
| อายุความฟ้องเรียกหนี้บัตรกดเงินสด และการนับระยะเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30(ฎีกาที่ 6568/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องเรียกหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน (บัตรกดเงินสด) ที่ไม่มีการกำหนดจำนวนงวดผ่อนชำระคืนทุน จึงไม่เข้าลักษณะสิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดอายุความ 5 ปี แต่มีอายุความ 10 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 พร้อมทั้งวินิจฉัยประเด็นการเริ่มนับอายุความ และการคิดดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญา ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญสำหรับการบังคับสิทธิเรียกร้องในคดีผู้บริโภคประเภทนี้ ข้อเท็จจริงของคดี •วันที่ 24 พฤษภาคม 2550 จำเลยทำสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน วงเงิน 58,700 บาท ดอกเบี้ย 15% ต่อปี และค่าธรรมเนียม 10.92% ต่อปี •ผู้กู้ต้องชำระไม่น้อยกว่า 8% ของเงินต้นคงค้าง หรือไม่ต่ำกว่า 400 บาท หรือชำระเฉพาะดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม แล้วแต่จำนวนใดสูงกว่า กำหนดชำระทุกวันที่ 27 ของเดือน •หากผิดนัดงวดใด สามารถเรียกชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที พร้อมดอกเบี้ยผิดนัด 28% ต่อปี •จำเลยชำระครั้งสุดท้ายวันที่ 4 เมษายน 2556 เป็นเงิน 800 บาท •โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องและได้บอกกล่าวแก่จำเลย แต่จำเลยเพิกเฉย •ฟ้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 เรียกเงิน 85,703.10 บาท พร้อมดอกเบี้ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้อยู่ที่การตีความเรื่อง “อายุความฟ้องร้องหนี้สินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน” ซึ่งศาลฎีกาใช้หลักกฎหมายจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30, มาตรา 193/33(2) และมาตรา 193/12 มาประกอบการวินิจฉัย ต่อไปนี้คือ คำสำคัญ (Key Words) 5 ประโยคหลัก ที่เป็นแก่นของคดี พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ 1. มาตรา 193/30 – อายุความ 10 ปีสำหรับสิทธิเรียกร้องทั่วไป ศาลใช้บทบัญญัตินี้เป็นหลักตัดสินว่า สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน เป็นสิทธิทั่วไปที่กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความไว้เฉพาะ จึงต้องอยู่ภายใต้อายุความ 10 ปี 2. มาตรา 193/33(2) – หนี้ผ่อนงวดมีอายุความ 5 ปี จำเลยอ้างว่าควรใช้มาตรานี้เพราะมีการชำระรายเดือน แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญานี้ไม่ใช่การผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ อย่างแน่นอน จึงไม่เข้าเกณฑ์หนี้ผ่อนงวดที่มีอายุความ 5 ปี 3. มาตรา 193/12 – การเริ่มนับอายุความเมื่อเจ้าหนี้มีสิทธิบังคับหนี้ได้ ศาลกำหนดว่าจุดเริ่มนับอายุความคือวันที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที ไม่ใช่วันครบกำหนดชำระขั้นต่ำรายเดือน 4. ลักษณะของสัญญาสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Credit) เป็นสัญญาที่เปิดให้ลูกหนี้ใช้วงเงินและชำระขั้นต่ำโดยไม่กำหนดจำนวนงวดตายตัว จึงต่างจากสัญญาผ่อนงวดทั่วไป และมีผลโดยตรงต่อการคำนวณอายุความ 5. การฟ้องไม่ขาดอายุความ เมื่อการชำระครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 2556 และฟ้องในปี 2565 ยังอยู่ภายใน 10 ปีตามมาตรา 193/30 ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าการฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความ และจำเลยต้องชำระหนี้ตามที่พิสูจน์ได้ สรุปใจความสำคัญ คดีนี้เป็นแนวคำพิพากษาสำคัญที่ยืนยันว่า “หนี้จากบัตรกดเงินสดหรือสินเชื่อหมุนเวียน” เป็นหนี้ที่มีอายุความ 10 ปี ไม่ใช่ 5 ปี และการนับอายุความต้องเริ่มจากวันที่เจ้าหนี้มีสิทธิเร่งรัดหนี้ได้ทั้งหมดตามเงื่อนไขในสัญญา คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1.