

เรื่องอายุความ 2 ปี มาตรา 193/34 (11), การนับอายุความในกรณีค่ารักษาพยาบาล ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ เรื่องอายุความ 2 ปี มาตรา 193/34 (11), การนับอายุความในกรณีค่ารักษาพยาบาล *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลมารดาในฐานะลูกหนี้ชั้นต้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ฟ้องล่าช้าจึงขาดอายุความ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์* *ตามใบรับผู้ป่วยใน จำเลยลงลายมือชื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแทน ก. มารดาในฐานะลูกหนี้ชั้นต้น ไม่ใช่ในฐานะบุคคลภายนอกที่ยินยอมผูกพันตนเข้าชำระหนี้ที่มารดาค้างชำระต่อโจทก์ โจทก์เป็นสถานพยาบาลที่ฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลตามสัญญาที่จำเลยทำไว้ สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (11). คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2567 ตามใบรับผู้ป่วยในจำเลยลงลายมือชื่อในช่องข้อมูลผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลว่าผู้รับผิดชอบแทนผู้ป่วย หมายความว่า จำเลยยินยอมรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแทน ก. มารดาในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแทน ก. โดยตรง มิใช่จำเลยในฐานะบุคคลภายนอกที่ยินยอมผูกพันตนเข้าชำระหนี้ค่ารักษาพยาบาลที่ ก. มารดาจำเลยค้างชำระต่อโจทก์ โจทก์เป็นสถานพยาบาลฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้ค่ารักษาพยาบาลที่จำเลยทำสัญญารับผิดชอบ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (11) โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 478,852.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชน เมื่อระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน 2556 ถึงวันที่ 22 กันยายน 2556 จำเลยซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางกิมฮวย พานางกิมฮวยเข้ารับการรักษาอาการป่วยด้วยโรคลมชักที่ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาล ก. ซึ่งเป็นสถานพยาบาลในกิจการของโจทก์ โดยจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของนางกิมฮวย โจทก์ทำการรักษาพยาบาลนางกิมฮวยมีค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 1,414,679.80 บาท หักส่วนลดตามสิทธิของผู้ป่วย 235,827.35 บาท คงเหลือค่ารักษาพยาบาล 1,178,852.45 บาท จำเลยร่วมกับนางกิมฮวยชำระค่ารักษาพยาบาล 700,000 บาท คงค้างชำระค่ารักษาพยาบาล 478,852.45 บาท ต่อมาวันที่ 22 กันยายน 2556 จำเลยพานางกิมฮวยออกจากโรงพยาบาลของโจทก์ และนางกิมฮวยถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2558 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า จำเลยลงลายมือชื่อในช่องข้อมูลผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลว่า ผู้รับผิดชอบแทนผู้ป่วย หมายความว่า จำเลยยินยอมรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแทนนางกิมฮวยมารดาในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นผู้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลแทนนางกิมฮวยโดยตรง มิใช่จำเลยในฐานะบุคคลภายนอกที่ยินยอมผูกพันตนเข้าชำระหนี้ค่ารักษาพยาบาลที่นางกิมฮวยมารดาจำเลยค้างชำระต่อโจทก์ โจทก์เป็นสถานพยาบาลฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้ค่ารักษาพยาบาลที่จำเลยทำสัญญารับผิดชอบ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (11) ซึ่งอายุความเริ่มนับแต่วันที่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ คือวันที่โจทก์มีใบแจ้งหนี้ถึงจำเลยให้ชำระค่ารักษาพยาบาลวันที่ 22 กันยายน 2556 เมื่อนับถึงวันฟ้องวันที่ 28 กันยายน 2564 เป็นเวลาเกินกว่า 2 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ 1.คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องอายุความ 2 ปี มาตรา 193/34 (11) 2.อายุความในกรณีค่ารักษาพยาบาลตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (11) 3.ข้อยกเว้นอายุความในกิจการของลูกหนี้ มาตรา 193/34 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2567 สิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล 5.คดีขาดอายุความในสิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล 6.ข้อยกเว้นของอายุความ 2 ปีในธุรกิจโรงพยาบาล 7.มาตรา 193/34 (11) อายุความในสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล 8.คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับอายุความ 2 ปี 9.การนับอายุความในกรณีค่ารักษาพยาบาล 10.การฟ้องร้องค่ารักษาพยาบาลเกินกำหนดอายุความ สรุปคำพิพากษาศาลฎีกานี้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินจำนวน 478,852.45 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำให้การและคำพิพากษาศาลชั้นต้น 6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9931/2552 คดีนี้ โจทก์และจำเลยเป็นผู้ประกอบการค้ารับจ้างก่อสร้าง โดยจำเลยรับงานก่อสร้างถนนและสะพานจากกรมทางหลวง และว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างสะพาน งานดังกล่าวเป็นการที่โจทก์ทำเพื่อกิจการของจำเลย จึงเข้าข้อยกเว้นอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย และกำหนดอายุความสิทธิเรียกร้องเป็น 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ฎีกาย่อ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยเป็นผู้ประกอบการค้ารับจ้างก่อสร้าง โดยจำเลยรับงานจากกรมทางหลวงและว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างสะพาน งานดังกล่าวถือเป็นการทำเพื่อกิจการของจำเลยเอง เข้าข้อยกเว้นอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงกำหนด 5 ปีตามมาตรา 193/33 (5) ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อน ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ และพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,493,318.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 5 พฤษภาคม 2543 และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ รวมค่าทนายความ 25,000 บาท จำเลยขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ การอุทธรณ์และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน และให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ ชั้นฎีกาและคำวินิจฉัยของศาลฎีกา โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา และวินิจฉัยว่า: •โจทก์เป็นบริษัทโรงพยาบาลเอกชน จำเลยพามารดาเข้ารักษาโรคลมชักที่โรงพยาบาลโจทก์ โดยลงชื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล •ค่ารักษาพยาบาลรวม 1,414,679.80 บาท หักส่วนลด 235,827.35 บาท เหลือ 1,178,852.45 บาท จำเลยและมารดาชำระแล้ว 700,000 บาท ค้างชำระ 478,852.45 บาท •เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2556 จำเลยพามารดาออกจากโรงพยาบาล และมารดาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2558 ปัญหาเรื่องอายุความ ศาลเห็นว่า: •จำเลยลงชื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลในฐานะลูกหนี้ชั้นต้น ไม่ใช่ในฐานะบุคคลภายนอกที่ยินยอมผูกพันตน •สิทธิเรียกร้องของโจทก์เป็นคดีเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (11) •อายุความเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2556 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์มีใบแจ้งหนี้ถึงจำเลย ฟ้องเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2564 จึงเกินกว่า 2 ปี คำพิพากษาศาลฎีกา ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ **หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (11) มาตรา 193/34 (11) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ระบุว่า "อายุความสองปี สำหรับสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการให้บริการที่ได้รับการว่าจ้าง การรักษาพยาบาล หรือการให้การศึกษา" การตีความและการประยุกต์ใช้ในกรณีนี้ 1.ประเภทสิทธิเรียกร้องที่อยู่ภายใต้มาตรา 193/34 (11) สิทธิเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับบริการ เช่น การรักษาพยาบาล ถือเป็นบริการโดยมีการว่าจ้างหรือข้อตกลงระหว่างผู้ให้บริการ (เช่น โรงพยาบาล) และผู้รับบริการ (เช่น ผู้ป่วยหรือผู้ที่รับผิดชอบแทนผู้ป่วย) ซึ่งหมายความว่าโรงพยาบาลสามารถฟ้องร้องเรียกชำระหนี้ค่ารักษาพยาบาลได้ภายในกำหนดอายุความ 2 ปี นับจากวันที่สิทธิเรียกร้องสามารถบังคับได้ตามกฎหมาย 2.