
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2539: บิดายังมีอำนาจปกครอง แม้ถูกพิพากษาประหารชีวิตจากการฆ่ามารดาผู้เยาว์
🔷 คำสรุปนำบทความ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสถานะของผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์หลังการหย่าและการเสียชีวิตของผู้มีอำนาจปกครองร่วม โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้บิดาของผู้เยาว์จะถูกพิพากษาประหารชีวิตจากการฆ่ามารดา แต่ยังคงมีอำนาจปกครองตามกฎหมาย เนื่องจากไม่มีคำสั่งเพิกถอนอำนาจดังกล่าวตามมาตรา 1582 จึงไม่อาจแต่งตั้งผู้ปกครองใหม่ซ้ำซ้อนได้
🔶 ข้อเท็จจริงในคดี •ผู้ร้องที่ 1 เป็นบิดาของผู้เยาว์ 3 คน และจดทะเบียนหย่ากับภริยา (นางดวงรัตน์) โดยตกลงให้นางดวงรัตน์อุปการะผู้เยาว์ทั้งสาม •ต่อมานางดวงรัตน์ถึงแก่ความตาย และผู้ร้อง (บิดา, ย่า, ป้า) ยื่นคำร้องขอเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ •ผู้คัดค้าน (ยายของผู้เยาว์) คัดค้านโดยให้เหตุว่าผู้ร้องที่ 1 ฆ่านางดวงรัตน์เพื่อหวังทรัพย์สินของผู้เยาว์ และศาลอาญาก็พิพากษาประหารชีวิตในคดีฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
สรุปย่อคำพิพากษาศาลฎีกา 2460/2539 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ผู้ร้องที่ 1 จะหย่ากับภริยาและเคยตกลงให้ภริยาเป็นผู้เลี้ยงดูผู้เยาว์ แต่ไม่ได้ตกลงเรื่องอำนาจปกครองโดยชัดเจน และไม่มีการร้องขอให้ศาลชี้ขาด จึงถือว่าอำนาจปกครองยังคงเป็นของบิดาและมารดาร่วมกัน และเมื่อนางดวงรัตน์ถึงแก่ความตาย อำนาจปกครองตกแก่ผู้ร้องที่ 1 ตามมาตรา 1566 (1) โดยไม่ต้องพิจารณาพฤติกรรมส่วนตัว เว้นแต่จะมีคำสั่งศาลเพิกถอนอำนาจตามมาตรา 1582 ซึ่งในคดีนี้ยังไม่มีการถอน ผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลตั้งผู้ปกครองซ้ำอีกได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ตั้งผู้ปกครองจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นให้ยกคำร้องของผู้ร้องและคำคัดค้านของผู้คัดค้าน
🔶 ประเด็นปัญหาทางกฎหมาย 1.บิดายังมีอำนาจปกครองหรือไม่ หากไม่มีการเพิกถอนอำนาจ แม้จะกระทำความผิดร้ายแรงต่อมารดาผู้เยาว์ 2.ศาลสามารถตั้งผู้ปกครองใหม่ได้หรือไม่ หากผู้มีอำนาจปกครองยังมีชีวิตอยู่
✅ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 🔹 มาตรา 1566 วรรคหนึ่ง (1) “บิดามารดามีอำนาจปกครองบุตรร่วมกัน แต่ถ้าฝ่ายใดตาย...ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอำนาจปกครองผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว” 📌 หลักการ: เมื่อบิดาหรือมารดาถึงแก่ความตาย อำนาจปกครองจะตกแก่ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ทันที โดยไม่ต้องขอคำสั่งศาล เว้นแต่จะมีการเพิกถอนอำนาจตามมาตรา 1582
🔹 มาตรา 1585 “ในกรณีที่ผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดา หรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครองทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ให้ศาลแต่งตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์ตามคำร้องของอัยการหรือบุคคลที่เห็นสมควร” 📌 หลักการ: การแต่งตั้งผู้ปกครอง ทำได้เฉพาะเมื่อไม่มีบิดามารดาหรือถูกเพิกถอนอำนาจแล้วเท่านั้น
🔹 มาตรา 1582 “ในกรณีที่บิดามารดามีพฤติการณ์ไม่เหมาะสม ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนอำนาจปกครองทั้งหมดหรือแต่บางส่วนได้” 📌 หลักการ: แม้บิดาหรือมารดาจะมีความประพฤติร้ายแรง เช่น ทำร้าย หรือกระทำผิดอาญา แต่จะถือว่าสิ้นอำนาจปกครองไม่ได้ เว้นแต่มีคำสั่งศาลเพิกถอนอำนาจ
