

อายุความ 5 ปี หนี้ตามสัญญา, หนี้ที่ต้องชำระเป็นงวดๆ อายุความ, ฟ้องคดีขาดอายุความ หนี้เงินกู้
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ อายุความ 5 ปี หนี้ตามสัญญา, หนี้ที่ต้องชำระเป็นงวดๆ อายุความ, ฟ้องคดีขาดอายุความ หนี้เงินกู้ หนี้ที่ชำระเป็นงวด ๆ จะเรียกร้องได้ตามงวดที่ถึงกำหนดเท่านั้น หนี้แต่ละงวดมีการนับอายุความแยกกัน หนี้งวดก่อนที่ครบ 5 ปีแล้วจะขาดอายุความ แต่ไม่กระทบหนี้งวดหลัง เนื่องจากสัญญาไม่ได้ระบุว่าผิดนัดงวดใดจะถือว่าผิดนัดทั้งหมด หนี้จึงไม่ได้ขาดอายุความพร้อมกัน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3329/2567 *เมื่อสัญญากำหนดให้ลูกหนี้ต้องชำระหนี้เป็นงวด ๆ สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ต้องเป็นไปตามที่กำหนดคือเป็นงวด ๆ เช่นเดียวกัน เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ในงวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระก่อนย่อมไม่อาจทำได้ สิทธิเรียกร้องในหนี้แต่ละงวดซึ่งถึงกำหนดไม่พร้อมกัน ย่อมมีระยะเวลาครบกำหนดอายุความไม่พร้อมกัน หนี้ที่ถึงกำหนดชำระในงวดก่อน ย่อมครบกำหนด 5 ปี ก่อนหนี้ที่ถึงกำหนดทีหลังถัดกันไป ไม่ใช่ว่าหนี้งวดแรกซึ่งถึงกำหนดก่อนครบกำหนดอายุความแล้ว จะทำให้หนี้ทั้งหมดรวมถึงหนี้ในงวดหลัง ๆ ต้องครบกำหนดอายุความไปด้วยไม่ เนื่องจากสัญญาไม่ได้กำหนดไว้ว่า หากผิดนัดชำระหนี้งวดหนึ่งงวดใดแล้วก็ให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดทุกงวด ดังนั้นหนี้แต่ละจำนวนซึ่งถึงกำหนดชำระไม่พร้อมกัน จึงไม่ได้ขาดอายุความไปพร้อมกัน *โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 825,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ *จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง *ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ *โจทก์อุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน 390,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 7 มกราคม 2565 นับย้อนหลังไปเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 225,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ *จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้มอบให้โจทก์ไว้จริง คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า กรณีการชำระหนี้ที่กำหนดให้ชำระเป็นงวด ๆ เช่นนี้ สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ต้องเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญา กล่าวคือ เมื่อสัญญากำหนดให้ลูกหนี้ต้องชำระหนี้เป็นงวด ๆ สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ต้องเป็นไปตามที่กำหนดคือเป็นงวด ๆ เช่นเดียวกัน เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ในงวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระก่อนก็ย่อมไม่อาจทำได้ ดังนั้นสิทธิเรียกร้องในหนี้แต่ละงวดซึ่งถึงกำหนดไม่พร้อมกัน ย่อมมีระยะเวลาครบกำหนดอายุความไม่พร้อมกันไปด้วย หนี้ที่ถึงกำหนดชำระในงวดก่อน ย่อมครบกำหนด 5 ปี ก่อนหนี้ที่ถึงกำหนดทีหลังถัดกันไป ไม่ใช่ว่าหนี้งวดแรกซึ่งถึงกำหนดก่อนครบกำหนดอายุความแล้ว จะทำให้หนี้ทั้งหมดรวมถึงหนี้ในงวดหลัง ๆ ต้องครบกำหนดอายุความไปด้วยไม่ เนื่องจากในสัญญาไม่ได้กำหนดไว้ว่า หากผิดนัดชำระหนี้งวดหนึ่งงวดใดแล้วก็ให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดทุกงวด