
คำพิพากษาศาลฎีกา 1174/2568 เกี่ยวกับหนี้สินเชื่อ อายุความ 2 ปี หรือ 5 ปี วิเคราะห์ครบถ้วน คำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับหนี้สินเชื่อ “อายุความ 2 ปี หรือ 5 ปี” วิเคราะห์ครบถ้วน คำพิพากษาศาลฎีกา 1174/2568 นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพิจารณาคดีฟ้องบังคับชำระหนี้สินเชื่อ แม้อยู่ในลักษณะใช้บัตรเครดิต จำเลยเข้าใจผิดคิดว่าอายุความเพียง 2 ปี แต่ศาลเห็นว่าเป็นหนี้กู้ยืมผ่อนชำระ อายความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33(2) และโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์การชำระเงินครั้งสุดท้ายในปี 2560 ได้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ยกฟ้องให้จำเลยและยืนยันให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามชั้นเป็นพับ 1. ข้อมูลพื้นฐานของคดี •จำเลยสมัครสินเชื่อเงินสดกับบริษัท จ. เมื่อ 15 ก.พ. 2549 และใช้บัตรสมาชิกซื้อสินค้า •ต่อมา ในปี 2555 ได้ยื่นขอสินเชื่อเงินสดวงเงิน 40,000 บาท •โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจากบริษัท จ. โดยเริ่มต้นฟ้องในวันที่ 11 มี.ค. 2564 ขอชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปี 2. สรุปข้อเท็จจริง •จำเลยชำระหนี้เข้ามาตั้งแต่ พ.ค. 2557 – ก.ย. 2558 จนครบลดเหลือ 27,325.32 บาท •หยุดชำระตั้งแต่ ธ.ค. 2558 •ล่าสุดโจทก์อ้างว่าจำเลยชำระ 1,000 บาท เมื่อ 31 พ.ค. 2560 แต่หลักฐานไม่ชัด •โจทก์ฟ้องหลังจากผ่านกว่า 5 ปี นับจากการผิดนัดครั้งสุดท้าย 3. ประเด็นอำนาจฟ้องของโจทก์ •จำเลยโต้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีเอกสารโอนครบถ้วน •ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 ไม่จำเป็นต้องมีลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับ เพียงทำหนังสือและบอกกล่าวลูกหนี้ก็สมบูรณ์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง 4. ประเด็นอายุความ: 2 ปี หรือ 5 ปี •จำเลยโต้ว่าเป็นหนี้บัตรเครดิต อายุความ 2 ปี •ศาลวิเคราะห์ว่าในกรณีนี้เป็นหนี้สินเชื่อกู้ยืมแบบผ่อนชำระ งวดเดือนละ จึงมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33(2) 5. ข้อกฎหมายที่ศาลนำวินิจฉัย •ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2): อายุความหนี้เชื่อในลักษณะชำระเป็นงวด •มาตรา 306: แนวทางโอนสิทธิเรียกร้อง •พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง: ศาลควรให้จำเลยแก้ไขคำให้การหากขาดความชัดเจน 6. คำวินิจฉัยของศาลฎีกา •ศาลไม่เห็นพ้องกับข้ออุทธรณ์ของศาลอุทธรณ์ •เห็นว่าโจทก์พิสูจน์การชำระเงินครั้งสุดท้ายไม่ได้อย่างชอบธรรม •เนื่องจากผ่านอายุความเกินกว่า 5 ปี นับจากการผิดนัดล่าสุด (ธ.ค. 2558 ถึง มี.ค. 2564) •ดังนั้นศาลฎีกาจึงพิพากษา ยกฟ้อง และให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามชั้นเป็นพับ 7. วิเคราะห์เชิงลึก •จุดเปลี่ยนสำคัญ คือการตีความว่า “สมัครด้วยบัตรเครดิต” ไม่ได้หมายถึงหนี้บัตรเครดิตเสมอไป แต่ต้องพิจารณารูปแบบการชำระและข้อตกลง •การพิสูจน์การชำระเงินครั้งสุดท้ายเป็นภาระของโจทก์ หากหลักฐานไม่ชัดเจน จะทำให้คดีขาดอายุความ •ศาลสามารถใช้ มาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค เพื่อให้จำเลยแก้ไขคำให้การ หากคำให้การคลุมเครือ 📌 แนวปฏิบัติทางรูปคดี •ฝ่ายโจทก์ควรจัดทำบันทึกหรือหลักฐานการชำระเงินให้ชัดเจนทุกครั้ง โดยเฉพาะการชำระครั้งสุดท้าย •หากจำเลยอ้างคำให้การไม่ชัด ให้ศาลสั่งให้จำเลยแก้ไขตามมาตรา 26 •การฟ้องคดีควรตรวจสอบลักษณะหนี้ก่อนว่าเข้าข่ายอายุความใดตาม ป.พ.