ประเด็นอายุความ oสัญญาสินเชื่อหมุนเวียนไม่มีการกำหนดจำนวนงวดผ่อนคืนทุน oไม่เข้าลักษณะอายุความ 5 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) oกฎหมายไม่กำหนดอายุความเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปีตามมาตรา 193/30 oการนับอายุความเริ่มตั้งแต่วันที่ผู้ให้กู้มีสิทธิบังคับชำระหนี้ทั้งหมดได้ (5 เม.ย. 2556) oการฟ้องในปี 2565 ยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องไม่ขาดอายุความ 2.จำนวนหนี้ที่ต้องรับผิด oจำเลยค้างชำระ 62,212 บาท (เงินต้น 53,926.11 บาท + ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม) oให้ชำระดอกเบี้ย 15% ต่อปี ของเงินต้นนับตั้งแต่ 23 พ.ย. 2562 จนชำระเสร็จ oดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องต้องไม่เกิน 23,491.10 บาท วิเคราะห์กฎหมาย •มาตรา 193/30 ใช้กับสิทธิเรียกร้องที่ไม่มีกำหนดอายุความเฉพาะ •มาตรา 193/33 (2) ใช้กับการผ่อนทุนคืนเป็นงวด แต่กรณีนี้ไม่กำหนดจำนวนงวด จึงใช้ไม่ได้ •การระบุในสัญญาว่าผิดนัดงวดใด สามารถเรียกหนี้ทั้งหมดได้ทันที ส่งผลให้เริ่มนับอายุความตั้งแต่วันถัดไป •การกำหนดดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญา ต้องไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และต้องชัดเจนในเงื่อนไข IRAC Analysis Issue (ประเด็น) ฟ้องเรียกหนี้จากสัญญาสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่มีการกำหนดจำนวนงวดผ่อนคืนทุน ขาดอายุความหรือไม่ และจำเลยต้องชำระหนี้ตามจำนวนใด Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) •ป.พ.พ. มาตรา 193/30 อายุความทั่วไป 10 ปี •ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) อายุความ 5 ปี ใช้กับการผ่อนทุนคืนเป็นงวด •ป.พ.พ. มาตรา 193/12 การเริ่มนับอายุความ •หลักการคิดดอกเบี้ยตามสัญญาและดอกเบี้ยผิดนัด Application (การปรับใช้) •เนื่องจากสัญญานี้ไม่มีการกำหนดจำนวนงวด จึงไม่ใช่การผ่อนทุนคืนเป็นงวดตามมาตรา 193/33 (2) •ต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปีตามมาตรา 193/30 •การเริ่มนับอายุความเกิดขึ้นเมื่อผู้กู้ผิดนัดและเจ้าหนี้มีสิทธิบังคับหนี้ทั้งหมด •การคิดดอกเบี้ยต้องเป็นไปตามอัตราที่กำหนดในสัญญาและไม่ขัดต่อกฎหมาย Conclusion (ข้อสรุป) ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยต้องชำระหนี้ 62,212 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปี ของเงินต้นตามที่กำหนดในสัญญา ข้อคิดทางกฎหมาย •สัญญาสินเชื่อหมุนเวียนที่ไม่กำหนดจำนวนงวดผ่อนทุนคืน จะใช้อายุความทั่วไป 10 ปี •ผู้ประกอบธุรกิจควรบันทึกวันผิดนัดและวันเริ่มนับอายุความอย่างชัดเจน เพื่อไม่เสียสิทธิ •การโอนสิทธิเรียกร้องต้องมีหนังสือบอกกล่าวแก่ลูกหนี้ มิฉะนั้นอาจมีข้อโต้แย้งในภายหลัง •การกำหนดดอกเบี้ยผิดนัดควรระบุให้ชัดและไม่เกินอัตรากฎหมาย เพื่อให้บังคับได้จริงในศาล สรุปภาษาอังกฤษ The Supreme Court Decision No. 6568/2567 ruled that a revolving credit agreement without fixed repayment installments is not subject to the 5-year statute of limitations under Section 193/33(2) of the Civil and Commercial Code, but instead falls under the 10-year general statute of limitations in Section 193/30. The Court clarified that the limitation period starts when the creditor can demand full repayment after default. The defendant was ordered to pay 62,212 THB plus contractual interest. สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาสินเชื่อหมุนเวียนกับบริษัทเจ้าหนี้ วงเงิน 58,700 บาท ดอกเบี้ย 15% ต่อปี และชำระขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 8% หรือ 400 บาทต่อเดือน หากผิดนัดงวดใดเรียกหนี้ทั้งหมดได้ทันที จำเลยชำระครั้งสุดท้ายวันที่ 4 เมษายน 2556 โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องและฟ้องเมื่อ 19 ตุลาคม 2565 ศาลเห็นว่าสัญญานี้ไม่มีการกำหนดจำนวนงวดผ่อนคืน จึงไม่ใช่อายุความ 5 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33(2) แต่ใช้อายุความทั่วไป 10 ปีตามมาตรา 193/30 การฟ้องจึงไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยชำระ 62,212 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปีของเงินต้น 53,926.11 บาท นับจาก 23 พฤศจิกายน 2562 และค่าทนายความ 3,000 บาท แนวคำถาม - ธงคำตอบ ข้อ 1. โจทก์ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจากสถาบันการเงินเดิม ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน โดยจำเลยยกข้อต่อสู้ว่าฟ้องขาดอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33(2) เนื่องจากมีการกำหนดให้ชำระรายเดือนลักษณะคล้ายการผ่อนชำระทุนคืนเป็นงวด ๆ คำถามคือ หนี้ตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนที่กำหนดให้ชำระขั้นต่ำรายเดือนจะถือเป็นหนี้ผ่อนงวดตามมาตรา 193/33(2) หรือเป็นสิทธิเรียกร้องทั่วไปตามมาตรา 193/30 หรือไม่ ธงคำตอบ สัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนเป็นสัญญาที่ลูกหนี้สามารถเบิกถอนเงินภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ และชำระขั้นต่ำรายเดือนตามเปอร์เซ็นต์ของเงินต้นคงค้าง โดยไม่มีการกำหนดจำนวนงวดที่ต้องผ่อนทุนคืนอย่างแน่นอน โครงสร้างของสัญญาจึงไม่ใช่การผ่อนชำระหนี้เป็นงวด ๆ ตามมาตรา 193/33(2) เพราะลูกหนี้สามารถเลือกชำระขั้นต่ำและเบิกใช้ใหม่ได้เรื่อย ๆ ทำให้ไม่รู้แน่ชัดว่าหนี้จะหมดเมื่อใด ดังนั้น สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้จึงอยู่ภายใต้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30 ไม่ใช่อายุความ 5 ปีแบบหนี้ผ่อนงวด ข้อ 2. จำเลยผิดนัดชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556 และสัญญากำหนดว่า หากลูกหนี้ผิดนัดงวดใด เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที ต่อมาโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 คำถามคือ อายุความเริ่มนับตั้งแต่วันใด และการฟ้องคดีดังกล่าวถือว่าขาดอายุความหรือไม่ ธงคำตอบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 กำหนดให้เริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับชำระหนี้ได้ ในกรณีนี้ เมื่อจำเลยผิดนัดชำระงวดวันที่ 4 เมษายน 2556 เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันทีตามเงื่อนไขในสัญญา อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2556 และเนื่องจากศาลวินิจฉัยว่าสัญญานี้เป็นสิทธิเรียกร้องทั่วไป มีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30 การที่โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 จึงยังอยู่ภายในกำหนดอายุความ การฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความ ข้อ 3. เมื่อมีการโอนสิทธิเรียกร้องจากบริษัทเจ้าหนี้เดิมไปยังบริษัทโจทก์ และมีการส่งหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิและทวงถามหนี้แก่จำเลยแล้ว การฟ้องของบริษัทโจทก์มีผลสมบูรณ์หรือไม่ และจำเลยจะอ้างขาดอายุความหรือขาดสิทธิฟ้องได้หรือไม่ ธงคำตอบ ตามหลักกฎหมายเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้อง หากเจ้าหนี้ใหม่ได้รับโอนสิทธิและมีหนังสือบอกกล่าวแก่ลูกหนี้อย่างถูกต้องแล้ว เจ้าหนี้ใหม่ย่อมมีสิทธิดำเนินการฟ้องร้องแทนเจ้าหนี้เดิมได้ทันทีโดยสมบูรณ์ การฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นไปภายในกำหนดอายุความ 10 ปีตามมาตรา 193/30 และมีหลักฐานการโอนสิทธิเรียกร้องชัดเจน เช่น หนังสือสัญญาโอนสิทธิและบัญชีลูกหนี้แนบท้าย จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าขาดอายุความหรือขาดสิทธิฟ้องได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องและจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามที่พิสูจน์ได้ ข้อ 4. ในการพิจารณาคดี ศาลต้องตัดสินเรื่องจำนวนหนี้และอัตราดอกเบี้ยตามสัญญา โดยโจทก์เรียกดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ศาลควรวินิจฉัยอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและหลักความเป็นธรรมในคดีผู้บริโภค ธงคำตอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จากบัญชีลูกหนี้แนบท้ายสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องและคำรับของจำเลย พบว่ายอดหนี้คงค้างเป็นไปตามที่โจทก์ฟ้อง ส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้อยละ 15 ต่อปี เป็นอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาและต่ำกว่าอัตราที่โจทก์อาจเรียกได้เต็มที่ตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/หมุนเวียน จึงถือว่าเป็นการเรียกร้องโดยสุจริตและไม่เกินสมควร ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้น 53,926.11 บาท นับแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 จนกว่าจะชำระเสร็จ พร้อมกำหนดเพดานดอกเบี้ยค้างไม่เกิน 23,491.10 บาท การวินิจฉัยเช่นนี้สะท้อนหลักความสมดุลระหว่างสิทธิของเจ้าหนี้และการคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงและความเป็นธรรมในคดี ข้อ 5 โจทก์เป็นบริษัทผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจากบริษัท อ. ซึ่งได้ทำสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนกับจำเลยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2550 โดยอนุมัติวงเงินกู้ 58,700 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินร้อยละ 10.92 ต่อปี พร้อมมอบบัตรกดเงินสดให้จำเลยใช้เบิกถอนเงินกู้ได้เองตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ โดยมีเงื่อนไขว่า จำเลยต้องชำระหนี้เป็นงวดรายเดือน โดยชำระทุกวันที่ 27 ของเดือน เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินขั้นต่ำที่ผู้ให้กู้กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 8 ของเงินต้นคงค้าง หรือไม่น้อยกว่า 400 บาท หรือจำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินคงค้าง แล้วแต่จำนวนใดสูงกว่า อีกทั้งในกรณีที่ผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระค่างวดใดงวดหนึ่ง ผู้กู้ (จำเลย) ยอมให้ผู้ให้กู้เรียกให้ชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 28 ต่อปี และค่าติดตามทวงถาม 200 บาท ต่อมา จำเลยเบิกถอนเงินกู้ไปแล้ว แต่ชำระคืนเพียงบางส่วน โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556 จำนวน 800 บาท แล้วหยุดชำระหนี้นับแต่นั้น ซึ่งตามเงื่อนไขสัญญา ทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2556 เป็นต้นไป ต่อมาบริษัท อ. โอนสิทธิเรียกร้องหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยชอบ และโจทก์ได้บอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องแก่จำเลยแล้ว จำเลยยังไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 เรียกเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม ซึ่งจำเลยต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะเป็นหนี้เงินกู้แบบผ่อนชำระรายเดือน จึงควรมีอายุความเพียง 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) และเริ่มนับความเมื่อค้างงวดรายเดือนเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2556 ย่อมเกินกำหนดแล้ว ให้วินิจฉัยว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ฟ้องของโจทก์ในปี 2565 “ขาดอายุความหรือไม่” อายุความที่ใช้ควรเป็น 5 ปีตามมาตรา 193/33 (2) หรือ 10 ปีตามมาตรา 193/30 และจะต้องเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใด จึงจะถือว่าการฟ้องของโจทก์ยังอยู่ในกำหนดอายุความหรือพ้นอายุความไปแล้ว ธงคำตอบข้อ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ “ลักษณะของสิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน” ว่าเป็นหนี้ผ่อนชำระคืนต้นทุนตามงวดที่กำหนดแน่นอน (installment loan) หรือเป็นวงเงินกู้หมุนเวียนตามดุลพินิจของลูกหนี้ว่าจะชำระขั้นต่ำหรือปิดเต็มจำนวนในแต่ละรอบบัญชี ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนลักษณะเช่นนี้ คือ ผู้ให้กู้เปิดวงเงินให้ผู้กู้ใช้ได้ผ่านบัตรกดเงินสด แล้วผู้กู้ต้องชำระคืนเป็นรายเดือนโดยอย่างน้อยต้องจ่าย “จำนวนเงินขั้นต่ำ” คือ (ก) ไม่เกินร้อยละ 8 ของเงินต้นคงค้าง หรือ (ข) ไม่ต่ำกว่า 400 บาท หรือ (ค) จำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมคงค้าง แล้วแต่จำนวนใดสูงกว่า