•มาตรา 1566 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ระบุว่าเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในบิดามารดาเสียชีวิต อำนาจปกครองก็จะตกแก่ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่โดยอัตโนมัติ •มาตรา 1582 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ศาลสามารถเพิกถอนอำนาจปกครองได้หากผู้ใช้อำนาจประพฤติตนไม่เหมาะสม แม้ไม่มีใครร้องขอ •มาตรา 1585 วรรคหนึ่ง ศาลสามารถแต่งตั้งผู้ปกครองใหม่ได้ก็ต่อเมื่อผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือถูกเพิกถอนอำนาจแล้วเท่านั้น
📚 ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา 🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2563/2544 ศาลยืนยันว่า กรณีบิดามารดาจะตกลงเรื่องการดูแลผู้เยาว์ในทะเบียนหย่า แต่หากฝ่ายนั้นถึงแก่ความตายโดยฝ่ายบิดายังมีชีวิตอยู่และไม่ได้ถูกเพิกถอนอำนาจ ผู้เยาว์ยังคงอยู่ในอำนาจของบิดาโดยชอบ และ ไม่สามารถแต่งตั้งผู้ปกครองใหม่ได้ตามมาตรา 1585 จึงไม่มีสิทธิให้ญาติยื่นคำร้องแทน
แม้ผู้ใช้อำนาจปกครองมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่หากไม่มีเหตุเพิกถอนตามมาตรา 1582 ศาลก็ไม่สามารถเพิกถอนอำนาจปกครองได้ และการเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้เยาว์เป็นสำคัญ 🔹 คำพิพากษาที่ 4146/2560 ประกอบมาตรา 1582 ในแนวปฏิบัติศาลชี้ว่า ถ้ามีพฤติการณ์ซึ่งเป็นภัยแก่ผู้เยาว์ ศาลสามารถเพิกถอนอำนาจผู้ใช้อำนาจปกครองได้ทันที โดยไม่ต้องรอคำร้องจากญาติหรืออัยการ
✅ สรุปสำหรับบทความ •มาตรา 1566: เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย อีกฝ่ายสามารถมีอำนาจปกครองผู้เยาว์โดยชอบ •มาตรา 1582: ต้องมีคำสั่งศาลเพิกถอนอำนาจปกครองก่อน ถึงจะถือว่าอำนาจสิ้นสุด •มาตรา 1585: การแต่งตั้งผู้ปกครองใหม่ทำได้เฉพาะเมื่อไม่มีบิดามารดาหรือถูกเพิกถอนอำนาจแล้วเท่านั้น ตัวอย่างที่อ้างประกอบทั้งหมดนี้ช่วยเน้นย้ำว่า แม้ผู้ใช้อำนาจปกครองจะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่การสิ้นสุดของอำนาจปกครองต้องผ่านกระบวนการทางศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่บิดายังมีชีวิตอยู่
🎯 สรุปสำหรับประกอบบทความ หัวใจของคำพิพากษาฎีกา 2460/2539 อยู่ที่การตีความมาตรา 1566 วรรคหนึ่ง (1) ควบคู่กับมาตรา 1582 และ 1585 ซึ่งชี้ว่า “การมีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมของบิดา แม้จะรุนแรงเพียงใด ก็ไม่ทำให้อำนาจปกครองสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งศาลเพิกถอนอำนาจ” ✅ จึงไม่สามารถขอตั้งผู้ปกครองใหม่ได้โดยอาศัยความเห็นส่วนตัวเรื่องความเหมาะสม ต้องยึดตามขั้นตอนของกฎหมายเท่านั้น
🔶 คำวินิจฉัยของศาลฎีกา •ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1566(1) อำนาจปกครองตกแก่บิดาเมื่อมารดาเสียชีวิต •ไม่มีการเพิกถอนอำนาจตาม มาตรา 1582 จึงยังคงถือว่าบิดาเป็นผู้มีอำนาจปกครอง •ข้อตกลงในทะเบียนหย่าเพียงแค่ระบุการอุปการะเลี้ยงดู ไม่ได้ตกลงเรื่องอำนาจปกครองโดยชัดแจ้ง •การที่บิดาถูกพิพากษาประหารชีวิต ไม่ทำให้อำนาจปกครองสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ •การยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้ปกครองใหม่จึงขัดต่อเงื่อนไขของ มาตรา 1585