ดังนั้นหนี้แต่ละจำนวนซึ่งถึงกำหนดชำระไม่พร้อมกัน จึงไม่ได้ขาดอายุความไปพร้อมกันดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกา เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 7 มกราคม 2565 โจทก์ย่อมเรียกร้องหนี้ที่จำเลยค้างชำระตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 มาจนถึงวันฟ้องได้เนื่องจากยังอยู่ในระยะเวลา 5 ปี ยังไม่ขาดอายุความ ส่วนหนี้ที่ถึงกำหนดก่อนหน้านั้นแล้วตั้งแต่ปี 2558 และปี 2559 ซึ่งเกินระยะเวลา 5 ปี แล้วนับแต่วันฟ้องย่อมขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น *ส่วนปัญหาสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยที่อ้างว่า หนังสือรับสภาพหนี้เป็นเอกสารปลอมนั้น เห็นว่า จำเลยมีเพียงข้อกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าเป็นเอกสารปลอมโดยจำเลยยอมรับว่าลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้จริง แต่ขณะนั้นเป็นเอกสารเปล่าไม่มีข้อความใด ๆ โจทก์นำเอกสารไปเติมข้อความเอาเองในภายหลัง โดยโจทก์หลอกให้จำเลยลงลายมือชื่อในเอกสาร ขณะที่นำเอกสารจำนวนมากมาให้จำเลยลงลายมือชื่อในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดการมรดกของนายประหยัด ซึ่งมีทรัพย์สินเป็นที่ดินหลายแปลง จำเลยลงลายมือชื่อในเอกสารจำนวนมากให้โจทก์ไป โดยไม่ได้อ่านข้อความในเอกสารว่ามีเอกสารอะไรบ้าง จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าว ส่วนโจทก์นอกจากมีพยานเอกสารคือหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อไว้จริงแล้ว ยังมีพยานบุคคลทั้งตัวโจทก์และนางสาวเวียง ภริยาโจทก์ ซึ่งเป็นประจักษ์พยานโดยตรง ยืนยันข้อเท็จจริงตรงกันว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์จริง โดยมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเบิกเงินจากบัญชีธนาคารสนับสนุน โดยจำเลยไม่เคยชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์ และภายหลังจำเลยจึงทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ โดยขอผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน เดือนละ 10,000 บาท ตามการที่จำเลยมีแต่ข้อกล่าวอ้างลอย ๆ ส่วนโจทก์มีทั้งพยานบุคคลและเอกสารที่เกี่ยวข้องโดยตรงยืนยันเช่นนี้ พยานโจทก์ย่อมมีเหตุผลน่าเชื่อถือมากกว่า ทั้งเมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่จำเลยเองก็ยอมรับว่า ทั้งโจทก์และจำเลยแบ่งฝ่ายกัน เนื่องจากมีข้อขัดแย้งกันในเรื่องการแบ่งทรัพย์มรดกของนายประหยัดจนถึงขนาดมีการฟ้องร้องคดีกันต่อศาล เช่นนี้ ที่จำเลยอ้างว่าลงลายมือชื่อในเอกสารเปล่าโดยไม่มีข้อความจึงไม่น่าเชื่อถือ บุคคลที่มีข้อขัดแย้งกันอยู่ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไปลงลายมือชื่อในเอกสารเปล่าให้กันเป็นแน่ แม้จะอ้างว่ามีเอกสารจำนวนมากก็เชื่อว่า จำเลยต้องตรวจดูก่อนลงชื่อในเอกสารทุกฉบับ ที่อ้างว่าลงชื่อโดยไม่ได้อ่านข้อความในเอกสารไม่มีเหตุผล ไม่น่าเชื่อถือ หรือที่อ้างว่าโจทก์ไม่ได้รีบฟ้องคดีทั้ง ๆ ที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้นานหลายปีแล้วจึงเป็นพิรุธนั้น เห็นว่า การที่โจทก์จะฟ้องร้องหรือไม่ เมื่อใด ล้วนเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของโจทก์เองทั้งสิ้น ไม่ได้มีกฎหมายใดบังคับให้โจทก์ต้องรีบใช้สิทธิฟ้องร้องคดีแต่อย่างใด