การเริ่มนับอายุความ ตามหลักทั่วไปในมาตรา 193/12 อายุความเริ่มนับจากวันที่ผู้มีสิทธิเรียกร้องสามารถบังคับสิทธิได้ในทางกฎหมาย ในกรณีนี้คือวันที่โรงพยาบาลออกใบแจ้งหนี้หรือเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลจากจำเลย ซึ่งถือเป็นวันที่สิทธิเรียกร้องเริ่มมีผลบังคับได้ 3.ลักษณะการฟ้องร้อง โรงพยาบาลในฐานะผู้ให้บริการสามารถฟ้องร้องเพื่อเรียกค่ารักษาพยาบาลจากผู้รับผิดชอบได้ตามข้อตกลง อย่างไรก็ตาม หากการฟ้องร้องเกินระยะเวลาที่กำหนดในมาตรา 193/34 (11) สิทธิในการฟ้องร้องจะหมดไปเนื่องจากขาดอายุความ 4.เหตุผลของการกำหนดอายุความ 2 ปี oกฎหมายมุ่งหวังให้ผู้มีสิทธิเรียกร้องใช้สิทธิโดยไม่ล่าช้า เพื่อป้องกันการฟ้องร้องที่ไม่เหมาะสมในอนาคต oธุรกิจที่เกี่ยวกับการให้บริการ เช่น โรงพยาบาล จำเป็นต้องบริหารจัดการบัญชีการเงินให้รวดเร็วและชัดเจน การกำหนดอายุความ 2 ปีจึงเหมาะสมกับลักษณะของธุรกิจ ตัวอย่างการประยุกต์ในคดีนี้ ในกรณีนี้ โรงพยาบาลโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่ารักษาพยาบาล และเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ออกใบแจ้งหนี้ (22 กันยายน 2556) ดังนั้น หากโจทก์ฟ้องร้องหลังครบกำหนด 2 ปีจากวันที่ดังกล่าว เช่น ในวันที่ 28 กันยายน 2564 คดีจะถือว่าขาดอายุความตามมาตรา 193/34 (11) ผลกระทบในทางคดี เมื่อศาลพิจารณาว่าคดีขาดอายุความ สิทธิของโจทก์ในการฟ้องร้องย่อมสิ้นสุดลง แม้ว่าจะมีมูลหนี้จริงก็ตาม การบังคับชำระหนี้จึงไม่สามารถกระทำได้ในทางกฎหมาย บทสรุปสำหรับผู้อ่าน มาตรา 193/34 (11) เป็นหลักกฎหมายสำคัญที่กำหนดระยะเวลาในการฟ้องร้องเกี่ยวกับการให้บริการ เช่น การรักษาพยาบาล หากผู้ให้บริการไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในเวลาที่กำหนด สิทธิในการฟ้องร้องจะหมดไป ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องสิทธิควรทราบถึงระยะเวลาอายุความนี้เพื่อป้องกันการเสียสิทธิตามกฎหมาย ***คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องกับอายุความสองปี ตามมาตรา 193/34 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3314/2549 แม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าสินค้าภายใต้อายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (1) แต่กรณีที่จำเลยทั้งสองซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์เพื่อใช้ในกิจการรับจ้างขนส่งคนโดยสารและสินค้า ถือเป็นข้อยกเว้นตามมาตรา 193/34 (1) วรรคท้าย จึงไม่อยู่ในกำหนดอายุความ 2 ปี แต่ใช้อายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (5) แทน. ฎีกาย่อ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง และต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า โจทก์ขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งใช้ในกิจการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า โดยตกลงชำระหนี้ใน 30 วัน แต่จำเลยไม่ชำระ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือ คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยอ้างว่าการซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้เองในกิจการต้องใช้อายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (1) แต่ศาลเห็นว่า การใช้ในกิจการของลูกหนี้เป็นข้อยกเว้นตามมาตรา 193/34 (1) วรรคท้าย ซึ่งให้อายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (5) ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น. 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3329/2550 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) และมาตรา 193/33 (5) การเรียกร้องค่าของที่ส่งมอบโดยผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม จะมีอายุความ 5 ปี หากเป็นการขายสินค้าเพื่อกิจการของลูกหนี้เอง ในกรณีนี้ โจทก์ขายเครื่องจักรอุตสาหกรรมให้จำเลยเพื่อขายต่อให้ลูกค้าของจำเลย ถือเป็นการขายเพื่อกิจการของลูกหนี้ อายุความในการฟ้องร้องจึงกำหนด 5 ปี นับจากวันที่สามารถบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) และมาตรา 193/12 ฎีกาย่อ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) สิทธิเรียกร้องของผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมที่ขายสินค้าสำหรับกิจการของลูกหนี้มีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (5) ในกรณีนี้ โจทก์ขายเครื่องจักรให้จำเลยเพื่อขายต่อ อายุความฟ้องร้องจึงกำหนด 5 ปี ส่วนกรณีใบมอบอำนาจ ตาม พ.