🔶 วิเคราะห์หลักกฎหมาย ▪️ มาตรา 1566 "บิดามารดาย่อมมีอำนาจปกครองร่วมกัน... ถ้าฝ่ายใดตาย ให้อีกฝ่ายหนึ่งมีอำนาจปกครองผู้เยาว์แต่ผู้เดียว" กรณีนี้แม้บิดาจะเป็นผู้ฆ่ามารดา แต่กฎหมายยังถือว่ามีอำนาจปกครองอยู่จนกว่าจะมีคำสั่งศาลเพิกถอนโดยเฉพาะ ▪️ มาตรา 1582 "ศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนอำนาจปกครองได้ หากผู้ใช้อำนาจมีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมหรือมีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อผู้เยาว์" ซึ่งในคดีนี้ยังไม่มีใครยื่นคำร้องเพิกถอนอำนาจปกครองผู้ร้องที่ 1 ▪️ มาตรา 1585 และ 1586 ระบุชัดว่าผู้ร้องจะขอศาลตั้งผู้ปกครองได้เฉพาะเมื่อบิดามารดาไม่มีชีวิตอยู่หรือถูกเพิกถอนอำนาจปกครองแล้ว
🔶 ข้อคิดทางกฎหมาย •อำนาจปกครองไม่สิ้นสุดเพียงเพราะพฤติกรรมไม่เหมาะสม จำเป็นต้องมีคำสั่งศาลเพิกถอนก่อน •การตั้งผู้ปกครองใหม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ใช่เรื่องของศีลธรรมเพียงอย่างเดียว •ข้อตกลงการหย่าควรระบุให้ชัดเจนถึงเรื่องอำนาจปกครอง ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถตีความเป็นการตกลงด้านอำนาจปกครองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2539 ผู้ร้องที่1และที่3เป็นบิดาและย่าของผู้เยาว์ทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสามเป็นการชั่วคราวซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1585และ1586กำหนดให้บุคคลซึ่งกฎหมายระบุไว้อาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองให้ผู้เยาว์ได้เฉพาะกรณีที่ผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครองแต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องก่อนที่ผู้ร้องที่1กับด. จดทะเบียนหย่าขาดกันอำนาจปกครองผู้เยาว์อยู่ที่ผู้ร้องที่1กับด. ตามมาตรา1566เมื่อคนทั้งสองจดทะเบียนหย่าขาดกันมาตรา1520วรรคหนึ่งกฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ร้องที่1และด. ทำความตกลงเป็นหนังสือว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองถ้ามิได้ตกลงกันหรือตกลงกันไม่ได้ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดแต่ตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่าผู้ร้องที่1กับด. เพียงตกลงกันให้ด. มีภาระหน้าที่ปกครองอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสามเท่านั้นไม่มุ่งหมายถึงการใช้อำนาจปกครองและทั้งไม่มีการร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดอำนาจการปกครองผู้เยาว์ทั้งสามคงอยู่กับผู้ร้องที่1และด. ซึ่งเป็นบิดามารดาผู้เยาว์ทั้งสามและเมื่อด. ตายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1566(1)ก็บัญญัติเป็นพิเศษอีกว่าให้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ตกอยู่แก่ผู้ร้องที่1โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้ร้องที่1ซึ่งเป็นบิดามีกิริยาความประพฤติไม่เหมาะสมเพราะต้องคำพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตฐานฆ่าด. และพยายามฆ่าส. โดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ตราบใดที่ไม่มีการเพิกถอนอำนาจการปกครองเสียทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่มาตรา1582บัญญัติไว้ผู้ร้องที่1ยังคงมีอำนาจการปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสามอยู่กรณีจึงไม่อาจจัดให้มีผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1585ขึ้นอีกได้เนื่องจากผู้ร้องที่1ซึ่งเป็นบิดาของผู้เยาว์ทั้งสามยังมีชีวิตอยู่ด้วยเหตุดังกล่าวผู้ร้องที่1และที่3จึงไม่มีสิทธิหรืออำนาจตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองหรือเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสามซ้ำอีก