หรือการที่โจทก์ไม่มีหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยมานำสืบนั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะรับฟังว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ เนื่องจากนางสาวเวียงยืนยันว่า เงินที่ให้จำเลยยืมนั้น ส่วนหนึ่งเป็นรายได้จากการค้าขาย อีกส่วนหนึ่งเบิกมาจากบัญชีธนาคาร เงินที่ให้จำเลยกู้ยืมเป็นเงินสด จึงไม่มีหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของจำเลย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใด เห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีเหตุผล มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ สามารถรับฟังได้มากกว่าข้ออ้างลอย ๆ ของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้จริง และจำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน *อนึ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 390,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 7 มกราคม 2565 นับย้อนหลังไปเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 225,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาจึงคิดเป็นเงิน 536,250 บาท จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 10,725 บาท แต่จำเลยเสียมา 12,300 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลที่ชำระเกินมา 1,575 บาท แก่จำเลย *พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมา 1,575 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
1.อายุความ 5 ปี หนี้ตามสัญญา 2.หนี้ที่ต้องชำระเป็นงวดๆ อายุความ 3.ฟ้องคดีขาดอายุความ หนี้เงินกู้ 4.หลักกฎหมาย มาตรา 193/33 (2) 5.การชำระหนี้ตามสัญญา ข้อพิพาท 6.ฎีกาเรื่องอายุความหนี้เงินกู้ 7.หนังสือรับสภาพหนี้ ปลอมหรือไม่ 8.สิทธิเรียกร้องเจ้าหนี้ตามสัญญา สรุปคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระเงิน 825,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 600,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนถึงชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยชำระ 390,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 7 มกราคม 2565 ย้อนหลังไม่เกิน 5 ปี แต่ดอกเบี้ยรวมไม่เกิน 225,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ *จำเลยฎีกาโดยอ้างว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความและหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเอกสารปลอม ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การชำระหนี้ตามสัญญาซึ่งกำหนดเป็นงวดทำให้สิทธิเรียกร้องและอายุความของแต่ละงวดแยกจากกัน หนี้ที่ถึงกำหนดเกิน 5 ปีก่อนวันฟ้องขาดอายุความ แต่หนี้ที่ถึงกำหนดภายใน 5 ปียังฟ้องได้ ข้ออ้างของจำเลยเรื่องขาดอายุความจึงฟังไม่ขึ้น *สำหรับข้ออ้างว่าเอกสารปลอม ศาลพิจารณาว่าจำเลยลงลายมือชื่อจริงและพยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่า โดยโจทก์มีพยานบุคคลและเอกสารยืนยันว่าจำเลยกู้เงินและลงนามรับสภาพหนี้เอง ส่วนจำเลยไม่มีหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างว่าถูกหลอกให้ลงชื่อในเอกสารเปล่า ข้ออ้างนี้จึงไม่น่าเชื่อถือ *ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาเดิม และคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่จำเลยชำระเกินมา 1,575 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ **คำพิพากษาศาลฎีกา:** พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 6 แต่คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ชำระเกินแก่จำเลย
**หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2)** มาตรา 193/33 (2) ระบุว่า **สิทธิเรียกร้องเป็นอันระงับไปเมื่อพ้นอายุความ 5 ปี** สำหรับกรณีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับ **เงินที่จะต้องชำระเป็นระยะเวลาเป็นคราว ๆ** เช่น การชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินที่กำหนดชำระเป็นงวด หรือการจ่ายเงินในลักษณะคล้ายคลึงกัน *การประยุกต์ใช้ในคดีนี้** 1. **ข้อเท็จจริงในคดีนี้:** - จำเลยต้องชำระหนี้ตามสัญญาซึ่งกำหนดการชำระเป็นงวด ๆ แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลง ทำให้โจทก์ฟ้องเรียกร้องหนี้ดังกล่าว - จำเลยยกข้อโต้แย้งว่าฟ้องคดีขาดอายุความ 2. **หลักการนับอายุความตามมาตรา 193/33 (2):** - หนี้ที่กำหนดชำระเป็นงวด ๆ จะนับอายุความแยกกันในแต่ละงวด ไม่ใช่นับรวมทั้งหมด - หากงวดใดถึงกำหนดเกินกว่า 5 ปีก่อนวันฟ้อง งวดนั้นจะขาดอายุความไป แต่หนี้ในงวดที่ยังไม่เกิน 5 ปียังคงอยู่ในระยะเวลาที่สามารถเรียกร้องได้ 3. **คำวินิจฉัยของศาล:** - ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิเรียกร้องในหนี้ที่ถึงกำหนดชำระก่อน 5 ปีก่อนวันฟ้อง (ปี 2558 และ 2559) ได้ขาดอายุความไปแล้ว แต่หนี้ที่ถึงกำหนดตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 จนถึงวันฟ้อง (7 มกราคม 2565) ยังคงอยู่ในระยะเวลา 5 ปี จึงไม่ขาดอายุความ 4. **การอ้างมาตรา 193/33 (2):** - การชำระหนี้ตามงวดไม่ได้ระบุว่า หากผิดนัดชำระงวดใดงวดหนึ่ง หนี้ทุกงวดจะถึงกำหนดชำระพร้อมกัน ดังนั้น หนี้แต่ละงวดจึงแยกการนับอายุความอย่างชัดเจน - ข้อโต้แย้งของจำเลยที่กล่าวว่าอายุความของหนี้ทุกงวดครบกำหนดพร้อมกันจึงไม่มีมูลความจริง ### **ประโยชน์ของการอธิบายหลักกฎหมายนี้** - **ช่วยให้เข้าใจการนับอายุความในกรณีหนี้ที่ชำระเป็นงวด ๆ:** ผู้อ่านจะเห็นความสำคัญของการกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ตามสัญญา และเข้าใจว่าการนับอายุความของหนี้ในแต่ละงวดเป็นอย่างไร - **เสริมความชัดเจนในคดี:** ผู้อ่านจะเข้าใจว่าทำไมศาลจึงวินิจฉัยให้โจทก์สามารถเรียกร้องหนี้ในงวดที่ยังไม่ขาดอายุความได้ แต่ไม่สามารถเรียกร้องในส่วนที่ขาดอายุความไปแล้ว - **เพิ่มความรู้ในทางปฏิบัติ:** ช่วยให้ผู้อ่านทราบถึงสิทธิและหน้าที่ในกรณีการชำระหนี้เป็นงวด ๆ รวมถึงผลกระทบหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญา **สรุป:** หลักการในมาตรา 193/33 (2) เป็นหัวใจสำคัญในคดีนี้ในการพิจารณาอายุความของสิทธิเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินเป็นงวด ๆ โดยการนับอายุความจะต้องแยกกันในแต่ละงวด ไม่สามารถรวมทั้งหมดเป็นงวดเดียวได้
**บทความ: "หนี้ที่ต้องชำระเป็นงวดๆ มีกำหนดอายุความอย่างไร" ในกฎหมายไทย **อายุความ** คือระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องสิทธิของตนได้ หากพ้นระยะเวลานี้ไป สิทธิเรียกร้องจะเป็นอันระงับ หลักนี้มีความสำคัญในกรณีที่เกี่ยวข้องกับ **หนี้ที่ต้องชำระเป็นงวด ๆ** ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ **มาตรา 193/33 (2)** กำหนดว่า อายุความสำหรับเงินที่จะต้องชำระเป็นงวด ๆ มีระยะเวลา 5 ปี *ลักษณะของหนี้ที่ต้องชำระเป็นงวด ๆ หนี้ที่ต้องชำระเป็นงวด ๆ คือหนี้ที่มีการกำหนดระยะเวลาในการชำระในแต่ละงวด เช่น การผ่อนชำระเงินกู้ การชำระค่าเช่ารายเดือน หรือการจ่ายค่าบำรุงรักษา หนี้เหล่านี้มีลักษณะพิเศษคือ อายุความของหนี้ในแต่ละงวดจะนับแยกกัน ไม่รวมเป็นก้อนเดียว **ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง** 1. **คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1615/2536** - เจ้าหนี้ฟ้องเรียกร้องค่าเช่าค้างชำระ โดยศาลวินิจฉัยว่า ค่าเช่าที่ถึงกำหนดชำระในแต่ละเดือนถือว่าเป็นหนี้แยกจากกัน อายุความของแต่ละงวดจึงต้องนับแยกกัน หากค่างวดใดถึงกำหนดเกินกว่า 5 ปีก่อนฟ้อง จะถือว่าขาดอายุความ 2. **คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6620/2544** - ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระค่าผ่อนส่งรายเดือน ศาลระบุว่าหนี้ที่ถึงกำหนดภายใน 5 ปีนับจากวันฟ้องยังสามารถเรียกร้องได้ แต่หนี้ที่ถึงกำหนดก่อนหน้านั้นจะขาดอายุความ 3. **คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4533/2554** - หนี้เงินกู้ที่มีการตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือน หากลูกหนี้ไม่ชำระงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้สามารถฟ้องเฉพาะงวดที่ยังไม่ขาดอายุความได้ โดยไม่สามารถเรียกร้องเงินทั้งหมดในคราวเดียว 4. **คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2557** - การเรียกร้องดอกเบี้ยจากสัญญากู้ยืมเงินในลักษณะหนี้ที่ต้องชำระเป็นงวด ๆ จะต้องนับอายุความในแต่ละงวดแยกกัน หนี้ในงวดที่พ้น 5 ปีไปแล้วจะไม่สามารถเรียกร้องได้ 5. **คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2308/2560** - ในกรณีที่มีหนังสือรับสภาพหนี้ ศาลชี้ว่า หนังสือดังกล่าวไม่สามารถยืดระยะเวลาอายุความของหนี้ในงวดที่ขาดอายุความไปแล้วได้ สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้จำกัดอยู่เฉพาะงวดที่ยังไม่พ้นระยะเวลา 5 ปี 6. **คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2291/2565** - หนี้เงินที่ต้องชำระเป็นงวด ๆ ในกรณีที่สัญญาไม่ระบุว่าการผิดนัดในงวดใดจะทำให้ทั้งสัญญาถึงกำหนดชำระพร้อมกัน ศาลวินิจฉัยว่า การนับอายุความจะต้องแยกตามงวดที่ถึงกำหนด ไม่สามารถนับรวมทั้งสัญญาเป็นหนี้ก้อนเดียวได้ **หลักการสำคัญที่ได้จากตัวอย่างคำพิพากษา** 1. **อายุความแยกตามงวด:** หนี้ที่ต้องชำระเป็นงวด ๆ จะนับอายุความแยกกันในแต่ละงวด 2. **การฟ้องร้องเป็นงวด ๆ:** เจ้าหนี้สามารถฟ้องเรียกร้องเฉพาะงวดที่ยังไม่ขาดอายุความได้ 3. **เงื่อนไขในสัญญามีผลต่ออายุความ:** หากในสัญญามีเงื่อนไขระบุว่าการผิดนัดงวดใดทำให้ทั้งสัญญาถึงกำหนดชำระพร้อมกัน อายุความอาจนับรวมทั้งสัญญา 4. **หนังสือรับสภาพหนี้:** การมีหนังสือรับสภาพหนี้ไม่สามารถฟื้นสิทธิเรียกร้องในงวดที่ขาดอายุความไปแล้วได้ สรุป** การนับอายุความในหนี้ที่ต้องชำระเป็นงวด ๆ มีความสำคัญต่อการปฏิบัติของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ การไม่เข้าใจหลักกฎหมายนี้อาจทำให้เสียสิทธิหรือเกิดความยุ่งยากในคดี ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่นำมาประกอบช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าหนี้แต่ละงวดต้องแยกการนับอายุความ และการเรียกร้องสิทธิต้องกระทำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด |