
(ฎีกาที่ 3118/2567) การเลิกจ้างครูโรงเรียนเอกชน ผู้รับใบอนุญาตไม่ต้องร่วมรับผิดส่วนตัว, ค่าชดเชยเลิกจ้าง, ครูเอกชน, คดีแรงงาน,
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทแรงงานระหว่างครูโรงเรียนเอกชนกับโรงเรียนและผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้าง ค่าชดเชย และค่าเสียโอกาสจากการถูกเลิกจ้าง โดยมีประเด็นสำคัญว่าผู้รับใบอนุญาตต้องรับผิดร่วมกับโรงเรียนในฐานะนายจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้รับใบอนุญาตเป็นเพียงผู้แทนนิติบุคคลโรงเรียนเอกชน ไม่ต้องรับผิดส่วนตัว ความรับผิดเป็นของโรงเรียนซึ่งเป็นนิติบุคคลแต่เพียงผู้เดียว
สรุปข้อเท็จจริง • โจทก์เป็นครูโรงเรียนเอกชน สอนตั้งแต่ปี 2557 ถึงมีนาคม 2564 ถูกเลิกจ้างโดยไม่สมัครใจ • โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างค้าง ค่าชดเชย และค่าเสียโอกาส รวม 886,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย • จำเลยที่ 1 คือโรงเรียนเอกชน จำเลยที่ 2 คือผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน • ศาลแรงงานภาค 1 พิพากษาให้จ่ายค่าชดเชย 432,000 บาท แต่จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดส่วนตัว • ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้ ให้จ่ายเพียง 324,000 บาท และให้จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิด • คดีขึ้นฎีกา โดยมีประเด็นสำคัญว่าผู้รับใบอนุญาตต้องรับผิดร่วมกับโรงเรียนหรือไม่
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ศาลฎีกาเห็นว่า โรงเรียนเอกชนเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้แทนของโรงเรียนตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 24 • การกระทำของจำเลยที่ 2 อยู่ในขอบอำนาจตาม ป.พ.พ. มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 • ผู้แทนไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวในหนี้นิติบุคคล • จึงพิพากษาแก้ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดเฉพาะโรงเรียนเอกชน (จำเลยที่ 1)
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. สถานะนิติบุคคลของโรงเรียนเอกชน o โรงเรียนเอกชนในระบบมีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยตรง ไม่ใช่เพียงบุคคลธรรมดาหรือผู้รับใบอนุญาต o หนี้แรงงาน เช่น ค่าชดเชยเลิกจ้าง ต้องเป็นความรับผิดของนิติบุคคลโรงเรียน 2. บทบาทผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชน o พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้แทนในการดำเนินกิจการ o แต่ไม่ใช่ “เจ้าหนี้ร่วม” หรือต้องรับผิดแทนนิติบุคคล 3. การบังคับใช้ ป.พ.พ. มาตรา 77 และ 820 o มาตรา 77: การกระทำของตัวแทนภายในขอบอำนาจ เป็นผลผูกพันกับนิติบุคคล o มาตรา 820: ผู้แทนไม่ต้องรับผิดส่วนตัว เว้นแต่กระทำเกินขอบอำนาจ o ศาลยืนยันหลักการว่า ผู้รับใบอนุญาตไม่ต้องร่วมรับผิด
IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชน ต้องรับผิดร่วมกับโรงเรียนในหนี้ค่าชดเชยแรงงานหรือไม่ Rule (กฎเกณฑ์) • พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 24: ผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้แทนนิติบุคคล • ป.พ.พ. มาตรา 77: การกระทำภายในขอบอำนาจผูกพันนิติบุคคล • ป.พ.พ. มาตรา 820: ตัวแทนไม่ต้องรับผิดส่วนตัว เว้นแต่กระทำเกินขอบอำนาจ Application (การประยุกต์ใช้) • จำเลยที่ 2 (ผู้รับใบอนุญาต) ดำเนินการภายในขอบอำนาจ ไม่ใช่การกระทำเกินเลย • หนี้ค่าชดเชยแรงงานเป็นความรับผิดของโรงเรียนเอกชนในฐานะนิติบุคคล • การฟ้องให้ผู้รับใบอนุญาตรับผิดส่วนตัวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย Conclusion (ข้อสรุป) ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชนไม่ต้องรับผิดร่วมกับโรงเรียนในหนี้ค่าชดเชยเลิกจ้าง ความรับผิดเป็นของโรงเรียนเอกชนแต่เพียงผู้เดียว
ข้อคิดทางกฎหมาย • ครูและลูกจ้างควรทราบว่านายจ้างที่แท้จริงในโรงเรียนเอกชนคือโรงเรียนในฐานะนิติบุคคล ไม่ใช่ผู้รับใบอนุญาต • ฝ่ายผู้ประกอบการโรงเรียนควรจัดระบบบริหารงานและบันทึกการจ้างอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันข้อพิพาท • คำพิพากษานี้ยืนยันหลักการว่า “ผู้แทนนิติบุคคล” ไม่ต้องรับผิดส่วนตัว เว้นแต่กระทำเกินขอบอำนาจ
English Summary The Supreme Court Judgment No. 3118/2024 concerns a labor dispute involving a private school teacher’s dismissal. The key issue was whether the school licensee (as the legal representative of the school) must personally share liability for severance pay. The Court ruled that under the Private School Act B.E. 2550 and Civil and Commercial Code Sections 77 and 820, the licensee acts only as a representative of the school entity. Therefore, only the private school, as a juristic person, is liable for severance, while the licensee bears no personal liability.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3118/2567