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องที่ 1 เป็นบิดาผู้ร้องที่ 2 และที่ 4 เป็นป้า และผู้ร้องที่ 3 เป็นย่าของเด็กชายปรัชญา ศิริวัฒนา เด็กชายปวรรัตน์ ศิริวัฒนา และเด็กหญิงปรารถนา ศิริวัฒนา อันเกิดกับผู้ร้องที่ 1 กับนางดวงรัตน์ ศิริวัฒนา ต่อมาผู้ร้องที่ 1 กับนางดวงรัตน์จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน โดยให้ผู้เยาว์ทั้งสามอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของนางดวงรัตน์ ครั้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2533นางดวงรัตน์ถึงแก่ความตาย ผู้เยาว์ทั้งสามไม่มีผู้ปกครองและผู้อุปการะเลี้ยงดู ทั้งไม่สามารถจัดการทรัพย์สินที่มีสิทธิได้รับมรดกของนางดวงรัตน์ นอกจากนี้ผู้เยาว์ทั้งสามยังมีคดีพิพาทกับบุคคลอื่น และบกพร่องในเรื่องความสามารถ ผู้ร้องทั้งสี่ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้ปกครองผู้เยาว์มีรายได้เพียงพออุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสามได้ ขอให้ศาลทำการไต่สวนและมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องทั้งสี่เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองหรือปกครองผู้เยาว์ทั้งสาม
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นยายของผู้เยาว์ทั้งสาม ผู้ร้องที่ 1 ได้ฆ่านางดวงรัตน์ ศิริวัฒนาและลักพาผู้เยาว์ทั้งสามไปจากผู้ดูแลโดยมุ่งประสงค์ต่อทรัพย์สินของผู้เยาว์ทั้งสาม แล้วผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางดวงรัตน์ การกระทำของผู้ร้องที่ 1 ขัดกับผลประโยชน์ของผู้เยาว์ทั้งสาม และพยายามเข้ายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ จึงไม่สมควรเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ ส่วนผู้ร้องที่ 2ถึงที่ 4 กระทำความประสงค์ของผู้ร้องที่ 1 เพื่อจะได้จัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ ขอให้ศาลยกคำร้อง และมีคำสั่งแต่งตั้งนางสัมพันธ์ สาระธนะ อัยการจังหวัดปทุมธานี ร่วมกับนาวาอากาศเอกหญิงประจวบ ตันตราภรณ์ ญาติสนิทของผู้เยาว์ทั้งสามเป็นผู้ปกครองชั่วคราวจนกว่าคดีความจะเสร็จสิ้น โดยนาวาอากาศเอกหญิงประจวบไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสาม ระหว่างพิจารณาผู้ร้องที่ 2 ถึงแก่ความตาย ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะผู้ร้องที่ 2 ส่วนผู้ร้องที่ 4 ขอถอนคำร้องขอเป็นผู้ปกครอง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งตั้งให้นางสนัด สุขโขผู้ร้องที่ 3 เป็นผู้ปกครองเด็กชายปรัชญา ศิริวัฒนาเด็กชายปวรรัตน์ ศิริวัฒนา และเด็กหญิงปรารถนา ศิริวัฒนาโดยให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย คำขออื่นให้ยกและยกคำร้องในส่วนขอตั้งผู้ปกครองของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้าน อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น และให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง คำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านและไม่รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้าน ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องขอโดยผู้คัดค้านไม่ได้คัดค้านว่า เดิมผู้ร้องที่ 1 กับนางดวงรัตน์ศิริวัฒนา เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 3 คนตามลำดับ คือเด็กชายปรัชญา เด็กชายปวรรัตน์และเด็กหญิงปราถนา ศิริวัฒนา ส่วนผู้ร้องที่ 3 เป็นย่าของผู้เยาว์ทั้งสาม ต่อมาผู้ร้องที่ 1 กับนางดวงรัตน์จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน โดยตกลงให้ผู้เยาว์ทั้งสามอยู่ในความปกครองอุปการะเลี้ยงดูของนางดวงรัตน์ ครั้นวันที่ 22 กรกฎาคม 2533นางดวงรัตน์ถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้อง ยกคำร้องคัดค้าน และยกคำสั่งศาลชั้นต้นนั้นชอบหรือไม่ โดยผู้คัดค้านฎีกาว่าเมื่อผู้ร้องที่ 1 หย่าขาดจากนางดวงรัตน์ ได้ทำความตกลงไว้ว่า ผู้ร้องที่ 1 ซึ่งปกติชอบเล่นการพนัน ไม่ดูแลอุปการะครอบครัว ไม่สมควรเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ตามสัญญาทะเบียนหย่าเอกสารหมาย ร.16เมื่อนางดวงรัตน์ถึงแก่ความตายกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566(1) อำนาจปกครองของนางดวงรัตน์จึงไม่ตกแก่ผู้ร้องที่ 1 มิฉะนั้นจะขัดต่อความมุ่งหมายของกฎหมายที่ต้องการคุ้มครองผู้เยาว์ นอกจากนี้ศาลจังหวัดปทุมธานียังได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตผู้ร้องที่ 1 ข้อหาฆ่านางดวงรัตน์และพยายามฆ่านายเสนอ สุขโข โดยไตร่ตรองไว้ก่อนอีกด้วยตามคำพิพากษาศาลจังหวัดปทุมธานีคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2461/2538จึงไม่สมควรให้ผู้ร้องที่ 1 หรือผู้ร้องที่ 3 เป็นผู้ปกครองอันเป็นผลให้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินผู้เยาว์ทั้งสามในข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ในการพิจารณาคดีแพ่งในเบื้องแรก ศาลจำเป็นต้องพิเคราะห์คำฟ้องหรือคำร้องขอก่อนว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งหรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลหรือไม่ ในกรณีแรกโจทก์ต้องเสนอคดีโดยคำฟ้องมีข้อพิพาทคำฟ้องต้องบรรยายใจความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 ในกรณีหลังผู้ร้องขอต้องเสนอคดีโดยทำเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทตามมาตรา 188 และต้องเป็นกรณีที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้สิทธิหรืออำนาจกระทำได้เท่านั้น ในคดีนี้ผู้ร้องที่ 2 ถึงแก่ความตาย และผู้ร้องที่ 4 ขอถอนคำร้องระหว่างพิจารณาตามลำดับ ผู้ร้องที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำร้องประสงค์ให้ศาลแต่งตั้งผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสามเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1585 และ 1586 กำหนดให้บุคคลซึ่งกฎหมายระบุไว้อาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองให้ผู้เยาว์ได้เฉพาะกรณีที่ผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดาหรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครอง แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องก่อนที่ผู้ร้องที่ 1 กับนางดวงรัตน์จดทะเบียนหย่าขาดกันอำนาจปกครองผู้เยาว์อยู่ที่ผู้ร้องที่ 1 กับนางดวงรัตน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 เมื่อคนทั้งสองจดทะเบียนหย่าขาดกัน มาตรา 1520 วรรคแรก กฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ร้องและนางดวงรัตน์ทำความตกลงเป็นหนังสือว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง ถ้ามิได้ตกลงกันหรือตกลงกันไม่ได้ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด แต่ในคดีนี้ตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่าเอกสารหมาย ร.16 ผู้ร้องที่ 1 กับนางดวงรัตน์เพียงตกลงกันให้นางดวงรัตน์มีภาระหน้าที่ปกครองอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสามเท่านั้น ไม่มุ่งหมายถึงการใช้อำนาจปกครอง และทั้งไม่มีการร้องขอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด อำนาจการปกครองผู้เยาว์ทั้งสามคงอยู่กับผู้ร้องที่ 