

อายุความค่าจ้างว่าความ, อายุความสะดุดลง, ดอกเบี้ยผิดนัด, สัญญาจ้างทำของ, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ อายุความค่าจ้างว่าความ, อายุความสะดุดลง, ดอกเบี้ยผิดนัด, สัญญาจ้างทำของ, "สัญญาจ้างว่าความ: อายุความสะดุดลงสำหรับจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1 ขาดอายุความ ค่าจ้างงวดที่ 2 และ 3 ผิดนัดหลังทวงถาม โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัด" *สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 ที่เน้นผลสำเร็จของงาน การชำระหนี้งวดที่ 1 ซึ่งถึงกำหนดแล้วส่งผลให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับใหม่ตาม มาตรา 193/14 (1) และ 193/15 วรรคสอง โจทก์ยื่นฟ้องในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปีสำหรับจำเลยที่ 2 คดีจึงไม่ขาดอายุความ แต่สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งอายุความเริ่มนับตั้งแต่วันทำสัญญา คดีขาดอายุความแล้ว ค่าจ้างงวดที่ 2 และ 3 ถึงกำหนดชำระเมื่อโจทก์ดำเนินงานสำเร็จ แต่เนื่องจากยังไม่มีกำหนดชำระตามปฏิทิน จำเลยทั้งสองจะเป็นผู้ผิดนัดเมื่อครบกำหนดชำระหลังได้รับหนังสือทวงถาม 7 วัน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับงวดที่ 2 และ 3 ตาม มาตรา 204 วรรคหนึ่ง *เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2560 จำเลยทั้งสองทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความในคดีเกี่ยวกับที่ดิน ตกลงค่าจ้างรวม 3,000,000 บาท แบ่งชำระ 3 งวด โดยโจทก์ดำเนินคดีให้ 3 คดี และสืบพยานเสร็จสิ้นในคดีหนึ่งเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 ต่อมาคู่ความตกลงกันได้ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 โดยสองคดีมีคำพิพากษาตามยอม และอีกคดีหนึ่งถอนฟ้อง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย 1.เรื่องอายุความ จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้โจทก์ 9 ครั้ง รวม 369,951 บาท ครั้งสุดท้ายเมื่อ 7 พฤษภาคม 2561 ซึ่งถือเป็นการชำระหนี้งวดแรก อายุความจึงเริ่มนับใหม่และไม่ขาดอายุ แต่สำหรับจำเลยที่ 1 อายุความนับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2560 และขาดอายุความเมื่อฟ้อง 2.ค่าจ้างตามผลการทำงาน สัญญาจ้างถือเอาผลสำเร็จเป็นสำคัญ ศาลกำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าจ้างครึ่งหนึ่งในแต่ละงวด รวม 1,130,049 บาท ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในงวดแรกเพราะคดีขาดอายุความ 3.ดอกเบี้ยผิดนัด โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับค่าจ้างแต่ละงวด โดยงวดแรกนับตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน 2561 และงวดที่ 2 และ 3 นับจากวันที่ 3 ธันวาคม 2561 คำพิพากษา ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 1,113,049 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนด และจำเลยที่ 1 รับผิดร่วมในส่วนต้นเงิน 1,000,000 บาท โดยดอกเบี้ยต้องเป็นไปตามกฎหมายและปรับตามอัตราของกระทรวงการคลัง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2033/2567 สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตาม ป.พ.พ. มาตรา 587 ถือเอาผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และการจ่ายสินจ้างถือเอาความสำเร็จของผลงานหรือตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อสัญญาจ้างดังกล่าวกำหนดชำระค่าจ้าง 3 งวด แต่มีเฉพาะงวดที่ 1 เท่านั้น ที่ถึงกำหนดชำระ ต้องถือว่าเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์ทั้ง 9 ครั้ง เป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ซึ่งถึงกำหนดชำระแล้ว ตามมาตรา 328 วรรคสอง อันมีผลทำให้อายุความในหนี้ค่าจ่างว่าความงวดที่ 1 สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายตามมาตรา 193/15 วรรคสอง คำฟ้องโจทก์เป็นการฟ้องเรียกเอาค่าการงานมีอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (16) เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่ขาดอายุความ *อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วมในสัญญาจ้างว่าความ มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือว่า จำเลยที่ 1 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 (1) และข้อความจริงใด เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะแต่ตัวลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 295 