
(ฎีกาที่ 1319/2568)การแบ่งสินสมรส บ้านและที่ดินหลังหย่า ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการแบ่งสินสมรสระหว่างคู่สมรสภายหลังหย่า โดยมีการทำบันทึกข้อตกลงว่าจะขายบ้านพร้อมที่ดินและคืนเงินส่วนหนึ่งให้ฝ่ายสามี และให้ส่วนเกินเป็นของฝ่ายภริยา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีถือเป็นการขายตามข้อตกลงเช่นกัน แต่เมื่อราคาขายได้ต่ำกว่า 2,800,000 บาท จึงไม่มีส่วนเกินที่จะแบ่งให้ภริยาได้
ข้อเท็จจริงของคดี • จำเลยทั้งสอง (สามีและภริยา) ซื้อบ้านพร้อมที่ดินระหว่างสมรส โดยชำระราคาบางส่วนและกู้จากธนาคารพร้อมจำนอง • ต่อมามีการหย่าและทำบันทึกท้ายทะเบียนหย่า กำหนดว่า “ขายบ้านได้แล้วจะคืน 2,800,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 (สามี) ส่วนที่เหลือให้จำเลยที่ 2 (ภริยา)” • บ้านถูกขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี ได้ราคา 2,590,000 บาท ต่ำกว่าที่กำหนด • ภริยา (จำเลยที่ 2) ยื่นคำร้องขอแบ่งเงินครึ่งหนึ่ง (1,295,000 บาท) โดยอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของรวม
คำวินิจฉัยของศาล • ศาลชั้นต้น: ยกคำร้องขอของจำเลยที่ 2 • ศาลอุทธรณ์: กลับคำพิพากษา ให้แบ่งเงินครึ่งหนึ่งแก่จำเลยที่ 2 • ศาลฎีกา: พิพากษากลับอีกครั้ง โดยเห็นว่าทรัพย์สินที่ซื้อระหว่างสมรสถือเป็นสินสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 และข้อตกลงหย่าชัดเจนว่า ส่วนเกินจาก 2,800,000 บาทเท่านั้นจึงจะเป็นของจำเลยที่ 2 ดังนั้นเมื่อขายทอดตลาดได้เพียง 2,590,000 บาท ต่ำกว่าที่กำหนด จึงไม่มีเงินส่วนเกินที่จะกันให้
ประเด็นกฎหมายที่สำคัญ 1. สินสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 o ทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรส แม้ใช้เงินส่วนตัวของฝ่ายหนึ่งบางส่วน ก็ยังถือเป็นสินสมรส ต้องแบ่งเมื่อหย่า 2. การตีความบันทึกข้อตกลงหย่า o ศาลตีความว่า การขาย “ไม่จำกัดวิธีการ” จึงครอบคลุมถึงการขายทอดตลาดโดยบังคับคดี o ข้อตกลงมีผลว่า ภริยามีสิทธิได้เฉพาะส่วนเกินจาก 2,800,000 บาทเท่านั้น 3. ผลของการขายทอดตลาดต่ำกว่าเกณฑ์ o เมื่อราคาขายไม่ถึง 2,800,000 บาท ถือว่าไม่มีเงินส่วนเกินที่จะโอนสิทธิแก่จำเลยที่ 2
วิเคราะห์ทางกฎหมาย • ลักษณะคดี: คดีครอบครัวและทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส • การตีความมาตรา 1532 ป.พ.พ.: เป็นบทบัญญัติหลักที่กำหนดให้ทรัพย์สินที่ได้ระหว่างสมรสเป็นสินสมรส • การใช้สัญญาหย่า: ข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเป็นเอกสารที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย หากไม่ได้กำหนดเงื่อนไขราคาเกิน 2.8 ล้านบาท การขายต่ำกว่าเกณฑ์ย่อมทำให้ฝ่ายภริยาไม่ได้สิทธิในส่วนแบ่ง • แนวทางฎีกา: ศาลฎีกาตอกย้ำหลักการว่า สัญญาหย่ามีผลจำกัดสิทธิไว้ตามข้อตกลง ไม่อาจขยายความให้ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์เกินเงื่อนไข
IRAC Analysis Issue (ประเด็น): จำเลยที่ 2 (ภริยา) มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินกึ่งหนึ่ง ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ Rule (กฎหมาย): • ป.พ.พ. มาตรา 1532: ทรัพย์สินที่ได้ในระหว่างสมรสเป็นสินสมรส ต้องแบ่งเมื่อหย่า • หลักการตีความสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 368: ต้องตีความตามถ้อยคำและเจตนาของคู่สัญญา Application (การประยุกต์): • บ้านและที่ดินเป็นสินสมรสจริง • ข้อตกลงหย่ากำหนดว่า หากขายได้ จะคืน 2,800,000 บาทให้สามี ส่วนเกินเป็นของภริยา • ราคาขายทอดตลาด 2,590,000 บาท ต่ำกว่า 2,800,000 บาท จึงไม่มีส่วนเกินที่แบ่งได้ • การตีความสัญญาต้องยึดตามถ้อยคำ ไม่อาจขยายสิทธิให้ภริยาได้ครึ่งหนึ่งของเงินทั้งหมด Conclusion (ข้อสรุป): จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเงินกึ่งหนึ่ง ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอ
ข้อคิดทางกฎหมาย • การทำบันทึกข้อตกลงหย่าต้องระบุชัดเจนทั้งเรื่องวิธีขายและการแบ่งผลประโยชน์ หากเงื่อนไขไม่ครอบคลุม อาจตีความให้เสียสิทธิได้ • การขายทอดตลาดถือเป็นการขายตามกฎหมายที่มีผลผูกพันคู่สัญญา • การตีความสัญญาจะยึดตามถ้อยคำ ไม่อาจอ้างสิทธิเกินจากข้อตกลงที่กำหนดไว้
English Summary The Supreme Court Decision No. 1319/2025 concerns the division of marital property after divorce. The couple agreed in their divorce settlement to sell the house and land, repay 2.8 million baht to the husband, and allocate any surplus to the wife. The property was sold at auction for only 2.59 million baht, below the agreed threshold. The Court held that no surplus existed; therefore, the wife could not claim a share.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1319/2568 จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากบริษัท อ. ราคา 3,150,000 บาท มาในระหว่างสมรสโดยจำเลยที่ 1 ชำระเงินบางส่วนแก่ผู้ขาย และจำเลยทั้งสองร่วมกันกู้ยืมเงินจากธนาคาร ท. นำเงินไปชำระหนี้ส่วนที่เหลือ โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทดังกล่าวไว้เป็นประกัน ย่อมถือได้ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นสินสมรสของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นทรัพย์สินของสามีภริยาที่ต้องจัดการแบ่งกันเมื่อหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1532 ได้ความตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าว่า จำเลยทั้งสองตกลงเรื่องทรัพย์สินว่า จำเลยทั้งสองตกลงขายบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าว หลังจากขายได้จะคืนเงิน 2,800,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 ส่วนที่เหลือจากการขายได้ให้เป็นของจำเลยที่ 2 แต่บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าไม่มีข้อความใดที่อาจแปลความได้ว่า การขายทรัพย์พิพาทในข้อตกลงตามบันทึกจะต้องเป็นการที่จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 นำทรัพย์พิพาทออกขายกันเอง จึงต้องหมายถึงการขายทอดตลาดเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลด้วย ทั้งในข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าดังกล่าวหาได้มีเงื่อนไขให้จำเลยทั้งสองต้องขายทรัพย์พิพาทให้ได้ราคามากกว่า 2,800,000 บาท และหากขายทรัพย์พิพาทได้ราคาน้อยกว่า 2,800,000 บาท จะถือเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันในบันทึกท้ายทะเบียนการหย่าและเป็นกรณีที่เงื่อนไขในเรื่องราคาทรัพย์พิพาทไม่อาจปฏิบัติได้ไม่ เมื่อได้ความว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทอันเป็นสินสมรสดังกล่าวได้เงิน 2,590,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนไม่ถึง 2,800,000 บาท จึงไม่มีเงินส่วนที่เกิน 2,800,000 บาท ที่จะกันให้แก่จำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดได้เงิน 2,590,000 บาท เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์พิพาท และจำเลยที่ 2 มิได้เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทั้งไม่รู้เห็นเรื่องหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 โจทก์จะบังคับคดีให้กระทบกระเทือนสิทธิของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ ขอให้มีคำสั่งกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,295,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 1 ยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งเป็นจำนวน 1,295,000 บาท ให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แทนจำเลยที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวม 10,000 บาท โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และนางนิตย์ ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 เดิมจำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2554 