
| สรุปคดีเรียกจำเลยร่วม อายุความ 10 ปี, ป.ว.พ.ม.57(3) (ฎีกา 1460/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน หากตนเองต้องแพ้คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า ไม่ถือเป็นคำฟ้องตามมาตรา 1 (3) เพราะเป็นเพียงคำร้องให้บุคคลภายนอกเข้ามารับผิดร่วมกับจำเลยเท่านั้น อีกทั้งศาลยังวินิจฉัยว่า การใช้สิทธิไล่เบี้ยระหว่างลูกหนี้ร่วมผู้ขนส่งหลายทอดนั้น กฎหมายมิได้กำหนดอายุความเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 และคำร้องดังกล่าวไม่ขาดอายุความ ข้อเท็จจริง • โจทก์เป็นบริษัทจำกัด ดำเนินกิจการผลิต ส่งออก จำหน่ายผลไม้ และรับจ้างแปรรูปอาหาร รวมทั้งรับเก็บรักษาสินค้าในห้องเย็น • จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ดำเนินงานขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร • จำเลยร่วมที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ให้บริการขนส่ง และจำเลยร่วมที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำเลยร่วมที่ 1 • โจทก์สั่งซื้อเครื่องแช่เยือกแข็งจากบริษัทผู้ผลิตในสวีเดน จำเลยรับขนส่งสินค้าดังกล่าวให้โจทก์ • จำเลยว่าจ้างจำเลยร่วมที่ 1 ขนส่งสินค้าของโจทก์จากท่าเรือกรุงเทพฯ ไปส่งที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีจำเลยร่วมที่ 3 (บริษัทมหาชนจำกัด ประกันภัย) เป็นผู้รับประกันภัยการขนส่งของจำเลยร่วมที่ 1 • ระหว่างการขนส่ง วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 รถบรรทุกของจำเลยชนครูดกับสะพานทางด่วนบริเวณทางออกท่าเรือกรุงเทพฯ ทำให้เครื่องแช่เยือกแข็งได้รับความเสียหาย • โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมทั้งสามต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำ พ.961/2561 ให้รับผิดตามสัญญาขนส่ง ละเมิด และประกันภัย • ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป พร้อมหักเงินที่จำเลยร่วมที่ 3 วางชำระแทนผู้จำเลยในวันที่ 5 กันยายน 2562 • จำเลยอุทธรณ์ • ศาลอุทธรณ์แก้เป็นว่า ให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงินตามต้นพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้น แต่ยกฟ้องจำเลยร่วมที่ 3 และให้จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 พร้อมจำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ 🔹 1. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) (การเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ย) ศาลฎีกาใช้มาตรานี้เป็นหลักสำคัญในการชี้ว่า “คำร้องของจำเลย” ไม่ใช่ “คำฟ้อง” ใหม่ของโจทก์ จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนตามมาตรา 1 (3) ป.วิ.พ. สรุปสาระ: จำเลยมีสิทธิเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมรับผิด หากตนแพ้คดีได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำหรือคดีคู่ขนาน 🔹 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) (ความหมายของคำว่า “คำฟ้อง”) ศาลนำมาตรานี้มาเทียบเคียงกับ ม.57 (3) เพื่อชี้ว่า “คำร้อง” ≠ “คำฟ้อง” สรุปสาระ: คำร้องที่จำเลยยื่นเพื่อให้บุคคลภายนอกเข้ามารับผิดร่วม มิใช่การยื่นฟ้องคดีใหม่ จึงไม่ต้องพิจารณาว่าขาดอายุความหรือไม่ 🔹 3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618 (ความรับผิดร่วมของผู้ขนส่งหลายทอด) กำหนดว่าผู้ขนส่งหลายทอดต้องรับผิดร่วมกันในความเสียหายของสินค้าที่ส่งต่อ สรุปสาระ: ในคดีนี้ จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ต่างเป็นผู้ขนส่งหลายทอด จึงต้องร่วมรับผิดกับโจทก์ในความเสียหายของสินค้า 🔹 4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077 (2) ประกอบ มาตรา 1087 (ความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการ) หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องร่วมรับผิดกับห้างหุ้นส่วนในหนี้ที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ สรุปสาระ: จำเลยร่วมที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดกับจำเลยร่วมที่ 1 ตามบทบัญญัตินี้ แม้จะไม่ได้เป็นผู้ขนส่งโดยตรงก็ตาม 🔹 5. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 (อายุความทั่วไป 10 ปี) ใช้กำหนดอายุความสำหรับสิทธิไล่เบี้ยระหว่างลูกหนี้ร่วม เนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ สรุปสาระ: ศาลถือว่าการใช้สิทธิไล่เบี้ยของจำเลยไม่ขาดอายุความ เพราะอยู่ภายใต้อายุความทั่วไป 10 ปี ตาม ม.193/30 🔑 สรุปภาพรวม แก่นของคดี: • มุ่งวินิจฉัย “คำร้องเรียกบุคคลภายนอกเป็นจำเลยร่วม” ว่าไม่ใช่ฟ้องซ้อน (ม.57 (3) ป.วิ.พ.) • การไล่เบี้ยระหว่างผู้ขนส่งหลายทอดใช้ “อายุความ 10 ปี” (ม.193/30 ป.พ.พ.) • หุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิด (ม.1077 (2)/1087 ป.พ.พ.) • ผู้ขนส่งหลายทอดต้องรับผิดร่วม (ม.618 ป.