พ. •เอกสารโอนสิทธิเรียกร้องควรแจ้งลูกหนี้เป็นลายลักษณ์อักษร แม้ไม่ต้องมีลายมือชื่อผู้รับโอน 8. สรุปข้อคิดทางกฎหมาย •หนี้ในลักษณะชำระเป็นงวดมีอายุความ 5 ปี (ไม่ใช่หนี้บัตรเครดิต 2 ปี) •ศาลมีหน้าที่ปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง แม้จำเลยไม่ได้โต้ว่าเป็นหนี้ 5 ปี •โจทก์ต้องมีหลักฐานการชำระเงินครบถ้วนเพื่อพิสูจน์ช่วงเวลาการผิดนัด •การโอนสิทธิเรียกร้องสามารถทำได้ด้วยหนังสืออย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องมีลายมือชื่อผู้รับโอน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2568 ตามใบคำขอรับสินเชื่อจำเลยระบุว่าสมัครด้วยบัตรเครดิต ไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงรับสินเชื่อซื้อสินค้าและรับสินเชื่อเป็นเงินสด ตามคำฟ้องเป็นการใช้บัตรเครดิตชำระราคาสินค้าและเบิกถอนเงินสด แม้จำเลยสามารถเบิกถอนเงินสินเชื่อที่ได้รับโดยใช้บัตรที่บริษัท จ. ออกให้จำเลย แต่สิทธิเรียกร้องในหนี้ตามฟ้องไม่ได้เกิดจากจำเลยใช้บัตรเครดิตของจำเลยซื้อสินค้าและเบิกถอนเงินสดแล้วบริษัทออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนซึ่งมีอายุความ 2 ปี ตามที่จำเลยอ้าง ทั้งการที่จำเลยสมัครขอรับสินเชื่อเงินสดตามคำฟ้องเป็นกรณีที่จำเลยกู้ยืมเงินจากบริษัท จ. โดยมีข้อตกลงให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนแก่บริษัทเป็นงวดรายเดือน เดือนละ 2,748 บาท มีกำหนด 24 เดือน จึงเป็นการชำระเงินผ่อนคืนทุนเป็นงวด ๆ ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) เมื่อจำเลยให้การแล้วว่าหนี้ตามฟ้องขาดอายุความเมื่อใด โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเมื่อใด นับแต่วันใดถึงวันฟ้องขาดอายุความไปแล้ว คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ แม้จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้บัตรเครดิตตามความเข้าใจของจำเลยมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. 193/33 (2) ก็ตาม แต่เป็นหน้าที่ศาลที่จะปรับบทกฎหมายว่ากรณีต้องด้วยบทกฎหมายมาตราใด ประกอบกับ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลตรวจสอบคำให้การของจำเลย หากศาลเห็นว่าคำให้การไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้ คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า หนี้สินเชื่อกู้ยืมตามฟ้องขาดอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (2) หรือไม่
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 52,269.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 27,325.32 บาท นับถัดจากวันที่ 11 มีนาคม 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 36,760.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 27,325.32 บาท นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 มีนาคม 2564) ต้องไม่เกิน 15,508.63 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยสมัครขอรับสินเชื่อจากบริษัท จ. ซึ่งตกลงรับจำเลยเป็นสมาชิกโดยออกบัตรสมาชิกหมายเลข 1133 0505 5811 xxxx ให้แก่จำเลย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 จำเลยนำบัตรสมาชิกดังกล่าวไปใช้ซื้อสินค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่จากบริษัท จ. ในวงเงิน 12,290 บาท และวันที่ 9 เมษายน 2555 จำเลยสมัครขอรับสินเชื่อเงินสด ระบุจำนวนเงิน 40,000 บาท ส่วนเงื่อนไขการรับเงินในช่องที่ระบุว่าธนาคารที่ต้องการให้โอนเงินเข้าบัญชี ไม่ได้ระบุว่าธนาคารใด ระบุเพียงสาขาห้วยยอด ประเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 327226xxxx โดยมีสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ธ. สาขาห้วยยอด ชื่อบัญชีจำเลย เลขที่บัญชี 327-2-26xxx-x แนบประกอบ ซึ่งตรงกับเลขที่บัญชีและสาขาที่ระบุในใบสมัครขอสินเชื่อเงินสดดังกล่าว และจำเลยยังลงลายมือชื่อในใบสมัครขอสินเชื่อเงินสดพร้อมกับแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยและสำเนาบัตรระบุหมายเลขสมาชิกของจำเลย โจทก์รับโอนสินเชื่อของจำเลยจากบริษัท จ.