ร.บ.ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 26 และ ป.วิ.พ. มาตรา 47 วรรคสาม ไม่กำหนดให้ผู้รับมอบอำนาจต้องลงนามในหนังสือมอบอำนาจ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4751/2553 สิทธิเรียกร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย ยกเว้นการซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับกิจการของลูกหนี้เอง เมื่อจำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์และซื้อสินค้าเพื่อขายต่อ กรณีนี้ถือเป็นการซื้อขายเพื่อกิจการของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้เอง จึงเข้าข้อยกเว้นของมาตรา 193/34 (1) อายุความในการเรียกร้องค่าสินค้าของโจทก์จึงกำหนดไว้ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ไม่ใช่ 2 ปีตามมาตรา 193/34 (1) ฎีกาย่อ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์เข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย เนื่องจากจำเลยซื้อสินค้าเพื่อกิจการของตนเอง การเรียกร้องของโจทก์จึงมีอายุความ 5 ปีตามมาตรา 193/33 (5) ไม่ใช่ 2 ปี สำหรับข้อโต้แย้งเรื่องการชำระเงิน ศาลพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกร้องเป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิงได้ แต่จำเลยสามารถชำระเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาที่ชำระหนี้ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 196 ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 75,658.42 ปอนด์สเตอร์ลิง พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี โดยดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 13,611.52 ปอนด์สเตอร์ลิง และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ รวมถึงค่าทนายความ 10,000 บาท สำหรับเช็ค 3 ฉบับที่จำเลยสั่งจ่ายแต่โจทก์ไม่นำไปเรียกเก็บ หนี้สินค้าดั้งเดิมไม่ระงับตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคสาม อย่างไรก็ดี จำเลยได้ชำระหนี้จำนวน 1,219 ดอลลาร์สหรัฐแล้วด้วยการหักเงินสำรองและค่าใช้จ่ายแทนโจทก์ ซึ่งถือว่าชำระหนี้แทนตามมาตรา 321 วรรคหนึ่ง 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2551 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ข้อยกเว้นอายุความ 2 ปี กำหนดว่า หากการกระทำเป็นไปเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้เอง สิทธิเรียกร้องจะมีอายุความ 5 ปีตามมาตรา 193/33 (5) โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่ากระทำเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้หรือไม่ ในกรณีนี้ จำเลยที่ 1 ซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์เพื่อนำไปจำหน่ายหรือนำไปผสมเป็นคอนกรีตผสมเสร็จขาย ถือว่าเป็นการทำเพื่อกิจการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้เอง ดังนั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงอยู่ในข่ายข้อยกเว้นและมีอายุความ 5 ปี ไม่ใช่ 2 ปี ฎีกาย่อ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากรณีที่จำเลยที่ 1 ซื้อปูนซีเมนต์จากโจทก์เพื่อนำไปจำหน่ายหรือผสมเป็นคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อขาย ถือเป็นการทำเพื่อกิจการของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้เอง ตามข้อยกเว้นใน ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) อายุความจึงกำหนดเป็น 5 ปีตามมาตรา 193/33 (5) ไม่ใช่ 2 ปีดังที่จำเลยที่ 5 อ้าง ฎีกาของจำเลยที่ 5 ฟังไม่ขึ้น นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความและสั่งย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่ การเรียกเก็บค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ควรคิดในอัตราคดีไม่มีทุนทรัพย์ที่ 200 บาท ศาลฎีกาจึงสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนเกินแก่โจทก์ 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5384/2551 หนี้จากการใช้บัตรเครดิต รวมถึงหนี้จากการซื้อสินค้า บริการ หรือถอนเงินสด มีอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) และไม่สามารถแยกนับอายุความแตกต่างกันได้ การรับสภาพหนี้ที่จะทำให้อายุความหยุด ต้องเป็นการกระทำหรือยินยอมของจำเลยเอง การที่โจทก์หักบัญชีเงินฝากของจำเลยชำระหนี้โดยไม่มีข้อตกลงไว้ ไม่ถือว่าจำเลยยินยอมและไม่ถือเป็นการรับสภาพหนี้ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ฎีกาย่อ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหนี้จากบัตรเครดิต รวมถึงการซื้อสินค้า บริการ และถอนเงินสด ถือเป็นหนี้ตามสัญญาบัตรเครดิตเดียวกัน จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) ไม่สามารถแยกนับอายุความแตกต่างกันได้ กรณีที่โจทก์หักบัญชีเงินฝากของจำเลยชำระหนี้บัตรเครดิตโดยพลการ ไม่ถือว่าจำเลยยินยอม หรือเป็นการรับสภาพหนี้ที่จะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง 6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9931/2552 คดีนี้ โจทก์และจำเลยเป็นผู้ประกอบการค้ารับจ้างก่อสร้าง โดยจำเลยรับงานก่อสร้างถนนและสะพานจากกรมทางหลวง และว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างสะพาน งานดังกล่าวเป็นการที่โจทก์ทำเพื่อกิจการของจำเลย จึงเข้าข้อยกเว้นอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย และกำหนดอายุความสิทธิเรียกร้องเป็น 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ฎีกาย่อ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยเป็นผู้ประกอบการค้ารับจ้างก่อสร้าง โดยจำเลยรับงานจากกรมทางหลวงและว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างสะพาน งานดังกล่าวถือเป็นการทำเพื่อกิจการของจำเลยเอง เข้าข้อยกเว้นอายุความ 2 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ตอนท้าย อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงกำหนด 5 ปีตามมาตรา 193/33 (5) ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคลาดเคลื่อน ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ และพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,493,318.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 5 พฤษภาคม 2543 และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ รวมค่าทนายความ 25,000 บาท 7.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8712/2548 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (9) และมาตรา 193/33 (4) อายุความการเรียกร้องเงินต่างกัน โดยมาตรา 193/34 (9) ใช้กับกรณีลูกจ้างเรียกเงินตามสัญญาจ้างแรงงานจากนายจ้าง ส่วนมาตรา 193/33 (4) ใช้กับกรณีที่บุคคลอื่นเรียกเงินจากผู้มีหน้าที่จ่ายตามระยะเวลา ในกรณีนี้ โจทก์เป็นลูกจ้างเรียกค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าที่พักจากจำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง ถือว่าอยู่ในอายุความ 2 ปีตามมาตรา 193/34 (9) ไม่ใช่ 5 ปีตามมาตรา 193/33 (4) ฎีกาย่อ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นนายจ้างที่ว่าจ้างโจทก์ในตำแหน่งผู้ตรวจสอบคุณภาพ โดยจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าที่พักเดือนละ 5,000 บาท การที่จำเลยอ้างว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างในชั้นอุทธรณ์เป็นข้อที่มิได้ยกในศาลแรงงานกลาง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 โจทก์อุทธรณ์ว่า ค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าที่พักเดือนละ 12,000 บาทมีลักษณะเป็นเงินเดือนที่กำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา อายุความควรเป็น 5 ปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (4) แต่ศาลเห็นว่าค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าที่พักเป็นสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน จึงเข้าข่ายอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (9) คำพิพากษาศาลแรงงานกลางจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
|