พ.พ.) ➡ จึงถือเป็นคดีตัวอย่างสำคัญเกี่ยวกับ การใช้สิทธิไล่เบี้ยของลูกหนี้ร่วมในคดีขนส่งสินค้า และ การแยกความต่างระหว่างคำร้อง vs คำฟ้อง ซึ่งมีผลต่อแนวปฏิบัติในคดีแพ่งโดยตรง. คำวินิจฉัย ประเด็นที่ 1 : เป็น “ฟ้องซ้อน” หรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า คำร้องของจำเลยให้เรียกบุคคลภายนอก (จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2) เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือใช้ค่าทดแทน หากตนเองแพ้คดีตาม มาตรา 57 (3) ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น ไม่ใช่คำฟ้องตาม มาตรา 1 (3) เพราะเป็นเพียงคำร้องขอให้บุคคลภายนอกรับผิดร่วมกับจำเลยเท่านั้น จำเลยไม่ได้ขอให้บังคับให้จำเลยร่วมชำระหนี้แก่จำเลยแต่อย่างใด เห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลข ดำ พ.961/2561 ของศาลแพ่ง ดังนั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถูกต้องแล้ว และศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย. ประเด็นที่ 2 : คำร้องขาดอายุความหรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 ถือเป็นผู้ขนส่งหลายทอด ต้องรับผิดร่วมกันตาม มาตรา 618 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ส่วนจำเลยร่วมที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดกับจำเลยร่วมที่ 1 ตาม มาตรา 1077 (2) ประกอบ มาตรา 1087 แห่งป.พ.พ. การที่จำเลยใช้สิทธิไล่เบี้ยระหว่างลูกหนี้ร่วมซึ่งเป็นผู้ขนส่งหลายทอดนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความเฉพาะไว้ จึงใช้ระยะเวลา 10 ปี ตามป.พ.พ. มาตรา 193/30 ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำร้องไม่ขาดอายุความนั้นชอบแล้ว และศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย. ประเด็นที่ 3 : ดอกเบี้ยผิดนัด ศาลวินิจฉัยว่า เนื่องจากมี พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งยกเลิกมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งป.พ.พ. และใช้บทบัญญัติใหม่ จึงให้ใช้ดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยตามที่กระทรวงการคลังตราเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้วให้เปลี่ยนตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ขยายความประเด็นทางกฎหมาย ฟ้องซ้อน vs คำร้องเรียกบุคคลภายนอกเข้าร่วมคดี • “ฟ้องซ้อน” ตามความหมายคือ การที่โจทก์ฟ้องคู่ความคนเดิมหรือคู่ความเดิมเพิ่มเติมขึ้นอีกครั้งเพื่อให้มีคดีคู่ขนานหรือซ้ำกับคดีเดิม ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ถูกห้ามตามหลักกฎหมายกระบวนพิจารณา • ในคดีนี้ จำเลยไม่ได้ฟ้องใหม่ แต่เป็น “คำร้องให้บุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม” ตาม มาตรา 57 (3) แห่งป.วิ.พ. ซึ่งเป็นช่องทางให้คู่ความที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับผิดได้เมื่อฝ่ายจำเลยถูกฟ้องแล้ว • ศาลวินิจฉัยว่า การใช้ มาตรา 57 (3) ไม่ใช่ “คำฟ้อง” ตาม มาตรา 1 (3) ของป.วิ.พ. ทำให้ไม่ถือเป็นฟ้องซ้อน จึงไม่มีผลให้คำร้องดังกล่าวถูกห้ามหรือถูกยกด้วยเหตุฟ้องซ้อน อายุความในกรณีลูกหนี้ร่วมผู้ขนส่งหลายทอด • ตามป.พ.พ. มาตรา 618 ผู้ขนส่งต้องรับผิดร่วมกันในความเสียหายของสินค้าที่จะส่ง โดยไม่จำกัดทอด • ตาม มาตรา 1077 (2) รวมถึง มาตรา 1087 ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการร่วมกับหุ้นส่วนต้องรับผิดฝ่ายเดียวกับหุ้นส่วน • เมื่อเป็นการใช้สิทธิไล่เบี้ยระหว่างลูกหนี้ร่วม ซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดอายุความเฉพาะไว้ ศาลจึงใช้บทบัญญัติทั่วไป คือ ป.พ.พ. มาตรา 193/30 กำหนดอายุความ 10 ปี • ผลคือ คำร้องขอเรียกจำเลยร่วมที่ 1 และ 2 เข้ามาไม่ขาดอายุความ ดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมายใหม่ • ก่อน พ.ศ. 2564 อัตราดอกเบี้ยผิดนัดอาจเป็นร้อยละ 7.5 ต่อปีตามที่สัญญาหรือโจทก์ขอ • เมื่อมีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมป.พ.พ. พ.ศ. 2564 ยกเลิก ม.7 และ ม.224 แห่งป.พ.พ. และแก้ไขอัตราใหม่ให้ร้อยละ 5 ต่อปี หรือตามที่กระทรวงการคลังกำหนด เพิ่มร้อยละ 2 แต่ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี • ศาลจึงแบ่งช่วงการคิดดอกเบี้ยเป็น 2 ระยะ: ระยะก่อนใช้พระราชกำหนด (ถึง 10 เม.ย. 64) ใช้อัตราเดิม 7.5% และระยะหลังวันดังกล่าวใช้อัตราใหม่ 5% (หรือปรับตาม) สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • การเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม มาตรา 57 (3) ป.วิ.พ. ไม่ใช่การฟ้องซ้อน จึงไม่ติดข้อห้าม “ฟ้องซ้อน” • เมื่อลูกหนี้ร่วมเป็นผู้ขนส่งหลายทอด กฎหมายบังคับใช้บทบัญญัติทั่วไปเรื่องอายุความ คือ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. ม.193/30 • การคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดต้องพิจารณาวันที่พระราชกำหนดแก้ไขกฎหมายเริ่มใช้ เพื่อแบ่งช่วงอัตราให้ถูกต้องตามกฎหมาย • คู่ความและผู้ให้บริการขนส่งควรทราบถึงความรับผิดร่วมกันตามกฎหมาย และควรจัดสัญญาให้มีการระบุอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขโดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงกฎหมายล่วงหน้า IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue (ประเด็นข้อกฎหมาย): 1. คำร้องให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม มาตรา 57 (3) ป.วิ.พ. ถือเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่? 2. คำร้องดังกล่าวขาดอายุความหรือไม่? 3. อัตราดอกเบี้ยผิดนัดที่ควรใช้คืออัตราใด และมีผลย้อนหลังหรือไม่? Rule (กฎเกณฑ์กฎหมายที่เกี่ยวข้อง): • ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) กำหนดให้คู่ความซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องมีสิทธิเหนือบุคคลภายนอกร้องให้เข้าร่วมเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อไล่เบี้ยหรือรับค่าทดแทน • ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3) กำหนดความหมายคำฟ้องในคดีแพ่ง • ป.พ.พ. มาตรา 618 กำหนดความรับผิดร่วมของผู้ขนส่งหลายทอด • ป.พ.พ. มาตรา 1077 (2) ประกอบ มาตรา 1087 กำหนดความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการ • ป.พ.พ. มาตรา 193/30 กำหนดอายุความทั่วไป 10 ปี • พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมป.พ.พ. พ.ศ. 2564 (มาตรา 3 และ 4) ยกเลิก ม.7 และ ม.224 แห่งป.พ.พ. และแก้ไขอัตราดอกเบี้ยผิดนัด Application (การประยุกต์กฎหมายกับข้อเท็จจริง): • ประเด็นฟ้องซ้อน: ในคดีนี้ จำเลยยื่นคำร้องให้เรียกบุคคลภายนอก (จำเลยร่วมที่ 1 และ 2) มาเป็นจำเลยร่วม เพื่อให้รับผิดร่วมกับจำเลยเท่านั้น มิได้เป็นโจทก์ฟ้องใหม่จึงไม่อยู่ในข่ายฟ้องซ้อนตาม ม.1 (3) ของป.วิ.พ. ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเห็นพ้อง. • ประเด็นอายุความ: จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 เป็นผู้ขนส่งหลายทอด จึงอยู่ภายใต้ ม.618 ป.พ.พ. จำเลยร่วมที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจึงอยู่ภายใต้ ม.1077(2)/1087 การร้องเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นการใช้สิทธิในฐานะลูกหนี้ร่วม ซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดอายุความเฉพาะ จึงใช้ ม.193/30 เป็น 10 ปี ศาลจึงเห็นว่าคำร้องไม่ขาดอายุความ. • ประเด็นดอกเบี้ย: เนื่องจากพระราชกำหนดแก้ไขป.พ.พ. 2564 มีผลใช้ 11 เม.ย. 2564 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ยผิดนัดจึงต้องแบ่งช่วงเป็นก่อนและหลังวันดังกล่าว: ก่อนใช้พระราชกำหนดใช้อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และหลังใช้อัตราร้อยละ 5 ต่อปี (หรือปรับตามที่กระทรวงการคลังกำหนด) ศาลฎีกาจึงแก้คำพิพากษาให้เป็นไปตามนี้. Conclusion (บทสรุป): ศาลฎีกาเห็นว่า คำร้องให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ม.57 (3) ป.วิ.พ. ไม่ใช่ คำฟ้องตามมาตรา 1 (3) จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน คำร้องนั้นไม่ขาดอายุความเพราะอยู่ภายใต้บทบัญญัติอายุความทั่วไป 10 ปี ตามป.พ.พ. มาตรา 193/30 และอัตราดอกเบี้ยผิดนัดต้องแบ่งช่วงตามวันที่พระราชกำหนดแก้ไขกฎหมายใช้บังคับ ศาลจึงแก้คำพิพากษาให้จำเลย 1 และ 2 ร่วมชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยในอัตราที่เหมาะสมตามกฎหมาย. บทความฉบับเต็ม คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม เพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน หากตนเองต้องแพ้คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า ไม่ถือเป็นคำฟ้องตามมาตรา 1 (3) เพราะเป็นเพียงคำร้องให้บุคคลภายนอกเข้ามารับผิดร่วมกับจำเลยเท่านั้น อีกทั้งศาลยังวินิจฉัยว่า การใช้สิทธิไล่เบี้ยระหว่างลูกหนี้ร่วมผู้ขนส่งหลายทอดนั้น กฎหมายมิได้กำหนดอายุความเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 และคำร้องดังกล่าวไม่ขาดอายุความ ข้อเท็จจริง โจทก์เป็นบริษัทจำกัด ดำเนินกิจการผลิต ส่งออก จำหน่ายผลไม้ และรับจ้างแปรรูปอาหาร รวมถึงเก็บรักษาสินค้าในห้องเย็น จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ดำเนินงานขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร จำเลยร่วมที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ให้บริการขนส่ง และจำเลยร่วมที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำเลยร่วมที่ 1 โจทก์สั่งซื้อเครื่องแช่เยือกแข็งจากบริษัทผลิตที่สวีเดน จำเลยรับขนส่งสินค้าดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยว่าจ้างจำเลยร่วมที่ 1 ขนสินค้าของโจทก์จากท่าเรือกรุงเทพฯ ไปส่งที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยจำเลยร่วมที่ 3 เป็นบริษัทมหาชนจำกัด ประกันภัยการขนส่งของจำเลยร่วมที่ 1 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 รถบรรทุกชนครูดกับสะพานทางด่วนบริเวณทางออกท่าเรือกรุงเทพฯ ทำให้เครื่องแช่เยือกแข็งเสียหาย โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมทั้งสามต่อศาลแพ่งคดีหมายเลขดำ พ.961/2561 ให้รับผิดตามสัญญาขนส่ง ละเมิด และประกันภัย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี นับจาก 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป พร้อมหักเงินที่จำเลยร่วมที่ 3 วางชำระแทนในวันที่ 5 กันยายน 2562 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 และ 2 ร่วมกันรับผิดชำระ พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับจาก 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป ยกฟ้องจำเลยร่วมที่ 3 2. คำวินิจฉัย (ก) ประเด็นฟ้องซ้อน ศาลวินิจฉัยว่า คำร้องของจำเลยให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ม.57 (3) ป.วิ.พ. ไม่ใช่คำฟ้องตาม ม.1 (3) ป.วิ.พ. เพราะเป็นเพียงคำร้องให้บุคคลภายนอกเข้ารับผิดร่วม มิได้ฟ้องใหม่ จึงไม่ถือเป็นฟ้องซ้อน. ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย. (ข) ประเด็นอายุความ จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 เป็นผู้ขนส่งหลายทอดต้องรับผิดร่วมตาม ม.618 ป.พ.พ. จำเลยร่วมที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต้องรับผิดตาม ม.1077(2) และ 1087 ป.พ.พ. การร้องเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเป็นการใช้สิทธิไล่เบี้ยลูกหนี้ร่วม ซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดอายุความเฉพาะ จึงใช้ ม.193/30 ป.พ.พ. กำหนดอายุความ 10 ปี ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเห็นว่า คำร้องไม่ขาดอายุความ. (ค) ประเด็นดอกเบี้ยผิดนัด เนื่องจากพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมป.พ.พ. พ.ศ. 2564 ยกเลิก ม.7 และ ม.224 ป.พ.พ. และแก้ไขอัตราดอกเบี้ยผิดนัด ศาลจึงกำหนดว่า อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ใช้ตั้งแต่ 17 พฤศจิกายน 2560 ถึง 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี เริ่มจาก 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยโดยกระทรวงการคลังให้ปรับตามได้ บวกด้วยร้อยละ 2 แต่ไม่เกินร้อยละ 7.5 ตามที่โจทก์ขอ. 3. ขยายความประเด็นทางกฎหมาย • ประเด็นฟ้องซ้อน: ความแตกต่างระหว่าง “คำฟ้อง” กับ “คำร้องเข้าร่วมเป็นจำเลยร่วม” อยู่ที่ว่า คู่ความเป็นโจทก์ฟ้องใหม่หรือไม่ ในกรณีนี้เป็นคำร้องของจำเลยไม่ใช่คำฟ้อง • อายุความ: กรณีลูกหนี้ร่วมผู้ขนส่งหลายทอด มาตรา 193/30 ป.พ.พ. ให้ใช้ 10 ปี เมื่อไม่มีบทบัญญัติเฉพาะ • ดอกเบี้ยผิดนัด: ต้องพิจารณาวันที่กฎหมายแก้ไขใช้บังคับเพื่อแบ่งช่วงอัตราให้ถูกต้อง 4. สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • ช่องทางใช้ ม.57 (3) ป.วิ.พ. เป็นทางเลือกสำหรับคู่ความที่ถูกฟ้องให้เรียกบุคคลภายนอกมารับผิดร่วม • ผู้ขนส่งหลายทอดและหุ้นส่วนผู้จัดการควรทราบความรับผิดร่วมตาม ม.618, ม.1077(2)/1087 ป.พ.พ. • เมื่อกฎหมายเปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยผิดนัดต้องแบ่งช่วงก่อน-หลังวันที่ใช้บังคับ • ในการร่างสัญญาขนส่งควรมีการระบุเงื่อนไขเรื่องอายุความและอัตราดอกเบี้ยอย่างชัดเจน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2567 คำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน หากตนเองต้องแพ้คดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) นั้น ไม่ใช่คำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3) เพราะเป็นแต่คำร้องให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยและให้เข้าร่วมรับผิดกับจำเลยต่อโจทก์ด้วยเท่านั้น จำเลยไม่ได้ขอบังคับให้จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้แก่จำเลยแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำร้องให้เรียกจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เข้ามาในคดี ไม่เป็นฟ้องซ้อนนั้นชอบแล้ว จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 เป็นผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดต้องรับผิดร่วมกันในความเสียหายของสินค้าที่ส่งต่อโจทก์ซี่งเป็นผู้ส่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 618 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดกับจำเลยร่วมที่ 1 ด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1077 (2) ประกอบมาตรา 1087 คำร้องขอให้เรียกจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เข้ามาในคดีเป็นการใช้สิทธิของจำเลยเพื่อไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 