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 วรรคหนึ่ง บัญญัติเพียงว่า ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือจะไม่สมบูรณ์ และการโอนนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้ยินยอมด้วยในการโอนโดยทำคำบอกกล่าวหรือความยินยอมเป็นหนังสือ ไม่ได้บัญญัติว่าการโอนนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้โอนกับผู้รับโอน ดังนั้น เมื่อบริษัท จ. โอนสิทธิเรียกร้องสินเชื่อให้แก่โจทก์ โดยทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนฝ่ายเดียวก็สมบูรณ์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการที่สองว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามใบคำขอรับสินเชื่อจำเลยระบุในใบคำขอดังกล่าวว่าสมัครด้วยบัตรเครดิต ไม่ปรากฏว่าจำเลยตกลงรับสินเชื่อซื้อสินค้าและรับสินเชื่อเป็นเงินสดตามคำฟ้องเป็นการใช้บัตรเครดิตชำระราคาสินค้าและเบิกถอนเงินสด แม้จำเลยสามารถเบิกถอนเงินสินเชื่อที่ได้รับโดยใช้บัตรที่บริษัท จ. ออกให้จำเลย แต่สิทธิเรียกร้องในหนี้ตามฟ้องไม่ได้เกิดจากจำเลยใช้บัตรเครดิตของจำเลยซื้อสินค้าและเบิกถอนเงินสดแล้วบริษัท จ. ออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนซึ่งมีอายุความ 2 ปี ตามที่จำเลยอ้าง ทั้งการที่จำเลยสมัครขอรับสินเชื่อเงินสดตามคำฟ้องเป็นกรณีที่จำเลยกู้ยืมเงินจากบริษัท จ. โดยมีข้อตกลงให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนแก่บริษัทดังกล่าวเป็นงวดรายเดือน เดือนละ 2,748 บาท มีกำหนด 24 เดือน จึงเป็นการชำระเงินผ่อนคืนทุนเป็นงวด ๆ ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) เมื่อจำเลยให้การแล้วว่า หนี้ตามฟ้องขาดอายุความเมื่อใด โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเมื่อใด นับแต่วันใดถึงวันฟ้องขาดอายุความไปแล้ว คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ แม้จำเลยให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้บัตรเครดิตตามความเข้าใจของจำเลยมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) ก็ตาม แต่เป็นหน้าที่ศาลที่จะปรับบทกฎหมายว่ากรณีต้องด้วยบทกฎหมายมาตราใด ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลตรวจคำให้การของจำเลย หากศาลเห็นว่าคำให้การไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้ คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า หนี้สินเชื่อกู้ยืมเงินตามฟ้องขาดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์นำสืบว่า จำเลยชำระหนี้มาโดยตลอดนับแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 11 กันยายน 2558 โดยยอดหนี้ลดลงมาตลอดจากต้นเงิน 50,000 บาท ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2558 เหลือ 27,325.32 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าว ต่อมาจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้ายวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 จำนวน 1,000 บาท เมื่อนำไปหักชำระหนี้ที่ค้างชำระในส่วนของค่าธรรมเนียมอื่นแล้วจำเลยยังต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ 36,760.69 บาท ส่วนจำเลยให้การและนำสืบว่า จำเลยไม่เคยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 1,000 บาท เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยชำระหนี้ดังกล่าว ได้ความจากว่าที่ร้อยตรีหญิงณัฐยา ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากโจทก์ว่า ใบแจ้งยอดบัญชีฉบับสุดท้ายที่ส่งให้แก่จำเลยลงวันที่ 11 ธันวาคม 2558 แต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้จึงไม่ได้ส่งใบแจ้งหนี้ให้แก่จำเลยอีก โดยมีข้อมูลการรับเงินครั้งสุดท้ายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 จำนวน 1,000 บาท แต่ไม่ทราบว่าใครจ่ายเงิน 1,000 บาท ดังนั้น เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามใบแจ้งยอดหนี้วันที่ 11 ธันวาคม 2558 เป็นต้นมา แต่หลังจากโจทก์รับโอนหนี้ของจำเลยมาจากการรับโอนกิจการบัตรสินเชื่อเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2560 โจทก์อ้างว่ามีการจ่ายเงิน 1,000 บาท เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ชำระหนี้ของจำเลย โดยไม่ทราบว่าใครจ่ายเงินดังกล่าว จึงเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยที่จำเลยซึ่งผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามใบแจ้งหนี้ครั้งสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2558 ซึ่งเป็นเวลานานแล้ว แต่หลังจากโจทก์รับโอนหนี้ของจำเลยมาแล้ว กลับมีการจ่ายเงินเพียง 1,000 บาท เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ชำระหนี้ของจำเลย และโจทก์นำไปหักชำระค่าธรรมเนียมอื่นที่ค้างชำระ โดยโจทก์เป็นผู้จัดทำเอกสารดังกล่าวขึ้นมาเอง เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์ แต่พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีข้อพิรุธน่าสงสัยและไม่สมเหตุผล จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยจ่ายเงิน 1,000 บาท ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามใบแจ้งหนี้วันที่ 11 ธันวาคม 2558 โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องวันที่ 11 มีนาคม 2564 เกิน 5 ปี นับแต่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
🔍 การขยายความประเด็นทางกฎหมาย 1. อำนาจฟ้องของโจทก์ในกรณีโอนสิทธิเรียกร้อง ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย: จำเลยโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากไม่มีการโอนสิทธิเรียกร้องที่สมบูรณ์ •หลักกฎหมาย: 1.1 ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า “การโอนสิทธิเรียกร้องต้องทำเป็นหนังสือ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แก่ลูกหนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีการบอกกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากลูกหนี้เป็นหนังสือ” 1.2 ไม่ได้กำหนดให้ต้องมีลายมือชื่อทั้งผู้โอนและผู้รับโอน จึงเพียงพอที่ผู้โอนลงลายมือชื่อฝ่ายเดียว 1.3 การวินิจฉัย: ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อมีเอกสารเป็นหนังสือและได้มีการบอกกล่าวแก่ลูกหนี้ การโอนย่อมสมบูรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง •ข้อสังเกต: ในทางปฏิบัติ ควรมีเอกสารโอนที่ชัดเจน พร้อมบอกกล่าวการโอนให้ลูกหนี้ทราบเพื่อลดปัญหาการโต้แย้งในศาล