ในระหว่างสมรสเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากบริษัท อ. ในราคา 3,150,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 นำเงินที่ได้รับจากโจทก์ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 170,000 บาท ไปชำระราคาบางส่วนและจำเลยทั้งสองร่วมกันกู้ยืมเงิน 2,990,000 บาท จากธนาคาร ท. นำไปชำระราคาส่วนที่เหลือ และจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไว้กับธนาคารดังกล่าวเป็นประกันเงินกู้ วันที่ 7 กันยายน 2557 จำเลยที่ 1 ได้รับเงินจากโจทก์ 2,800,000 บาท นำไปชำระหนี้เงินกู้และไถ่ถอนจำนองทรัพย์พิพาทจากธนาคาร ท. เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2557 โดยจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อความลงวันที่ 7 กันยายน 2557 มอบให้แก่โจทก์ระบุว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ 2 ครั้ง ตามจำนวนเงินที่ได้รับจากโจทก์ดังกล่าวข้างต้นรวมเป็นเงิน 2,970,000 บาท และลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 จำเลยทั้งสองจดทะเบียนหย่าและทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าว่า เรื่องทรัพย์สิน จำเลยทั้งสองตกลงขายบ้านพร้อมที่ดิน หลังจากขายได้จะคืนเงิน 2,800,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 ส่วนที่เหลือจากการขายได้ให้ตกเป็นของจำเลยที่ 2 ต่อมาโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ 2,970,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกาและขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ฎีกาและไม่รับฎีกาของโจทก์ คดีจึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจำนวน 1,295,000 บาท ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากบริษัท อ. ราคา 3,150,000 บาท มาในระหว่างสมรสโดยจำเลยที่ 1 ชำระเงินบางส่วนแก่ผู้ขาย และจำเลยทั้งสองร่วมกันกู้ยืมเงินจากธนาคาร ท. นำเงินไปชำระหนี้ส่วนที่เหลือ โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทดังกล่าวไว้เป็นประกัน ย่อมถือได้ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นสินสมรสของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นทรัพย์สินของสามีภริยาที่ต้องจัดการแบ่งกันเมื่อหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1532 ซึ่งได้ความว่า จำเลยทั้งสองตกลงเรื่องทรัพย์สินว่า จำเลยทั้งสองตกลงขายบ้านพร้อมที่ดิน หลังจากขายได้จะคืนเงิน 2,800,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 ส่วนที่เหลือจากการขายได้ให้เป็นของจำเลยที่ 2 ส่วนเหตุที่จำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวนั้นได้ความตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในสำนวนคดีหลักว่า จำเลยที่ 1 นำเงินที่ได้รับจากโจทก์ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 170,000 บาท ไปชำระราคาบางส่วนให้แก่บริษัท อ. และเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2557 จำเลยที่ 1 ได้รับเงินจากโจทก์ 2,800,000 บาท นำไปชำระหนี้เงินกู้และไถ่ถอนจำนองทรัพย์พิพาทจากธนาคาร ท. เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2557 ซึ่งในชั้นไต่สวนคำร้องขอ จำเลยที่ 2 ก็เบิกความตอบทนายโจทก์และทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าว สอดคล้องกับคำให้การของจำเลยที่ 2 ในสำนวนคดีหลักว่า จำเลยที่ 2 ทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าเพราะเงินจำนวนดังกล่าวมิใช่เงินของจำเลยที่ 2 จึงประสงค์ที่จะขอรับส่วนที่เหลือจากการขายซึ่งเป็นส่วนที่จำเลยที่ 2 ผ่อนชำระด้วยตนเอง ย่อมบ่งชัดว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าจำเลยที่ 1 นำเงินสินส่วนตัวที่ได้รับให้โดยเสน่หาจากโจทก์ไปไถ่จำนอง จึงตกลงแบ่งสินสมรสซึ่งเป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยให้ขายและเมื่อขายได้แล้วให้คืนเงิน 