มิใช่เป็นคำฟ้องของโจทก์จึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ การใช้สิทธิไล่เบี้ยระหว่างลูกหนี้ร่วม ซึ่งเป็นผู้ขนส่งหลายทอดด้วยกันนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำร้องของจำเลยที่ให้เรียกจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ขาดอายุความนั้นชอบแล้ว โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 16,375,723 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 15,981,655 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ท. นางสาวธัญยาลักษณ์ และบริษัท ว. เข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต โดยเรียกว่าจำเลยร่วมที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ จำเลยร่วมทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 15,981,655 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ ต้องนำเงินที่จำเลยที่ 3 วางเงินชำระให้แก่โจทก์ในนามของจำเลยในวันที่ 5 กันยายน 2562 หักออก โดยให้หักชำระดอกเบี้ยก่อน ส่วนที่เหลือให้หักชำระต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยตามอัตราข้างต้นจากต้นเงินที่ค้างชำระในวันที่ 6 กันยายน 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความให้ 100,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงิน 15,981,655 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้นำเงินที่จำเลยร่วมที่ 3 วางชำระให้แก่โจทก์ในนามของจำเลยเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2562 หักออก โดยให้หักชำระดอกเบี้ยก่อน ส่วนที่เหลือให้หักชำระต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยตามอัตราข้างต้นจากต้นเงินที่ค้างชำระในวันที่ 6 กันยายน 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมที่ 3 ให้จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับจำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมที่ 3 และค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการผลิต ส่งออก จำหน่ายผลไม้ การรับจ้างแปรรูปอาหาร รับทำการเก็บรักษาสินค้าในห้องเย็น จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ทั้งในและนอกราชอาณาจักร จำเลยร่วมที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ประกอบกิจการให้บริการขนส่ง มีจำเลยร่วมที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยร่วมที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบธุรกิจประกันภัย โจทก์สั่งซื้อเครื่องแช่เยือกแข็งจากบริษัทผู้ผลิตที่ราชอาณาจักรสวีเดน จำเลยรับขนส่งสินค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยว่าจ้างจำเลยร่วมที่ 1 ขนสินค้าของโจทก์ดังกล่าวจากท่าเรือกรุงเทพเพื่อนำส่งให้โจทก์ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีจำเลยร่วมที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยการขนส่งของจำเลยร่วมที่ 1 ระหว่างที่มีการขนส่งปรากฏว่ารถบรรทุก ได้ชนครูดกับสะพานทางด่วนบริเวณทางออกท่าเรือกรุงเทพ ทำให้เครื่องแช่เยือกแข็งได้รับความเสียหาย เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยร่วมทั้งสามต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ พ.961/2561 ให้รับผิดตามสัญญาขนส่ง ละเมิด ประกันภัย คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมที่ 3 โจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมที่ 3 ไม่ได้โต้แย้งในปัญหานี้ในชั้นฎีกา คดีระหว่างโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมที่ 3 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ข้อแรกว่า คำร้องของจำเลยที่ให้เรียกจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ พ.961/2561 ของศาลแพ่งหรือไม่ เห็นว่า คำร้องให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน หากตนเองต้องแพ้คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) นั้น ไม่ใช่คำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) เพราะเป็นแต่คำร้องให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยและให้เข้าร่วมรับผิดกับจำเลยต่อโจทก์ด้วยเท่านั้น จำเลยไม่ได้ขอให้บังคับจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้แก่จำเลยแต่อย่างใด ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6792/2548 ที่จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 นำมาอ้างนั้นเป็นเรื่องบุคคลภายนอกร้องสอดขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในฐานะจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำร้องให้เรียกจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เข้ามาในคดีไม่เป็นฟ้องซ้อนนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ข้อต่อไปมีว่า คำร้องของจำเลยที่ให้เรียกจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 เป็นผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดต้องรับผิดร่วมกันในความเสียหายของสินค้าที่ส่งต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618 ส่วนจำเลยร่วมที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดกับจำเลยร่วมที่ 1 ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077 (2) ประกอบมาตรา 1087 คำร้องขอให้เรียกจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เข้ามาในคดีเป็นการใช้สิทธิของจำเลยเพื่อไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 มิใช่เป็นคำฟ้องของโจทก์ จึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เมื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยระหว่างลูกหนี้ร่วมซึ่งเป็นขนส่งหลายคนหลายทอดด้วยกันนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำร้องของจำเลยที่ให้เรียกจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ขาดอายุความนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงิน 15,981,655 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้น เนื่องจากได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยในมาตรา 3 และมาตรา 4 ให้ยกเลิกความเดิมในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามลำดับ และให้ใช้ความใหม่แทนเป็นผลให้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ตามที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มเติมร้อยละ 2 ต่อปี แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ และมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวให้นำบทบัญญัติมาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ใช้แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดใช้บังคับในวันที่ 11 เมษายน 2564 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ไปจนกว่าจำเลย จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลย จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงิน 15,981,655 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใดก็ให้เปลี่ยนไปตามนั้น บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ โดยให้นำเงินที่จำเลยร่วมที่ 3 วางชำระให้แก่โจทก์ในนามของจำเลยเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2562 หักออก โดยให้หักชำระดอกเบี้ยก่อน ส่วนที่เหลือให้หักชำระต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยตามอัตราข้างต้นจากต้นเงินที่ค้างชำระในวันที่ 6 กันยายน 2562 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีการะหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ให้เป็นพับ แนวคำถาม - ธงคำตอบ 🔹 ข้อ 1 : ประเด็นเรื่อง “คำร้องเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม” เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ (มาตรา 57(3) ป.วิ.พ.) โจทย์: บริษัท ก. จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้า ได้ว่าจ้างบริษัท ข. จำกัด ให้ขนส่งเครื่องจักรจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างทางรถขนส่งเกิดอุบัติเหตุทำให้เครื่องจักรเสียหาย บริษัท ก. จึงฟ้องบริษัท ข. เรียกค่าเสียหาย ต่อมาระหว่างพิจารณา บริษัท ข. ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. และนาย ง. หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนดังกล่าว เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดี โดยอ้างว่าบริษัท ข. ได้ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. เป็นผู้ขนส่งต่ออีกทอดหนึ่ง หากศาลพิพากษาให้บริษัท ข. แพ้คดี ก็ขอให้จำเลยร่วมทั้งสองร่วมรับผิดด้วย ฝ่ายจำเลยร่วมยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องของบริษัท ข. มีลักษณะเป็นฟ้องซ้ำ เนื่องจากระหว่างบริษัท ก. และบริษัท ข. เคยมีคดีอยู่ก่อนแล้วในศาลแพ่งเกี่ยวกับความเสียหายเดียวกัน อีกทั้งบริษัท ข. มิได้มีสิทธิร้องเรียกบุคคลภายนอกให้เข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ เพราะถือเป็นการยื่นฟ้องใหม่อันขัดต่อหลักห้ามฟ้องซ้อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) คำถาม: การที่บริษัท ข. ยื่นคำร้องขอให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. และนาย ง. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดี ถือเป็น “ฟ้องซ้อน” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) หรือไม่ เหตุใด ธงคำตอบ: ไม่ถือเป็น “ฟ้องซ้อน” เหตุผล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) มิใช่ “คำฟ้อง” ตามความหมายใน มาตรา 1 (3) เพราะเป็นเพียงคำร้องของจำเลยที่ต้องการให้บุคคลภายนอกเข้ามาร่วมรับผิดกับตนในคดีเดียวกัน เพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อรับค่าทดแทน หากจำเลยต้องแพ้คดี มิได้มีลักษณะเป็นการฟ้องใหม่หรือเป็นการดำเนินคดีซ้ำต่อข้อเท็จจริงเดียวกัน ดังนั้น การยื่นคำร้องเช่นนี้ไม่เป็น “ฟ้องซ้อน” และไม่ต้องพิจารณาตามหลักห้ามฟ้องซ้ำตามมาตรา 1 (3) ทั้งนี้ ศาลฎีกาได้ยืนยันหลักการว่า “คำร้องเรียกจำเลยร่วม” เป็นเพียงเครื่องมือให้จำเลยใช้สิทธิภายในกระบวนพิจารณาเดิม เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ไม่ใช่การเริ่มคดีใหม่ อ้างบทกฎหมายสำคัญ: • ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3): คู่ความฝ่ายใดอาจยื่นคำร้องให้บุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความได้ เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือใช้ค่าทดแทน • ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3): คำว่า “คำฟ้อง” หมายถึงคำขอซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งยื่นต่อศาลเพื่อขอให้ศาลพิพากษาในสิทธิโดยตรงของตน แนวคิดทางกฎหมาย: หลักนี้สะท้อนความแตกต่างระหว่าง “ฟ้องซ้ำ” (เป็นการเริ่มคดีใหม่ซ้ำกับคดีเดิม) กับ “คำร้องเข้าร่วมคดี” (เป็นการขยายผลของคดีเดิมเพื่อให้คู่ความเพิ่มขึ้นโดยไม่ซ้ำซ้อน) ซึ่งมีนัยสำคัญในการใช้สิทธิของคู่ความและการป้องกันการดำเนินคดีที่ซ้ำซ้อนในระบบยุติธรรม 🔹 ข้อ 2 : ประเด็นเรื่อง “อายุความในการใช้สิทธิไล่เบี้ยของลูกหนี้ร่วม” (มาตรา 618 และ มาตรา 193/30 ป.พ.พ.) โจทย์: จากข้อเท็จจริงเดียวกันกับข้อ 1 สมมติว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้บริษัท ข. ร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. และนาย ง. รับผิดในความเสียหายแก่เครื่องจักร ต่อมา นาย ง. หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. ยื่นฎีกาอ้างว่า คำร้องของบริษัท ข. ที่ให้เรียกตนเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนั้น “ขาดอายุความ” เนื่องจากเกิดเหตุความเสียหายมากว่าสามปีแล้วก่อนยื่นคำร้อง อีกทั้งการใช้สิทธิไล่เบี้ยของจำเลยร่วมไม่ได้อยู่ภายใต้อายุความทั่วไป 10 ปี คำถาม: การที่บริษัท ข. ยื่นคำร้องขอเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดี เพื่อใช้สิทธิไล่เบี้ยตามมาตรา 57 (3) ป.วิ.พ. นั้น หากกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จะต้องใช้อายุความเท่าใด และเริ่มนับอย่างไร ธงคำตอบ: ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 เหตุผล: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในกรณีที่ลูกหนี้ร่วมหลายรายเป็น “ผู้ขนส่งหลายทอด” ซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในความเสียหายของสินค้าที่ส่งต่อกันตาม มาตรา 618 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และลูกหนี้รายหนึ่งใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ร่วมรายอื่น กฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป 10 ปี ตาม มาตรา 193/30 การใช้สิทธิไล่เบี้ยในที่นี้ไม่ใช่สิทธิของโจทก์ที่เกิดจากสัญญาขนส่งโดยตรง แต่เป็นสิทธิของจำเลยในฐานะลูกหนี้ร่วมที่ต้องรับผิดตามคำพิพากษาแล้วไปเรียกคืนจากลูกหนี้ร่วมรายอื่น จึงเริ่มนับอายุความนับแต่วันที่จำเลยได้ชำระหนี้แทน หรือวันที่สิทธิไล่เบี้ยเกิดขึ้น อ้างบทกฎหมายสำคัญ: • ป.พ.พ. มาตรา 618: ผู้ขนส่งหลายทอดต้องรับผิดร่วมกันในความเสียหาย สูญหาย หรือส่งชักช้า • ป.พ.พ. มาตรา 193/30: “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดสิบปี” แนวคิดทางกฎหมาย: หลักการนี้สะท้อนแนววินิจฉัยที่ศาลฎีกามักใช้ในคดีเกี่ยวกับ “สิทธิไล่เบี้ยของลูกหนี้ร่วม” ซึ่งถือเป็นสิทธิใหม่ที่เกิดภายหลังจากการชำระหนี้แทนผู้อื่น และหากไม่มีบทบัญญัติเฉพาะเรื่องอายุความ ให้ใช้อายุความทั่วไป 10 ปี เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ชำระหนี้แทนผู้อื่นไม่ให้เสียเปรียบเกินสมควร 🔰 สรุปรวมแนวคิดสำคัญจากทั้งสองข้อ 1. มาตรา 57(3) ป.วิ.พ. เป็นกลไกให้จำเลยเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้โดยไม่ถือเป็นฟ้องซ้อน 2. มาตรา 193/30 ป.พ.พ. เป็นหลักทั่วไปใช้กำหนดอายุความ 10 ปี หากกฎหมายมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ 3. คดีนี้ตอกย้ำหลักการเรื่อง “สิทธิไล่เบี้ยของลูกหนี้ร่วม” ซึ่งเป็นสิทธิตามกฎหมายอิสระจากสิทธิเรียกร้องของโจทก์ 4. ศาลใช้แนวทางการตีความเพื่อความยุติธรรมและการคุ้มครองคู่ความทั้งสองฝ่ายอย่างสมดุล โดยเน้นให้กระบวนพิจารณาไม่ซ้ำซ้อนและไม่จำกัดสิทธิทางแพ่งโดยไม่มีกฎหมายกำหนด คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1) ฎีกาที่ 6792/2548 — “ร้องสอด” กับความหมาย “คำฟ้อง” (ป.วิ.พ. ม.57 วรรคแรก, ม.1(3)) ประเด็น: โจทก์ยื่นคดีอยู่ก่อน ต่อมาบุคคลภายนอกยื่น “ร้องสอด” ขอเข้ามาเป็นจำเลยตาม ป.วิ.