2. ลักษณะของหนี้และการนับอายุความ (2 ปี หรือ 5 ปี) ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย: จำเลยเข้าใจว่าหนี้ที่ฟ้องเป็นหนี้บัตรเครดิต ซึ่งมีอายุความ 2 ปี ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผ่านมา •หลักกฎหมาย: 2.1 ป.พ.พ. มาตรา 193/33(2): อายุความ 5 ปี สำหรับหนี้ที่ต้องชำระเป็นงวด เช่น หนี้กู้ยืมเงินที่ตกลงให้ชำระเป็นงวด ๆ 2.2 หากเป็นหนี้บัตรเครดิต (บริษัทสำรองจ่ายก่อน แล้วลูกค้าคืนเงินภายหลัง) อายุความเพียง 2 ปี ตามมาตรา 193/34 •การวินิจฉัย: ศาลเห็นว่าหนี้กรณีนี้เป็น “สินเชื่อเงินสดแบบผ่อนชำระ” ไม่ใช่การสำรองจ่ายแบบบัตรเครดิต จึงใช้อายุความ 5 ปี •ข้อสังเกต: คดีนี้ตอกย้ำว่า การพิจารณาว่าหนี้เข้าข่ายอายุความใด ต้องดูที่ ลักษณะของการทำสัญญาและข้อตกลงการชำระ ไม่ใช่เพียงชื่อผลิตภัณฑ์หรือวิธีการสมัคร
3. ภาระการพิสูจน์การชำระเงินครั้งสุดท้าย ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย: โจทก์อ้างว่ามีการชำระหนี้ครั้งสุดท้ายในปี 2560 เพื่อให้การนับอายุความสะดุดหยุดลง •หลักกฎหมาย: 3.1 ป.พ.พ. มาตรา 193/15 และ 193/30 ว่าด้วยการสะดุดหยุดลงของอายุความเมื่อมีการชำระหนี้ 3.1 ภาระการพิสูจน์อยู่ที่ผู้กล่าวอ้าง (โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยชำระเงินจริง) •การวินิจฉัย: ศาลเห็นว่าหลักฐานการชำระเงิน 1,000 บาท ขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากไม่ทราบผู้จ่ายและมีความผิดปกติวิสัย •ข้อสังเกต: เอกสารรับชำระเงินควรจัดทำให้ชัดเจน เช่น ใบเสร็จ ใบแจ้งหนี้ พร้อมระบุชื่อผู้ชำระ เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้
4. หน้าที่ของศาลในการปรับบทกฎหมาย (Judicial Duty to Apply Law) ประเด็นสำคัญ: แม้จำเลยให้การว่าเป็นหนี้บัตรเครดิต อายุความ 2 ปี แต่ศาลมีหน้าที่ปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง •หลักกฎหมาย: 4.1 มาตรา 142 แห่ง ป.วิ.พ. กำหนดให้ศาลต้องวินิจฉัยให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้คู่ความจะยกข้อกฎหมายไม่ถูกต้อง 4.2 พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 26 ให้อำนาจศาลสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การ หากขาดความชัดเจนหรือสาระสำคัญ •ผลในคดีนี้: ศาลฎีกาปรับบทกฎหมายเอง เห็นว่าเป็นหนี้ที่มีอายุความ 5 ปี ไม่ใช่ 2 ปี
5. ผลของการขาดอายุความ •เมื่อคดีฟ้องเกิน 5 ปีนับจากวันที่ผิดนัดชำระครั้งสุดท้าย (11 ธ.ค. 2558 → 11 มี.ค. 2564) คดีจึงขาดอายุความตามมาตรา 193/33(2) •ศาลฎีกาจึงพิพากษา ยกฟ้อง แม้โจทก์มีหลักฐานการโอนสิทธิเรียกร้องที่ถูกต้อง
📌 แนวทางปฏิบัติทางรูปคดี (Practical Implications) 1.ฝ่ายโจทก์ (เจ้าหนี้) 1.1 ควรตรวจสอบอายุความก่อนฟ้องคดี โดยเฉพาะวันผิดนัดครั้งสุดท้าย 1.2 ควรเก็บหลักฐานการชำระหนี้และการโอนสิทธิเรียกร้องให้ครบถ้วน 1.3 หากเป็นหนี้ที่ชำระเป็นงวด ให้ชี้แจงต่อศาลชัดเจนว่าเข้าข่ายอายุความ 5 ปี 2.ฝ่ายจำเลย (ลูกหนี้) 2.1 ควรตรวจสอบวันผิดนัดครั้งสุดท้าย หากเกินอายุความสามารถยกข้อต่อสู้ได้ 2.2 หากคำให้การไม่ครบถ้วน ศาลสามารถสั่งให้แก้ไข แต่จำเลยควรให้การอย่างละเอียดตั้งแต่ต้น 3.ศาล 3.1 ศาลมีอำนาจปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง แม้คู่ความอ้างไม่ตรง 3.2 การตีความลักษณะหนี้ต้องดูเนื้อหาสัญญาและวิธีการชำระ ไม่ใช่เพียงชื่อของบัตรหรือเอกสาร |