การที่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวชำระหนี้แก่โจทก์ อายุความจึงสะดุดหยุดลงเฉพาะแก่จำเลยที่ 2 หามีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมไม่ หนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องเริ่มนับแต่วันทำสัญญาจ้างซึ่งเป็นเวลาขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปีแล้ว ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความในงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความ *สำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 กำหนดชำระเมื่อสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วเสร็จ และงวดที่ 3 กำหนดชำระหนี้ก่อนนัดฟังคำพิพากษา 15 วัน มิใช่หนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อโจทก์ว่าความให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วเสร็จโดยตกลงกับคู่กรณีได้ ถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ถึงกำหนดชำระในวันดังกล่าว ตราบใดที่โจทก์ยังไม่เตือนให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองจึงยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัด เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองมีกำหนดเวลาให้นำเงินมาชำระหนี้ภายใน 7 วัน และจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแล้ว แต่เมื่อครบกำหนด 7 วัน จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ถือว่าจำเลยทั้งสองตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับค่าจ้างว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ได้ในวันถัดจากวันครบกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว
**โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,880,263.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,630,049 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระเงิน 729,951 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2 โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,880,263.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,630,049 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 330,049 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาให้ใน 2 ประเด็น *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2560 จำเลยทั้งสองทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความดำเนินคดีเรื่องที่ดินที่จำเลยทั้งสองมีข้อพิพาทกับทายาทอื่น โดยตกลงค่าจ้างเป็นค่าว่าความ ค่าวิชาชีพทนายความ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด สัญญาข้อ 2.1 ระบุว่า งวดที่ 1 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อตกลงทำสัญญาจ้างว่าความให้ดำเนินคดี ข้อ 2.2 ระบุว่า งวดที่ 2 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วเสร็จ และข้อ 2.3 ระบุว่า งวดสุดท้ายชำระ 1,000,000 บาท ก่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น 15 วัน โจทก์ดำเนินการฟ้องร้องและดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลจังหวัดชุมพรให้แก่จำเลยทั้งสองรวม 3 คดี คือ คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 โดยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 โจทก์และจำเลยได้ทำการสืบพยานกันเสร็จสิ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 และศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 มิถุนายน 2561 ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 อยู่ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 คู่ความในคดีทั้งสามสามารถตกลงกันได้ โดยคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ *ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่า ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความ ข้อ 2.1 ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงว่าจ้างกันในราคา 3,000,000 บาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด สัญญาข้อ 2.1 ระบุว่า งวดที่ 1 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อตกลงทำสัญญาจ้างว่าความให้ดำเนินคดี ข้อ 2.2 ระบุว่า งวดที่ 2 ชำระ 1,000,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วเสร็จ และข้อ 2.3 ระบุว่า งวดสุดท้ายชำระ 1,000,000 บาท ก่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น 15 วัน ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 