จำเลยที่ 1 เป็นโรงเรียนเอกชนในระบบและเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียน และเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 24 เมื่อ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชนในระบบมีฐานะเป็นผู้แทนของโรงเรียน และการดำเนินกิจการของโรงเรียน ให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการให้มีคณะกรรมการบริหารเพื่อบริหารกิจการโรงเรียนโดยที่ไม่ได้กำหนดเรื่องความรับผิดของผู้รับใบอนุญาตไว้เป็นการเฉพาะต่างหาก ดังนั้น จึงต้องบังคับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 คดีนี้โจทก์เป็นครูโรงเรียนเอกชนและเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะโรงเรียนเอกชนและเป็นนายจ้าง และฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งจำเลยที่ 1 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 ในขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย 130,500 บาท ค่าชดเชย 432,000 บาท และค่าเสียโอกาสในการทำงานของโจทก์ 324,000 บาท รวมเป็นเงิน 886,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะร่วมกันหรือแทนกันชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าชดเชย 432,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 2 กรกฎาคม 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชย 324,000 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 1 จำเลยทั้งสองฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 1 รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชน ประเภทโรงเรียนสามัญศึกษา จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งจำเลยที่ 1 ตามหนังสือแจ้งข้อมูลโรงเรียน โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตำแหน่งสุดท้ายของโจทก์เป็นครูต่างชาติ แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้กระทำความผิดและมิได้ลาออกโดยสมัครใจ โจทก์ทำงานกับจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงวันเลิกจ้างเดือนมีนาคม 2564 ติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชย 8 เดือน ของค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 54,000 บาท ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2542 ข้อ 32 (4) เป็นเงิน 432,000 บาท ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญและครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2542 ข้อ 32 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้จ่ายค่าชดเชยแก่ครู จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 เมื่อจำเลยที่ 2 กระทำการไปภายในขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า จำเลยที่ 1 อนุมัติให้โจทก์เข้าเริ่มงานวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 เป็นวันที่บรรจุเข้าทำการสอน มิใช่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 เมื่อนับระยะเวลาถึงวันเลิกสัญญาวันที่ 15 มีนาคม 2564 ติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี จำเลยทั้งสองต้องจ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่า 6 เดือน ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย เป็นเงิน 324,000 บาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกามีว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้แทนนิติบุคคลของโรงเรียนจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำภายในขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เป็นโรงเรียนเอกชนในระบบและเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียน และเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 24 เมื่อพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนเอกชนในระบบมีฐานะเป็นผู้แทนของโรงเรียน และการดำเนินกิจการของโรงเรียน ให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการให้มีคณะกรรมการบริหารเพื่อบริหารกิจการโรงเรียนโดยที่ไม่ได้กำหนดเรื่องความรับผิดของผู้รับใบอนุญาตไว้เป็นการเฉพาะต่างหาก ดังนั้น จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 คดีนี้โจทก์เป็นครูโรงเรียนเอกชนและเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะโรงเรียนเอกชนและเป็นนายจ้าง และฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งจำเลยที่ 1 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 ในขอบอำนาจ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 1 ที่ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยต่อโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
|