกครองบุตร ส่วนโจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้สิทธิผู้ใช้อำนาจปกครองสละการใช้อำนาจปกครองให้ผู้อื่นได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดให้ผู้เยาว์ไปอยู่กับปู่และย่าซึ่งเป็นบิดาของจำเลย ทั้งที่โจทก์ยังมีชีวิตและไม่ได้ถูกถอนอำนาจปกครองจึงเป็นการไม่ถูกต้องด้วยข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7407/2556 ถึงแม้พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ ซึ่งใช้บังคับวันที่ 22 พฤษภาคม 2554 กับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วมีบทบัญญัติในหมวดการพิจารณาพิพากษาคดีครอบครัวให้ศาลคำนึงถึงสวัสดิภาพ อนาคตและประโยชน์สูงสุดของบุตรผู้เยาว์ประกอบดุลพินิจในการพิพากษาทำนองเดียวกัน แต่พระราชบัญญัติดังกล่าวก็เป็นกฏหมายวิธีสบัญติที่กำหนดขั้นตอนแนวทางในการดำเนินคดีตลอดจนวิธีปฏิบัติในการพิจารณาพิพากษา เกี่ยวกับคดีเยาวชนและครอบครัวเท่านั้น ไม่มีบทบัญญัติใดในพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ระบุให้ศาลต้องฟังความประสงค์ของผู้เยาว์เป็นสำคัญว่าผู้เยาว์ประสงค์จะอยู่ในความปกครองของผู้ใด ในคดีครอบครัวที่พิพาทกันด้วยเรื่องอำนาจปกครองบุตร การใช้ดุลพินิจประกอบข้อวินิจฉัยประเด็นพิพาทเรื่องสิทธิและหน้าที่ของคู่ความในคดีครอบครัวว่ามีอย่างไรหรือไม่นั้นต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติที่บัญญัติไว้
โจทก์กับจำเลยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแล้วจำเลยไม่ได้จดทะเบียนว่าผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรและยังไม่มีคำพิพากษาของศาลว่าผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฏหมายของจำเลย จำเลยจึงเป็นเพียงบิดามิชอบด้วยกฏหมายที่ไม่มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสอง ส่วนโจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว ด้วยเหตุที่ผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1546 ทั้งนี้ไม่มีบทกฎหมายใดที่บัญญัติให้สิทธิผู้ใช้อำนาจปกครองสละการใช้อำนาจปกครองให้ผู้อื่นได้ ทั้งอำนาจปกครองบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะที่จะตกอยู่แก่บิดาในกรณีมาตรา 1566 (5) (6) ก็มีได้เฉพาะผู้เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ถูกกีดกันขัดขวางไม่ให้รับผู้เยาว์ทั้งสองไปอยู่ด้วยแล้ว ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งกำหนดให้ผู้เยาว์ไปอยู่กับปู่และย่าซึ่งเป็นบิดาของจำเลย ทั้งที่โจทก์ยังมีชีวิตและไม่ได้ถูกถอนอำนาจปกครองจึงเป็นการไม่ถูกต้องด้วยข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1585
บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาเป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้บิดามารดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ที่จะมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของผู้เยาว์ รวมทั้งทรัพย์สินและหนี้สินของผู้เยาว์ เนื่องจากผู้เยาว์เป็นผู้ที่ยังอ่อนในด้านสติปัญญา ความคิด และร่างกาย ขาดความรู้ ความชำนาญ จึงต้องมีผู้ใช้อำนาจปกครองคอยปกครองดูแลจนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ
🔍 IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue (ประเด็นปัญหา) เมื่อจำเลยเป็นบิดามิชอบด้วยกฎหมายและโจทก์มีอำนาจปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้เด็กอยู่กับบุคคลอื่นแทนโจทก์ได้หรือไม่ Rule (กฎหมายที่เกี่ยวข้อง) •ป.พ.พ. มาตรา 1546, 1547, 1566, 1585 •พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ เป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ •อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เป็นสิทธิของผู้ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น Application (การประยุกต์ใช้กับคดี) •จำเลยไม่มีสถานะเป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย •โจทก์ยังคงมีชีวิตและมีอำนาจปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย •การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เด็กอยู่กับปู่ย่าจึงละเมิดสิทธิของผู้ใช้อำนาจปกครอง Conclusion (ข้อสรุป) คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับ ให้ยึดหลักสิทธิผู้ใช้อำนาจปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
🌐 English Summary Supreme Court Judgment No. 7407/2556 Summary: The Supreme Court ruled that a biological father who is not legally recognized as the child's father has no parental authority. The mother, as the sole legal guardian, cannot transfer her custodial rights to others. The Court emphasized that any decision regarding child custody must be based on civil substantive law (Civil and Commercial Code) and not merely the child’s wishes or procedural family law principles. Therefore, the lower court’s order placing the child under the care of the paternal grandparents was invalid.
|