2 ชำระเงินให้โจทก์มาแล้ว 9 ครั้ง รวมเป็นเงิน 369,951 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 การชำระเงินแต่ละครั้งจำเลยที่ 2 มิได้ระบุว่าชำระหนี้ในงวดใด เมื่อปรากฏว่า ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 มีเฉพาะหนี้งวดที่ 1 ตามสัญญาข้อ 2.1 เท่านั้นที่ถึงกำหนดชำระ ส่วนหนี้งวดที่ 2 และงวดที่ 3 ยังไม่ถึงกำหนดชำระเนื่องจากทั้งสามคดียังสืบพยานโจทก์จำเลยไม่แล้วเสร็จและยังไม่มีคดีใดนัดฟังคำพิพากษา จึงต้องถือว่าเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์ทั้ง 9 ครั้ง เป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ซึ่งถึงกำหนดชำระแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 วรรคสอง มีผลทำให้อายุความในหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ตามมาตรา 193/15 วรรคสอง คำฟ้องโจทก์เป็นกรณีทนายความฟ้องเรียกเอาค่าการงานที่ทำให้ มีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (16) เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความข้อ 2.1 ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงยังไม่ขาดอายุความ อย่างไรก็ตามจำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้ร่วม มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 (1) และข้อความจริงใดเมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะแต่ลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 295 การที่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียวชำระหนี้ให้แก่โจทก์ อายุความจึงสะดุดหยุดลงเฉพาะแก่จำเลยที่ 2 หามีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมไม่ หนี้ค่าว่าความงวดที่ 1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2560 ซึ่งเป็นเวลาขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา 193/12 เมื่อนับถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปี ฟ้องโจทก์ตามสัญญาจ้างว่าความข้อ 2.1 ในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ประเด็นนี้ฟังขึ้นบางส่วน *ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อที่สองมีว่า โจทก์ควรได้รับค่าจ้างว่าความเท่าใด เห็นว่า สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 จึงถือเอาผลสำเร็จแห่งการงานที่จ้างเป็นสำคัญ และการจ่ายสินจ้างต้องถือเอาความสำเร็จของผลงานหรือตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้น คู่สัญญาอาจจะตกลงเงื่อนไข เงื่อนเวลา หรือขั้นตอนในการชำระหนี้กันอย่างไรก็ได้ การที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเงื่อนไขการชำระเงินค่าจ้างว่าความกันไว้โดยแบ่งชำระเป็น 3 งวด งวดที่ 1 จำนวน 1,000,000 บาท เมื่อตกลงทำสัญญาจ้างว่าความให้ดำเนินคดี งวดที่ 2 จำนวน 1,000,000 บาท เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วเสร็จ และงวดสุดท้ายจำนวน 1,000,000 บาท ก่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น 15 วัน ย่อมสามารถกระทำได้ และข้อตกลงดังกล่าวมิใช่เป็นการกำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยแต่อย่างใด เมื่อโจทก์ทำการงานโดยดำเนินคดีให้แก่จำเลยทั้งสองที่ศาลจังหวัดชุมพรรวม 3 คดี จนต่อมาวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 จำเลยทั้งสองสามารถตกลงกับคู่กรณีในคดีทั้งสามได้ โดยคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 คู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ทำการงานสำเร็จตามที่ตกลงว่าจ้างกันแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับสินจ้างตามผลแห่งการงานที่ได้กระทำไป อย่างไรก็ดี เมื่อคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 สำเร็จไปเพราะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอม ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 สำเร็จไปโดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาอัตราค่าจ้างให้ตามสมควรแก่ผลแห่งการงานที่โจทก์ได้กระทำไป เมื่อพิเคราะห์ถึงการงานที่โจทก์ทำ โดยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 422/2560 โจทก์และจำเลยได้ทำการสืบพยานกันเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 278/2560 และคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 423/2560 อยู่ระหว่างนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย ยังมิได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด ดังนี้ จึงเห็นควรกำหนดค่าจ้างว่าความให้โจทก์ตามสัญญาข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.3 ในแต่ละงวดจำนวนครึ่งหนึ่ง กล่าวคือ งวดที่ 1 จำนวน 500,000 บาท งวดที่ 2 จำนวน 500,000 บาท และงวดที่ 3 จำนวน 500,000 บาท เมื่อนำเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์มาแล้ว 369,951 ซึ่งเป็นการชำระหนี้ในงวดที่ 1 ตามที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วมาหักออกจากค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 คงเหลือค่าจ้างว่าความในงวดที่ 1 จำนวน 130,049 บาท รวมเป็นเงินค่าจ้างว่าความทั้งสามงวดที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น 1,130,049 บาท ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 เนื่องจากคดีขาดอายุความ จึงคงเหลือค่าว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้น 1,000,000 บาท และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยทั้งสองผิดนัดเป็นต้นไป โดยค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินในวันทำสัญญาคือวันที่ 11 กันยายน 2560 เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามกำหนด จึงตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง นับแต่วันที่ 12 กันยายน 2560 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี เมื่อคำฟ้องโจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 จึงกำหนดให้โจทก์คิดดอกเบี้ยสำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 1 ได้นับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 ตามที่โจทก์ขอ สำหรับค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 นั้น มิใช่หนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อคดีที่โจทก์ว่าความให้แก่จำเลยทั้งสองในศาลจังหวัดชุมพรทั้งสามคดี จำเลยทั้งสองสามารถตกลงกับคู่กรณีได้ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 จึงถือว่าหนี้ค่าจ้างว่าความงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ถึงกำหนดชำระในวันที่ดังกล่าว แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้เตือนให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองก็ยังไม่ได้ชื่อว่าผิดนัด ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยทั้งสองโดยกำหนดเวลาให้นำเงินมาชำระหนี้ภายใน 7 วัน จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 3 ธันวาคม 2561 จำเลยที่ 1 มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ดังนี้ จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดสำหรับค่าจ้างว่าความในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ได้นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป ส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 ครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 2 ธันวาคม 2561 จำเลยที่ 2 มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามหนังสือทวงถามดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง และโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป ฎีกาของโจทก์ประเด็นนี้ฟังขึ้นบางส่วน *อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยมิได้กำหนดว่ากรณีที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ก็ให้ใช้ดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนนั้นและต้องบวกเพิ่มอีกร้อยละ 2 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ประกอบมาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 เป็นการไม่ชอบ ปัญหาเรื่องการคิดดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) *พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 1,113,049 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 และของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 ต้นเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ชำระให้แก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยของต้นเงินทุกจำนวนให้ชำระในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ถ้ากระทรวงการคลังกำหนดปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปนั้นบวกด้วยอัตราร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ • อายุความค่าจ้างว่าความ • การชำระหนี้และการหยุดอายุความ • ดอกเบี้ยผิดนัดในสัญญาจ้าง • คดีฟ้องร้องค่าว่าความ • การนับอายุความตามกฎหมายแพ่ง • สัญญาจ้างทำของ มาตรา 587 • มาตรา 193/34 (16) อายุความทนายความ • การผิดนัดชำระหนี้ มาตรา 204 • ตัวอย่างคดีเกี่ยวกับสัญญาว่าความ สรุปย่อฎีกา โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,880,263.94 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี จากต้นเงิน 2,630,049 บาท โดยจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 2 ฟ้องแย้งให้ยกฟ้องและเรียกเงิน 729,951 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 2,880,263.94 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แก้ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 330,049 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2561 ถึง 10 เมษายน 2564 และ 5% ตั้งแต่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป โดยปรับเปลี่ยนตามอัตราดอกเบี้ยกระทรวงการคลัง แต่ไม่เกิน 7.5% คำวินิจฉัยศาลฎีกา 1.อายุความค่าจ้างว่าความข้อ 2.1 โจทก์เรียกร้องเงินงวดที่ 1 ได้ เนื่องจากมีการชำระเงิน อายุความสดุดหยุดลงในวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 และฟ้องไม่เกิน 2 ปี แต่สำหรับจำเลยที่ 1 คดีขาดอายุความเพราะไม่ได้ชำระหนี้ 2.ค่าจ้างตามผลการทำงาน ศาลกำหนดค่าจ้างตามความสำเร็จของคดีเป็นครึ่งหนึ่งในแต่ละงวด รวมเป็น 1,500,000 บาท โดยหักเงินที่ชำระแล้ว 369,951 บาท 3.ดอกเบี้ยผิดนัด กำหนดดอกเบี้ย 7.5% สำหรับค่าจ้างงวดที่ 1 ตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน 2561 และงวดที่ 2 และ 3 ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2561 พร้อมปรับดอกเบี้ย 5% ตั้งแต่ 11 เมษายน 2564 หากมีการเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย พิพากษาศาลฎีกา แก้ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 1,113,049 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน 2561 และ 5% ตั้งแต่ 11 เมษายน 2564 โดยจำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดเฉพาะเงิน 1,000,000 บาท และดอกเบี้ยในส่วนที่กำหนด พร้อมให้ปรับตามอัตราดอกเบี้ยกระทรวงการคลังแต่ไม่เกิน 7.5% ***หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) เนื้อหา: การชำระหนี้โดยลูกหนี้ มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง อธิบาย: เมื่อมีการชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน แม้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าชำระหนี้งวดใด การกระทำดังกล่าวถือเป็นการแสดงให้เห็นว่าลูกหนี้ยอมรับหนี้ ส่งผลให้อายุความที่นับอยู่หยุดลงทันที 2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/15 วรรคสอง เนื้อหา: เมื่ออายุความสะดุดหยุดลง จะเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ทำให้เกิดการสะดุด อธิบาย: ตัวอย่างในคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ชำระเงินครั้งสุดท้ายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2561 ทำให้อายุความเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันนั้น 3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (16) เนื้อหา: อายุความสำหรับการฟ้องร้องค่าว่าความหรือค่าบริการทางวิชาชีพของทนายความมีระยะเวลา 2 ปี อธิบาย: การฟ้องร้องเรียกค่าว่าความของโจทก์ในคดีนี้ต้องดำเนินการภายใน 2 ปีนับจากวันที่เกิดสิทธิ หากเกินระยะเวลาดังกล่าว คดีจะขาดอายุความ 4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง เนื้อหา: หนี้ที่กำหนดวันชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน ลูกหนี้จะเป็นผู้ผิดนัดทันทีที่ถึงกำหนดโดยไม่ต้องมีการทวงถาม อธิบาย: ตัวอย่างเช่น ค่าจ้างงวดที่ 1 ของโจทก์มีกำหนดชำระในวันที่ 11 กันยายน 2560 หากจำเลยไม่ชำระเงินในวันดังกล่าว ถือเป็นการผิดนัดโดยไม่ต้องมีการแจ้งเตือน 5. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เนื้อหา: กรณีผิดนัดชำระหนี้ ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราที่กฎหมายกำหนด อธิบาย: ในคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัดตามอัตราที่กำหนด 6. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 วรรคสอง เนื้อหา: การชำระหนี้โดยลูกหนี้โดยไม่ได้ระบุชัดเจนว่าชำระหนี้งวดใด ต้องถือว่าชำระหนี้ที่ถึงกำหนดก่อน อธิบาย: ในคดีนี้ เงินที่จำเลยที่ 2 ชำระในแต่ละครั้งโดยไม่ได้ระบุว่าชำระหนี้งวดใด ศาลจึงพิจารณาว่าเป็นการชำระหนี้งวดแรกที่ถึงกำหนดก่อน 7. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 เนื้อหา: สัญญาจ้างทำของ ถือเอาผลสำเร็จของงานที่ตกลงกันเป็นสำคัญ อธิบาย: ในคดีนี้ สัญญาจ้างว่าความของโจทก์กำหนดให้แบ่งจ่ายค่าจ้างตามความสำเร็จของแต่ละขั้นตอนในคดี การชำระค่าจ้างจึงต้องพิจารณาตามผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจริง 8. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 (1) เนื้อหา: ข้อความจริงใดที่กล่าวถึงลูกหนี้ร่วมคนหนึ่ง ย่อมมีผลเฉพาะแต่กับลูกหนี้คนนั้น อธิบาย: ในคดีนี้ แม้จำเลยที่ 2 ชำระเงินบางส่วน ซึ่งมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง แต่ผลดังกล่าวจะส่งผลเฉพาะจำเลยที่ 2 เท่านั้น ไม่ส่งผลต่อจำเลยที่ 1 การเชื่อมโยงกฎหมายกับคดี การอธิบายหลักกฎหมายข้างต้นช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าการพิจารณาคดีนี้พิจารณาตามกรอบกฎหมายอย่างไร ทั้งในเรื่องการชำระหนี้ การนับอายุความ การเรียกค่าจ้างตามผลการทำงาน และการคิดดอกเบี้ยผิดนัด **อายุความสะดุดหยุดลง (Interruption of Limitation Period) ความหมายของอายุความสะดุดหยุดลง อายุความสะดุดหยุดลง หมายถึง การที่อายุความหยุดดำเนินไปชั่วคราวจากเหตุการณ์บางประการ ซึ่งทำให้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิได้รับการคุ้มครองจากการสูญเสียสิทธิในทางกฎหมายชั่วคราวตามบทบัญญัติของกฎหมาย เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดลง อายุความจะเริ่มนับใหม่ตั้งแต่ต้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมาย หลักการทางกฎหมายเกี่ยวกับอายุความสะดุดหยุดลง กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทยกำหนดหลักเกี่ยวกับอายุความสะดุดหยุดลงไว้ในมาตรา 193/14 – 193/16 โดยกำหนดเงื่อนไขและเหตุการณ์ที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงไว้ ดังนี้: 1.การใช้สิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย oหากเจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกร้องสิทธิของตนเอง หรือดำเนินการตามกฎหมายใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นการบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ อายุความจะสะดุดหยุดลงในวันที่ยื่นฟ้อง 2.การยอมรับหนี้ของลูกหนี้ oในกรณีที่ลูกหนี้แสดงออกถึงการยอมรับหนี้ เช่น การชำระหนี้บางส่วน การจ่ายดอกเบี้ย การมอบหลักประกัน หรือการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ อายุความจะสะดุดหยุดลงในวันที่ลูกหนี้ดำเนินการดังกล่าว 3.การตกลงประนีประนอม oหากมีการตกลงระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับหนี้สิน เช่น การยอมลดหนี้บางส่วนหรือการปรับเงื่อนไขในการชำระหนี้ ถือว่าอายุความสะดุดหยุดลงเช่นเดียวกัน ผลของอายุความสะดุดหยุดลง เมื่อเกิดเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง จะส่งผลให้อายุความ: •หยุดนับในวันที่เกิดเหตุที่กำหนดไว้ในกฎหมาย •เริ่มนับระยะเวลาใหม่เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดลง ตัวอย่างเช่น หากอายุความกำหนดไว้ 5 ปี และมีการฟ้องร้องในปีที่ 3 อายุความจะเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ฟ้องคดี ตัวอย่างคดีที่เกี่ยวข้องกับอายุความสะดุดหยุดลง 1.กรณีที่เจ้าหนี้ยื่นฟ้องลูกหนี้ในปีที่ 2 หลังเกิดสิทธิเรียกร้อง อายุความจะหยุดนับในวันที่ฟ้องคดี และเมื่อคดีสิ้นสุดโดยยังไม่ได้ชำระหนี้ อายุความจะเริ่มนับใหม่ตั้งแต่ต้น 2.ลูกหนี้ได้ชำระดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้ในปีที่ 4 หลังจากเกิดหนี้ อายุความจะสะดุดหยุดลงและเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ชำระดอกเบี้ย กฎหมายที่เกี่ยวข้อง •ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 กำหนดว่าอายุความจะสะดุดหยุดลงเมื่อมีการฟ้องคดี การยอมรับหนี้ หรือการตกลงประนีประนอม •ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 68 ระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับการนับอายุความใหม่หลังจากคดีที่เกี่ยวข้องสิ้นสุดลง บทสรุป อายุความสะดุดหยุดลงเป็นกลไกที่กฎหมายออกแบบเพื่อป้องกันความเสียหายแก่เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิในกรณีที่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถบังคับสิทธิได้ทันเวลา เจ้าหนี้ควรติดตามสถานะของคดีหรือการดำเนินการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าสิทธิของตนได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม. |