1 และนางดวงรัตน์ซึ่งเป็นบิดามารดาผู้เยาว์ทั้งสาม และเมื่อนางดวงรัตน์ตายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566(1) ก็บัญญัติเป็นพิเศษอีกว่าให้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ตกอยู่แก่ผู้ร้องที่ 1 ไม่คำนึงถึงว่าผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นบิดามีกิริยาความประพฤติเป็นเช่นดั่งที่ผู้คัดค้านฎีกาหรือไม่ ตราบใดที่ไม่มีการเพิกถอนอำนาจการปกครองเสียทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่มาตรา 1582 บัญญัติไว้ ผู้ร้องที่ 1ยังคงมีอำนาจการปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสามอยู่ กรณีจึงไม่อาจจัดให้มีผู้ปกครองผู้เยาว์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1585 ขึ้นอีกได้ เนื่องจากผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาของผู้เยาว์ทั้งสามยังมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุดังกล่าวผู้ร้องที่ 1และที่ 3 จึงไม่มีสิทธิหรืออำนาจตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ปกครองหรือเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสามซ้ำอีก และเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาอนุญาตโดยปราศจากอำนาจที่กฎหมายรับรอง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็ต้องพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้องยกคำคัดค้านของผู้คัดค้าน แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและไม่รับอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะไม่ปรากฏว่าอุทธรณ์ผู้คัดค้านต้องห้ามตามกฎหมาย หรือศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาหรือว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งแต่อย่างไร ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ให้ถูกต้อง
🔵 IRAC: กรอบวิเคราะห์ฎีกา Issue (ประเด็น): เมื่อมารดาของผู้เยาว์เสียชีวิต บิดาที่เคยหย่ากับมารดา และถูกพิพากษาโทษประหารชีวิตจากการฆ่ามารดา ยังมีอำนาจปกครองผู้เยาว์หรือไม่ และสามารถตั้งผู้ปกครองใหม่แทนบิดาได้หรือไม่ Rule (บทกฎหมาย): •ป.พ.พ. มาตรา 1566(1): อำนาจปกครองตกแก่บิดาหลังมารดาเสียชีวิต •ป.พ.พ. มาตรา 1582: การเพิกถอนอำนาจปกครองต้องมีคำสั่งศาล •ป.พ.พ. มาตรา 1585: การตั้งผู้ปกครองใหม่ทำได้เมื่อไม่มีบิดามารดาหรือถูกเพิกถอนอำนาจแล้ว Application (การประยุกต์ใช้): ผู้ร้องที่ 1 ยังมีชีวิตและไม่ถูกเพิกถอนอำนาจปกครอง จึงยังมีอำนาจปกครองโดยชอบ แม้จะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็ตาม ส่วนข้อตกลงการหย่าไม่ได้ระบุชัดเจนเรื่องการโอนอำนาจปกครอง Conclusion (บทสรุป): ศาลไม่อาจแต่งตั้งผู้ปกครองซ้ำซ้อนได้ในเมื่อบิดายังมีอำนาจปกครองโดยชอบ กรณีนี้จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งหมด
🌐 English Summary (Short Version for Website) Supreme Court Judgment No. 2460/2539 Summary: The Thai Supreme Court ruled that a father retains parental authority over his minor children even after being sentenced to death for murdering the mother. Since there was no court order revoking his authority under Civil and Commercial Code Section 1582, and the divorce agreement did not explicitly transfer custody, his legal right to custody remains. Therefore, no new guardian may be appointed under Section 1585 while the father is still alive and retains his legal authority.
|