ทั้งนี้ ผู้กู้ยังสามารถเลือกที่จะชำระคืนเต็มจำนวนเงินต้นที่เบิกใช้ไปพร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมได้เช่นกันในแต่ละเดือน สำคัญคือ สัญญาไม่ได้ระบุจำนวนงวดตายตัวว่าจะต้องผ่อนทั้งหมดกี่งวด กี่เดือนจึงจะปิดบัญชีเงินต้นครบ กล่าวคือ ไม่มีตารางผ่อนต้นเป็นงวด ๆ อย่างตายตัว เมื่อไม่มีการกำหนด “จำนวนงวดแน่นอนของการผ่อนคืนเงินต้น” สิทธิเรียกร้องจึง “ไม่ใช่การผ่อนชำระหนี้เงินกู้เป็นงวด ๆ ของเงินต้นที่แน่นอนแต่แรก” จึงไม่เข้าเงื่อนไข “หนี้เงินกู้ที่ต้องชำระเป็นงวด ๆ” ตามที่มาตรา 193/33 (2) วางหลักให้อายุความ 5 ปี ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 เคยเข้าใจ กล่าวอีกแบบ: นี่ไม่ใช่ค่างวดผ่อนรถ ผ่อนบ้าน หรือเงินกู้ส่วนบุคคลที่มีตารางผ่อนต้น-ดอกแน่นอนครบ X งวด แต่เป็น “วงเงินหมุนเวียน” ที่ให้ลูกหนี้เลือกจ่ายขั้นต่ำเลื่อนหนี้ไปเรื่อย ๆ ได้ตามโครงสร้างผลิตภัณฑ์บัตรกดเงินสด จึงไม่ใช่สิทธิเรียกร้องตามสัญญาที่เข้าลักษณะอายุความ 5 ปีของมาตรา 193/33 (2) เมื่อไม่เข้า 193/33 (2) ก็ต้องใช้บทย่อยทั่วไป คือ อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะสิทธิเรียกร้องประเภทนี้กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความไว้เป็นการเฉพาะ ต่อไปต้องดู “เมื่อใดเริ่มนับอายุความ” ตามมาตรา 193/12 ซึ่งบัญญัติให้อายุความเริ่มนับแต่เมื่อเจ้าหนี้สามารถบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นครั้งแรก เงื่อนไขในสัญญาบัญญัติว่า หากลูกหนี้ (จำเลย) ไม่ชำระค่างวดงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ทั้งหมดได้ในทันที ไม่ต้องรอให้ถึงงวดต่อ ๆ ไปอีก ซึ่งกรณีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556 จำนวน 800 บาท จากนั้นไม่ชำระอีก ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2556 เป็นต้นไป เจ้าหนี้ (และต่อมาคือโจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง) ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดได้ในคราวเดียวแล้ว สิทธิเรียกร้องจึง “ถึงกำหนดบังคับได้” ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2556 ซึ่งถือเป็นวันเริ่มนับอายุความ 10 ปี โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 เมื่อนับตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2556 ถึงวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ยังไม่เกินสิบปีเต็มตามมาตรา 193/30 ดังนั้น ฟ้องของโจทก์ “ไม่ขาดอายุความ” แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี สรุป: (1) สิทธิเรียกร้องนี้ไม่ใช่หนี้ผ่อนเงินต้นเป็นงวด ๆ ที่มีจำนวนงวดแน่นอน จึงไม่อยู่ในบังคับอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (2) (2) อายุความจึงเป็น 10 ปี ตามมาตรา 193/30 (3) อายุความเริ่มนับเมื่อเจ้าหนี้สามารถเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที คือวันที่ 5 เมษายน 2556 ตามมาตรา 193/12 (4) การยื่นฟ้องวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ยังอยู่ในอายุความ 10 ปี ดังนั้น ข้ออ้างของจำเลยว่า “ขาดอายุความ” ฟังไม่ขึ้น ฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้ฟังขึ้น ศาลฎีกาจึงกลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ข้อ 6 (ประเด็นความรับผิดสุดท้าย: จำเลยต้องชำระเท่าใด / ศาลฎีกากำหนดหนี้แทนศาลล่างได้หรือไม่) ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จึงไม่ได้วินิจฉัยลงไปถึง “ยอดหนี้ที่จำเลยยังต้องรับผิดชำระแก่โจทก์” ว่าเป็นจำนวนเท่าใด และจะต้องรับผิดในดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อใดและในอัตราเท่าใด ต่อมา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความดังที่อธิบายแล้วในข้อ 1 ปัญหาถัดมาคือ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคดีต้องรับฟังต่อไปในส่วนยอดหนี้ ศาลฎีกาจะต้องส่งสำนวนกลับให้ศาลล่างวินิจฉัยต่อ หรือศาลฎีกาเองอาจวินิจฉัยกำหนดยอดหนี้และดอกเบี้ยได้เลย และเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำคู่ความและพยานเอกสารในสำนวนแล้ว จำเลยต้องรับผิดชำระจำนวนเงินใดบ้างภายใต้สัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน รวมถึงดอกเบี้ยในอัตราเท่าใดและนับแต่วันใดเป็นต้นไป ธงคำตอบ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประเด็นอายุความ (ซึ่งศาลล่างทั้งสองยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้อง) เป็นประเด็นกีดกันไม่ให้เข้าสู่การวินิจฉัย “ยอดหนี้แท้จริง” แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยกลับว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ก็ย่อมเกิดคำถามต่อมาทันทีว่า จำเลยเป็นหนี้เท่าใด ซึ่งตามบทบาทของศาลฎีกาในคดีผู้บริโภค หากศาลเห็นว่ามีข้อมูลพอจะวินิจฉัยได้เองอย่างชัดเจนอยู่ในสำนวนอยู่แล้ว ศาลฎีกาอาจวินิจฉัยกำหนดจำนวนหนี้และดอกเบี้ยได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องส่งสำนวนกลับไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยซ้ำ เพราะจะเป็นการประหยัดเวลาและยุติข้อพิพาทในคราวเดียว ศาลฎีกาตรวจดู “คำฟ้อง” และ “บัญชีลูกหนี้แนบท้ายสำเนาหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง” แล้วปรากฏว่า ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2562 จำเลยยังค้างชำระหนี้เงินต้น 53,926.11 บาท และค้างดอกเบี้ยกับค่าธรรมเนียมรวมแล้วเป็นเงิน 62,212 บาท ซึ่งยอดนี้จำเลยมิได้โต้แย้งข้อเท็จจริงด้วยการปฏิเสธตัวเลขดังกล่าว กลับยอมรับตัวเลขหนี้คงค้างตามเอกสารนั้น จึงถือว่าข้อเท็จจริงเรื่องยอดหนี้ “รับกันแล้ว” ระหว่างคู่ความ เมื่อข้อเท็จจริงเรื่องยอดหนี้เป็นที่ยุติ ศาลฎีกาจึงชี้ขาดได้เลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระแก่โจทก์เป็นจำนวน 62,212 บาท อันเป็นยอดหนี้ซึ่งรวมเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมค้างชำระ ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2562 โดยในจำนวนดังกล่าว เงินต้นคงเหลือคือ 53,926.11 บาท ต่อไปคือดอกเบี้ยหลังจากนั้น โจทก์ขอให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้น 53,926.11 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องหลังวันฟ้อง (ร้อยละ 15 ต่อปี) เป็นอัตราซึ่ง “ไม่สูงไปกว่าที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน” กล่าวคือ เป็นอัตราต่ำกว่าหรือเทียบเคียงกับอัตราปกติที่ตกลงในสัญญา มิใช่อัตราที่เกินส่วนหรือไม่เป็นธรรมต่อจำเลย ศาลฎีกาจึงอนุญาตให้คิดดอกเบี้ยตามที่โจทก์ร้องขอ อย่างไรก็ดี ศาลฎีกายังกำหนดกรอบไว้เพื่อคุ้มครองจำเลยในส่วนดอกเบี้ยสะสมก่อนวันฟ้อง โดยวางเงื่อนไขว่า “ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 23,491.10 บาท” หมายความว่า ศาลไม่ได้ปล่อยให้ตัวเลขดอกเบี้ยงอกแบบไร้ขอบเขตย้อนหลังจนเกินความสมเหตุสมผลหรือซ้ำซ้อน แต่ยึดตามยอดที่ตรวจสอบได้จากเอกสารลูกหนี้และกำหนดเพดานไว้อย่างชัดเจน ผลรวมแห่งการวินิจฉัย ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลชั้นต้น โดยกำหนดให้จำเลยต้องรับผิดชำระแก่โจทก์ดังนี้ 1. เงินจำนวน 62,212 บาท (ซึ่งรวมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2562 แล้ว โดยมีเงินต้นคงเหลือ 53,926.11 บาทอยู่ภายในยอดนี้) 2. ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้น 53,926.11 บาท นับตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ 3. โดยดอกเบี้ยที่นับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 23,491.10 บาท 4. พร้อมทั้งให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ดังนั้น ประเด็นสำคัญในข้อสอบนี้จึงมีสองชั้นชัดเจน ชั้นที่หนึ่ง: เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วว่าฟ้องไม่ขาดอายุความ คดีต้องเดินต่อ ชั้นที่สอง: ศาลฎีกาในฐานะศาลสูงสุดด้านคดีผู้บริโภคสามารถ “ปิดคดีเอง” ได้เลย โดยกำหนดยอดหนี้ ดอกเบี้ย วันที่เริ่มนับดอกเบี้ย และภาระค่าธรรมเนียมศาล แทนที่จะย้อนสำนวนลงไปให้ศาลล่างวินิจฉัยใหม่ การกำหนดเช่นนี้ตอบโจทย์เชิงหลักการ 2 เรื่องสำหรับผู้ศึกษา (ก) เชิงสิทธิของผู้ให้กู้/ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง: ศาลรับรองให้เรียกหนี้ได้จริงภายในกรอบอายุความ 10 ปี มิใช่ถูกตัดสิทธิ์ก่อนเวลา (ข) เชิงความเป็นธรรมต่อผู้กู้ในฐานะผู้บริโภค: ศาลไม่อนุญาตดอกเบี้ยย้อนหลังแบบไร้ขอบเขต แต่กำกับเพดานดอกเบี้ยค้างก่อนวันฟ้อง และยืนยันอัตราดอกเบี้ยหลังวันฟ้องที่ไม่เกินกว่าที่เจ้าหนี้พึงได้ตามสัญญา สรุป จำเลยยังคงต้องรับผิดตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนในจำนวนหนี้ที่พิสูจน์แล้วและยอมรับกันได้ในสำนวน แม้ศาลล่างเคยยกฟ้องเพราะเข้าใจว่า “ขาดอายุความ” แต่เมื่อศาลฎีกาชี้ว่าไม่ขาดอายุความ ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับให้จำเลยต้องชำระหนี้จำนวน 62,212 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้น 53,926.11 บาท นับตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยมีเพดานดอกเบี้ยค้างถึงวันฟ้องไม่เกิน 23,491.10 บาท และยังให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์อีกด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6568/2567 ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน ได้ความว่า สัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน เป็นกรณีที่ผู้ให้กู้อนุมัติวงเงินสินเชื่อ และมอบบัตรกดเงินสดให้ผู้กู้ โดยผู้กู้สามารถใช้บัตรกดเงินสดนั้นเบิกถอนเงินกู้ได้ และผู้กู้ตกลงชำระหนี้เป็นงวดรายเดือนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินขั้นต่ำซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินอัตราร้อยละ 8 ของเงินต้นคงค้าง หรือไม่ต่ำกว่า 400 บาท หรือจำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินคงค้างในแต่ละเดือน แล้วแต่จำนวนใดที่สูงกว่า โดยชำระทุกวันที่ 27 ของเดือน ข้อตกลงในการชำระเงินกู้ของผู้กู้ดังกล่าว แสดงว่าผู้กู้จะเลือกชําระคืนเงินต้นเต็มจำนวนที่ใช้บัตรกดเงินสดเบิกเงินกู้ไปแต่ละเดือนพร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม หรือผู้กู้จะเลือกชำระจำนวนเงินขั้นต่ำที่ผู้ให้กู้กำหนดไว้ไม่เกินอัตราร้อยละ 8 ของเงินต้นคงค้าง หรือไม่ต่ำกว่า 400 บาท หรือจำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินคงค้างในแต่ละเดือน แล้วแต่จำนวนใดที่สูงกว่าก็ได้ และสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนดังกล่าวไม่ได้กําหนดว่า กรณีผู้กู้เลือกผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนนั้น ผู้กู้ต้องผ่อนชำระเป็นเวลากี่งวด สัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนตามฟ้องจึงไม่มีลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ และไม่ใช่สิทธิเรียกร้องที่มีกําหนดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) แต่สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนตามฟ้องเช่นนี้ กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 85,703.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้น 53,926.11 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2550 จำเลยทำสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน กับบริษัท อ. วงเงินกู้ 58,700 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอัตราร้อยละ 10.92 ต่อปี กำหนดชำระหนี้เป็นงวดรายเดือนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินขั้นต่ำอัตราร้อยละ 8 ของเงินต้นคงค้าง หรือไม่ต่ำกว่า 400 บาท หรือจำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินคงค้างในแต่ละเดือน แล้วแต่จำนวนใดที่สูงกว่า โดยชำระทุกวันที่ 27 ของเดือน หากจำเลยไม่ชำระงวดใดงวดหนึ่ง จำเลยยอมให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 28 ต่อปี กับค่าติดตามทวงถาม 200 บาท จำเลยเบิกถอนเงินสดตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยชำระหนี้เพียงบางส่วน โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556 เป็นเงิน 800 บาท บริษัท ท. ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทโจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องตามบัญชีลูกหนี้ซึ่งรวมถึงมูลหนี้ของจำเลยด้วย มาจากบริษัท อ. โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องและทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนาสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน ข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน ได้ความว่า สัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน เป็นกรณีที่ผู้ให้กู้อนุมัติวงเงินสินเชื่อ และมอบบัตรกดเงินสดให้ผู้กู้ โดยผู้กู้สามารถใช้บัตรกดเงินสดนั้นเบิกถอนเงินกู้ได้ และผู้กู้ตกลงชำระหนี้เป็นงวดรายเดือนไม่น้อยกว่าจำนวนเงินขั้นต่ำซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินอัตราร้อยละ 8 ของเงินต้นคงค้าง หรือไม่ต่ำกว่า 400 บาท หรือจำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินคงค้างในแต่ละเดือน แล้วแต่จำนวนใดที่สูงกว่า โดยชำระทุกวันที่ 27 ของเดือน ข้อตกลงในการชำระเงินกู้ของผู้กู้ดังกล่าว แสดงว่าผู้กู้จะเลือกชําระคืนเงินต้นเต็มจำนวนที่ใช้บัตรกดเงินสดเบิกเงินกู้ไปแต่ละเดือนพร้อมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม หรือผู้กู้จะเลือกชำระจำนวนเงินขั้นต่ำที่ผู้ให้กู้กำหนดไว้ไม่เกินอัตราร้อยละ 8 ของเงินต้นคงค้าง หรือไม่ต่ำกว่า 400 บาท หรือจำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินคงค้างในแต่ละเดือน แล้วแต่จำนวนใดที่สูงกว่าก็ได้ และสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนดังกล่าวไม่ได้กําหนดว่า กรณีผู้กู้เลือกผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนนั้น ผู้กู้ต้องผ่อนชำระเป็นเวลากี่งวด สัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนตามฟ้องจึงไม่มีลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ และไม่ใช่สิทธิเรียกร้องที่มีกําหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย แต่สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนตามฟ้องเช่นนี้ กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 และเนื่องจากอายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามบทบัญญัติมาตรา 193/12 ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่คู่ความแถลงรับกันว่าจำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556 เรียกให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที และตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียน ดังกล่าวข้างต้นระบุว่า หากผู้กู้ผิดนัดชำระงวดใดงวดหนึ่ง ผู้ให้กู้เรียกให้ผู้กู้ชำระหนี้ทั้งหมดได้ทันที โจทก์จึงอาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2556 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ไม่เกินกว่า 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ปัญหาต่อไปจึงมีว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์เพียงใด ซึ่งศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัย แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย เห็นว่า ตามคำฟ้องและบัญชีลูกหนี้แนบท้ายสำเนาหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง ปรากฏว่า วันที่ 15 ตุลาคม 2562 จำเลยค้างชำระหนี้เงินต้น 53,926.11 บาท กับดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมรวมเป็นเงิน 62,212 บาท ซึ่งจำเลยให้การรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำฟ้องและและบัญชีลูกหนี้แนบท้ายสำเนาหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้เป็นเงิน 62,212 บาท พร้อมดอกเบี้ยของเงินต้น 53,926.11 บาท ส่วนที่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยปกติที่ระบุในสัญญาสินเชื่อเงินสด/สินเชื่อหมุนเวียนตามฟ้อง น้อยกว่าที่โจทก์จะได้รับ จึงให้ตามขอ พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 62,212 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้น 53,926.11 บาท นับแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 23,491.10 บาท กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
|