2,800,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ขอรับเงินเฉพาะส่วนที่ขายได้มากกว่า 2,800,000 บาท เท่านั้น บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าซึ่งเป็นสัญญาแบ่งสินสมรสย่อมมีผลบังคับระหว่างกันดังกล่าว ส่วนที่จำเลยที่ 2 แก้ฎีกาว่า การขายทรัพย์พิพาทในข้อตกลงตามบันทึกท้ายทะเบียนการหย่าจะต้องเป็นการที่จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 นำทรัพย์พิพาทออกขายกันเอง มิใช่การถูกบังคับคดีขายทอดตลาดนั้น ก็ไม่มีข้อความใดในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าที่อาจแปลความได้เช่นว่านั้น จึงต้องหมายถึงการขายทอดตลาดเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลด้วยทั้งในข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าดังกล่าวหาได้มีเงื่อนไขให้จำเลยทั้งสองต้องขายทรัพย์พิพาทให้ได้ราคามากกว่า 2,800,000 บาท และหากขายทรัพย์พิพาทได้ราคาน้อยกว่า 2,800,000 บาท จะถือเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันในบันทึกท้ายทะเบียนการหย่าและเป็นกรณีที่เงื่อนไขในเรื่องราคาทรัพย์พิพาทไม่อาจปฏิบัติได้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ดังนี้ เมื่อได้ความว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทอันเป็นสินสมรสดังกล่าวได้เงิน 2,590,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนไม่ถึง 2,800,000 บาท จึงไม่มีเงินส่วนที่เกิน 2,800,000 บาท ที่จะกันให้แก่จำเลยที่ 2 ตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ประการอื่นอีกเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 📌 มาตรา 1532 ป.พ.พ. – สินสมรสและการแบ่งหลังหย่า ข้อความกฎหมาย: “ทรัพย์สินใด ๆ ที่ได้มาในระหว่างสมรส ให้เป็นสินสมรสของสามีภริยา เว้นแต่กฎหมายจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อหย่ากัน ให้แบ่งสินสมรสกึ่งหนึ่งแก่คู่สมรสแต่ละฝ่าย” หลักการสำคัญ: 1. ทรัพย์ที่ได้มาในระหว่างสมรส ไม่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้หา หรือแม้จะใช้เงินส่วนตัวของฝ่ายใดบางส่วน หากเป็นการได้มาระหว่างสมรส ถือเป็น “สินสมรส” 2. สินสมรสต้องแบ่งเมื่อหย่า โดยหลักคือแบ่งครึ่ง เว้นแต่มีข้อตกลงหรือข้อกฎหมายพิเศษ 3. มาตรานี้เป็นกฎหมายเพื่อคุ้มครองทั้งสองฝ่าย และสร้างความชัดเจนในการจัดการทรัพย์สินหลังการสมรสสิ้นสุด เชื่อมโยงกับฎีกาที่ 1319/2568: • บ้านและที่ดินที่จำเลยทั้งสองซื้อระหว่างสมรส แม้ใช้เงินบางส่วนจากฝ่ายสามีและกู้ยืมร่วมกัน ก็ถือเป็นสินสมรส ต้องนำมาจัดการแบ่งกันเมื่อหย่า • การแบ่งสินสมรสเป็นไปตามข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่า โดยกำหนดคืน 2.8 ล้านบาทให้สามี ส่วนเกินเป็นของภริยา 📌 มาตรา 368 ป.พ.พ. – การตีความสัญญา ข้อความกฎหมาย: “เมื่อสัญญามีข้อความไม่ชัดเจน ให้ตีความตามเจตนารมณ์ของคู่สัญญา และหากยังไม่ชัดเจนให้พิจารณาตามธรรมจรรยาหรือข้อปฏิบัติทั่วไป” หลักการสำคัญ: 1. ตีความตามถ้อยคำก่อน – ถ้าข้อตกลงชัดเจน ต้องยึดตามถ้อยคำที่ปรากฏ 2. ตีความตามเจตนา – หากถ้อยคำไม่ชัด ต้องดูเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญา 3. ไม่ขยายเกินข้อตกลง – ศาลจะไม่ตีความให้ฝ่ายใดได้สิทธิเกินกว่าที่ตกลงกัน เชื่อมโยงกับฎีกาที่ 1319/2568: • ข้อโต้แย้งของจำเลยที่ 2 ว่าข้อตกลง “ขายบ้าน” หมายถึงต้องขายกันเอง ไม่รวมขายทอดตลาด ศาลไม่รับ เพราะถ้อยคำไม่จำกัดวิธีการขาย • การขายทอดตลาดโดยบังคับคดี จึงถือว่าเป็นการขายตามข้อตกลงด้วย • เมื่อขายได้ต่ำกว่า 2.8 ล้านบาท ไม่มีส่วนเกิน จึงไม่มีสิทธิแบ่งให้จำเลยที่ 2 ✅ สรุปความสำคัญ • มาตรา 1532 วางหลักการ “สินสมรส” ต้องแบ่งเมื่อหย่า → ศาลใช้ยืนยันว่าบ้านและที่ดินเป็นสินสมรส • มาตรา 368 วางหลักการตีความสัญญา → ศาลตีความบันทึกข้อตกลงหย่าให้ครอบคลุมถึงการขายทอดตลาด • ทั้งสองมาตรานี้ช่วยให้เข้าใจคำพิพากษาฎีกาที่ 1319/2568 ว่าทำไมภริยาไม่ได้สิทธิในส่วนแบ่งเมื่อขายได้ต่ำกว่า 2.8 ล้านบาท
|