พ. ม.57(1) โดยอ้างว่าผลแห่งคดีจะกระทบสิทธิของตน คู่ความฝ่ายตรงข้ามคัดค้านว่าเป็น “ฟ้องซ้อน” เพราะทำให้เกิดคดีซ้ำซ้อนต่อเรื่องเดียวกัน แก่นกฎหมาย: ศาลฎีกาชี้ว่า “ร้องสอด” เป็นเพียงกลไกให้บุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความ เพื่อคุ้มครองสิทธิของตน มิใช่ “คำฟ้อง” ตามนิยาม ม.1(3) จึงไม่ใช่การเริ่มคดีใหม่และไม่เป็นฟ้องซ้อน หลักคิดนี้สอดรับโดยตรงกับฎีกา 1460/2567 ที่วินิจฉัย คำร้องเรียกบุคคลภายนอกเป็นจำเลยร่วมตาม ม.57(3) ว่าไม่ใช่ “คำฟ้อง” เช่นกัน ต่างกันที่ 6792/2548 เป็น “ร้องสอดโดยบุคคลภายนอก” ส่วน 1460/2567 เป็น “จำเลยยื่นคำร้องเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมรับผิด” แต่ข้อสรุปเชิงนิติวิธีเหมือนกันคือ ไม่เป็นฟ้องซ้อน และเป็นเครื่องมือจัดองค์คดีให้ครบถ้วนในคดีเดิม 2) ฎีกาที่ 9541/2555 — “ผู้ขนส่งหลายทอด” และความรับผิดร่วม (ป.พ.พ. ม.608, 616, 618) + หุ้นส่วนผู้จัดการร่วมรับผิด ประเด็น: ผู้ขายติดต่อจำเลยที่ 1 ให้ขนส่ง ต่อมามีการ ว่าจ้างต่อหลายทอด (1 → 2 → 4) สินค้าสูญหาย/เสียหาย โจทก์ฟ้องผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึง หุ้นส่วนผู้จัดการ ของห้างจำเลยที่ 2 ด้วย แก่นกฎหมาย: ศาลรับฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็น “ผู้ขนส่ง” เพราะรับส่วนต่างค่าขนส่งเป็นบำเหน็จทางการค้า (เข้าข่าย ม.608) เมื่อมีการมอบหมายให้ผู้ขนส่งอื่นทำต่อหลายทอด จึงเป็นกรณี ผู้ขนส่งหลายทอด ต้อง รับผิดร่วม ตาม ม.616 และม.618 และ หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างด้วย (โยงหลัก ม.1077(2), 1087 เช่นเดียวกับแนว 1460/2567) คดีนี้เลยเป็นหมุดหมายสำคัญเรื่อง “เครือข่ายผู้ขนส่ง–ความรับผิดร่วม–หุ้นส่วนผู้จัดการ” ซึ่งใช้เทียบกับ 1460/2567 ได้ชัด ทั้งในมิติข้อเท็จจริง (ขนส่งหลายทอด) และข้อกฎหมาย (โครงสร้างความรับผิดร่วม) 3) ฎีกาที่ 713/2532 — เกณฑ์ “เป็นผู้ขนส่งหลายทอดจริงหรือไม่” (คัดกรองการใช้ ม.618) ประเด็น: บริษัทจำเลยถูกกล่าวอ้างว่าเป็น “ผู้ขนส่ง” ร่วมและต้องรับผิดตาม ม.618 แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าการขนส่ง กระทำโดยเรืออีกบริษัทเพียงทอดเดียว (จากสิงคโปร์เข้าไทย) ไม่มีการส่งต่อหลายทอด แก่นกฎหมาย: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยไม่ได้ “เข้าร่วมทำการขนส่ง” หรือไม่ได้อยู่ในวงจรการมอบหมายขนส่งหลายทอดจริง จึง ไม่เข้าเงื่อนไขผู้ขนส่งหลายทอดตาม ม.618 ไม่ต้องรับผิดร่วม เหตุผลนี้เป็น “ด้านกลับ” ของ 1460/2567 และ 9541/2555: ก่อนจะไปถึงความรับผิดร่วมของผู้ขนส่งหลายทอด ต้องผ่านด่านพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อนว่า มีหลายทอดจริงหรือไม่ ใครอยู่ในห่วงโซ่ขนส่ง และมีการมอบหมายต่อหรือรับช่วงต่อในทางพาณิชย์อย่างไร คำพิพากษานี้จึงเหมาะสำหรับใช้เทียบเคียงเกณฑ์ “เข้า–ไม่เข้า” มาตรา 618 อย่างเป็นระบบในบทความ 4) ฎีกาที่ 735/2561 — ความรับผิด “หุ้นส่วนผู้จัดการ” ของห้างหุ้นส่วนจำกัด (ป.พ.พ. ม.1077(2), 1087) ประเด็น: โจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดพร้อม หุ้นส่วนผู้จัดการ โดยข้อเท็จจริงมีการเปลี่ยนตัวหุ้นส่วนผู้จัดการในช่วงเวลาต่างกัน และมีหนี้ที่เกิดก่อน/ระหว่าง/หลังช่วงเปลี่ยน ผ่านสัญญาประนีประนอมยอมความและการผิดนัด แก่นกฎหมาย: ศาลฎีกายืนยันหลักว่า หุ้นส่วนผู้จัดการเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างภายใต้กรอบ ม.1077(2) ประกอบ ม.1087 แม้บางส่วนของหนี้จะเกิดก่อนหรือหลังช่วงดำรงตำแหน่ง ก็ยังต้องดูเงื่อนไขตามบทบัญญัติประมวลฯ ที่กำหนดความรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการกับหนี้ของห้าง (เทียบบททั่วไป ม.1052, 1068 ในบางกรณี) แนวนี้สอดรับกับ 1460/2567 ที่ให้ จำเลยร่วมที่ 2 (หุ้นส่วนผู้จัดการ) ร่วมรับผิดกับห้างผู้ขนส่ง ย้ำว่าเมื่อพิสูจน์ฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการในวันฟ้อง/ช่วงที่เกี่ยวข้องได้ ความรับผิดต่อหนี้ของห้างจะ กว้างและชัด ตามตัวบท 5) ฎีกาที่ 4539/2553 — อายุความทั่วไป 10 ปี (ป.พ.พ. ม.193/30) ใช้อย่างไรเมื่อไม่มีกำหนดเฉพาะ ประเด็น: คู่ความโต้เถียงเรื่องอายุความ โดยฝ่ายหนึ่งยกว่าคำร้อง/สิทธิเรียกร้อง ขาดอายุความ เพราะนานหลายปี ศาลต้องพิจารณาว่ามี “บทเฉพาะ” กำหนดอายุความไว้หรือไม่ แก่นกฎหมาย: ศาลยืนยันหลัก ม.193/30 ว่า “ถ้าประมวลฯ หรือกฎหมายอื่นไม่ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะ ให้ใช้อายุความ 10 ปี” แนวนี้นำไปใช้ใน 1460/2567 โดยตรงในบริบท สิทธิไล่เบี้ยระหว่างลูกหนี้ร่วม (ผู้ขนส่งหลายทอด) ซึ่งกฎหมาย ไม่ได้กำหนดอายุความเฉพาะ จึงต้องถอยไปใช้บททั่วไป 10 ปี ข้อคิดสำคัญคือ ให้ตรวจหาบทเฉพาะก่อนเสมอ หากไม่พบ จึงกลับสู่ ม.193/30 เป็นค่าเริ่มต้นทางนิติกรรมเวลา |



.jpg)

.jpg)