
ศาลฎีกาวินิจฉัยอำนาจปกครองบุตรหลังหย่า: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8087/2543 🔹 บทนำบทความ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการพิจารณาความเหมาะสมของการใช้อำนาจปกครองบุตรหลังหย่า แม้ฝ่ายจำเลยจะไม่ได้ยื่นฟ้องแย้ง ศาลยังมีอำนาจพิจารณาชี้ขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเหมาะสมกว่าที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียว อาศัยจากข้อเท็จจริงเรื่องการดูแล การศึกษาของบุตร และความต้องการของผู้เยาว์เอง
🔹 ข้อเท็จจริงของคดี •โจทก์และจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาตั้งแต่ปี 2531 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา มีบุตร 1 คนชื่อเด็กหญิงจันทกานต์ •ปี 2536 จดทะเบียนสมรส และในปี 2539 เกิดปัญหาในชีวิตคู่ โดยจำเลยถูกกล่าวหาว่าทิ้งโจทก์และพาบุตรไปอยู่กับชายอื่น •โจทก์จึงยื่นฟ้องหย่า พร้อมขอใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว โดยอ้างว่า จำเลยปล่อยให้ชายอื่นล่วงละเมิดผู้เยาว์ •จำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันว่าเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรมาโดยลำพัง
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้เหมาะสมที่จะใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว แม้จะไม่ได้ยื่นฟ้องแย้ง ศาลก็มีอำนาจชี้ขาดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่า ผู้เยาว์อาศัยอยู่กับจำเลยในประเทศไทย ได้รับการดูแลจากป้า ตา ยาย และจำเลยเพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนโจทก์อยู่ต่างประเทศ มีครอบครัวใหม่ และไม่เคยช่วยเหลือเลี้ยงดู อีกทั้งข้อกล่าวหาเรื่องละเมิดทางเพศก็ไม่มีหลักฐานชัดเจน และทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยถูกศาลในสหรัฐฯ สั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย จึงไม่ใช่เหตุเพียงพอในการตัดสิทธิการปกครอง
🔹 ประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจ 1. ศาลมีอำนาจชี้ขาดอำนาจปกครองบุตร แม้ไม่มีฟ้องแย้ง ศาลฎีกายืนยันว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง ในกรณีหย่าที่ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องบุตร ศาลมีอำนาจพิจารณาว่าใครควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง แม้ไม่มีการฟ้องแย้งจากจำเลย 2. หลักประโยชน์สูงสุดของผู้เยาว์ ศาลพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่า เด็กหญิงจันทกานต์อยู่กับจำเลยในประเทศไทย และได้รับการดูแลจากป้า ตา และยายอย่างอบอุ่น ทั้งยังมีผลการเรียนดี จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและการศึกษา ขณะที่โจทก์อยู่ต่างประเทศและมีครอบครัวใหม่ 3. ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดไม่มีหลักฐานเพียงพอ แม้โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยปล่อยให้ชายอื่นล่วงละเมิดผู้เยาว์ แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะยืนยันเหตุการณ์ดังกล่าว จึงไม่ใช่เหตุที่เพียงพอให้จำเลยหมดความเหมาะสมในการดูแลบุตร 4. ประเด็นการล้มละลายในต่างประเทศ ทั้งโจทก์และจำเลยเคยถูกศาลสหรัฐฯ พิจารณาเรื่องล้มละลาย ซึ่งไม่ใช่เหตุที่เพียงพอจะตัดสินว่าใครไม่เหมาะสมกับการใช้อำนาจปกครอง
🔹 คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นผู้เหมาะสมกว่าในการใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ แม้ไม่ได้ยื่นฟ้องแย้งก็ตาม ศาลมีอำนาจชี้ขาดได้ โดยอาศัยประโยชน์ของเด็กเป็นหลัก พิพากษาให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
🔹 สรุปข้อคิดทางกฎหมาย •การพิจารณาเรื่องอำนาจปกครองบุตรหลังการหย่า ศาลจะดู “ประโยชน์สูงสุดของเด็ก” เป็นหลัก ไม่จำเป็นว่าฝ่ายใดฟ้องหรือไม่ •แม้ไม่มีฟ้องแย้ง แต่ศาลสามารถวินิจฉัยให้ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโดยชอบด้วยกฎหมาย •ข้อกล่าวหาหรือเอกสารในต่างประเทศ หากไม่มีหลักฐานชัดเจน ก็ไม่อาจนำมาใช้เป็นเหตุเพียงพอในการตัดสิทธิ์ความเป็นผู้ปกครองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8087/2543 โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง เมื่อจำเลยเป็นผู้เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ยิ่งกว่าโจทก์ แม้มิได้ฟ้องแย้ง ศาลก็มีอำนาจชี้ขาดให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์หลังการหย่าได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากันมาตั้งแต่ปี 2531ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อเด็กหญิงจันทกานต์ปัจจุบันอายุ 6 ปีเศษ ต่อมาปี 2536 โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันหลังจากนั้นปี 2539 จำเลยเริ่มดื่มสุราหาเรื่องทะเลาะกับโจทก์ไม่กลับบ้านและไม่เลี้ยงดูบุตร และไปอยู่กับชายอื่นฉันสามีภริยาโดยพาบุตรผู้เยาว์ไปด้วย โดยทิ้งร้างโจทก์ถึงปัจจุบันเกินกว่า 1 ปี ทั้งยินยอมให้ชายคนใหม่ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เยาว์ ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน และให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาแทนจำเลย ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่มีความประพฤติเสียหายดังที่โจทก์ฟ้องแต่โจทก์เป็นฝ่ายทิ้งร้างจำเลยไปมีหญิงใหม่ โจทก์ไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ความอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ จำเลยเป็นฝ่ายให้ความอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ตามลำพังมาโดยตลอด ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์และจำเลยแล้วแถลงว่าประสงค์จะหย่ากัน แต่เรื่องอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ตกลงกันไม่ได้ศาลชั้นต้นฟังคำแถลงของโจทก์ จำเลยและผู้เยาว์ประกอบเอกสารที่ส่งศาลแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอนำพยานเข้าสืบหักล้างรายงานข้อเท็จจริงของผู้อำนวยการสถานพินิจเนื่องจากทำความเห็นโดยมิได้รับฟังบันทึกข้อความของเขตลอสแอนเจลิสแผนกบริการเด็กและครอบครัวตามเอกสารหมาย ล.1
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เอกสารที่ประสงค์จะสืบรวมอยู่ในเอกสารหมายล.1 แล้ว ทั้งตัวความไม่จำต้องสืบพยานเพื่อหักล้างความเห็นของผู้อำนวยการสถานพินิจ จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานอีก ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงจันทกานต์ผู้เยาว์แต่ผู้เดียว จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงจันทกานต์บุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และฎีกาจำเลยว่าโจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงจันทกานต์บุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวเห็นว่า โจทก์มีภริยาใหม่แล้วและอาศัยอยู่ต่างประเทศมีบุตรกับภริยาใหม่1 คน ส่วนจำเลยอยู่ที่ประเทศไทยยังไม่มีสามีใหม่ ปัจจุบันผู้เยาว์อายุประมาณ 8 ปี อาศัยอยู่กับจำเลยโดยมีป้า ตาและยายของผู้เยาว์เป็นผู้ดูแลให้ผู้เยาว์ได้รับความอบอุ่น จำเลยออกค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์และให้การศึกษาผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว โจทก์ไม่เคยช่วยเหลือให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเลย เมื่อพิจารณาภาพถ่ายเอกสารท้ายคำแก้ฎีกาของจำเลยหมายเลข 1 และผลการเรียนของผู้เยาว์ตามเอกสารท้ายคำแก้ฎีกาของจำเลยหมายเลข 3 ประกอบกับผู้เยาว์ก็แถลงต่อศาลว่าอยากอยู่ประเทศไทยกับจำเลยและคุณป้า คุณตา คุณยาย จึงเห็นว่าหากผู้เยาว์อยู่กับจำเลยที่ประเทศไทยก็จะเหมาะสมกว่าที่จะไปอยู่ต่างประเทศกับโจทก์ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยละเลยปล่อยให้ผู้เยาว์ถูกละเมิดนั้นจำเลยก็ปฏิเสธว่ามิได้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ทั้งเหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งตามเอกสารที่โจทก์นำสืบประกอบนั้นก็มิได้มีข้อความยืนยันว่า มีเหตุการณ์ดังอ้างเกิดขึ้นชัดแจ้ง คงได้ความว่าเป็นคำร้องเรียนของโจทก์ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานดังกล่าวมีคำสั่งห้ามจำเลยมิให้ชายอื่นเข้าใกล้ชิดผู้เยาว์เท่านั้น และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยถูกศาลประเทศสหรัฐอเมริกาสั่งให้เป็นคนล้มละลายนั้นก็ปรากฏว่าจำเลยได้มาอยู่ประเทศไทยและมิได้ถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลายจึงยังไม่พอที่จะเป็นเหตุให้จำเลยไม่เหมาะสมที่จะใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ซึ่งโจทก์เองก็ปรากฏตามที่จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาว่า โจทก์ก็ถูกศาลประเทศสหรัฐอเมริกาสั่งให้เป็นคนล้มละลายตามเอกสารท้ายคำแก้ฎีกาของจำเลยหมายเลข 4 ถึง 6 ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว เห็นว่า จำเลยเป็นผู้เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ยิ่งกว่าโจทก์ แม้จำเลยจะมิได้ฟ้องแย้งศาลก็มีอำนาจที่จะชี้ขาดว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของจำเลยฟังขึ้น" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงจันทกานต์ผู้เยาว์แต่ผู้เดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
🔹 IRAC: กรอบวิเคราะห์ฎีกา Issue: ในคดีหย่า เมื่อคู่สมรสไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร ศาลมีอำนาจชี้ขาดหรือไม่ แม้ฝ่ายหนึ่งจะไม่ได้ยื่นฟ้องแย้ง? Rule: ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1520 วรรคหนึ่ง ในกรณีหย่า หากไม่สามารถตกลงเรื่องอำนาจปกครองบุตรได้ ศาลมีอำนาจชี้ขาดว่าใครควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร Application: แม้จำเลยไม่ได้ยื่นฟ้องแย้งขอเป็นผู้ปกครอง ศาลพิจารณาจากหลักฐานว่า เด็กอาศัยอยู่กับจำเลย ได้รับการดูแลทางร่างกายและจิตใจจากญาติพี่น้องในประเทศไทย มีพัฒนาการดี และแสดงความต้องการอยู่อาศัยกับฝ่ายจำเลย ส่วนโจทก์ย้ายไปอยู่ต่างประเทศและไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูเด็ก Conclusion: ศาลฎีกาจึงมีคำพิพากษาให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงจันทกานต์เพียงผู้เดียว แม้จะไม่ได้ยื่นฟ้องแย้ง
🔹 บทสรุปภาษาอังกฤษ (Summary in English) Supreme Court Judgment No. 8087/2543 Summary: This case concerns parental authority over a child following divorce. Despite the defendant not filing a counterclaim, the Court held authority to decide custody under Section 1520 of the Civil and Commercial Code. The Supreme Court ultimately ruled that the defendant (mother) should have sole custody of the child, based on evidence showing she had consistently cared for and supported the child in Thailand, while the plaintiff (father) had relocated abroad and failed to provide support. Allegations of abuse lacked conclusive evidence and were not sufficient to deny the defendant custody rights.
|